เราเป็นแฟนที่ชอบขุดทฤษฎีจนบางครั้งหัวสมองค้างอยู่กับประโยคท้าย ๆ ของเรื่อง '
ไรรัก' และหนึ่งในทฤษฎีที่คึกคักที่สุดคือไอเดียว่า 'ตอนจบ' ที่ทุกคนเห็นจริง ๆ แล้วเป็นเพียงหนึ่งในหลายความเป็นไปได้—แบบมัลติยูนิเวิร์สหรือหลายเส้นเวลา คนที่ชอบทฤษฎีนี้จะยกตัวอย่างฉากที่ดูคลุมเครือแล้วบอกว่า นั่นคือจุดแตกแยกของเวลา ซึ่งอธิบายทั้งฉากที่ขัดแย้งกันและรายละเอียดเล็กน้อยที่ถูกปล่อยผ่านไปเฉย ๆ
จากมุมมองของคนที่เคยอ่านนิยายไซไฟ-รักผสม ๆ มาก่อน เรื่องแบบนี้รู้สึกเหมือนการให้ผู้เขียนเปิดประตูให้แฟน ๆ เติมช่องว่างเอง บางคนชอบคิดว่าเอกลักษณ์ของตัวเอกถูกแบ่งเป็นสองเวอร์ชัน: เวอร์ชันที่เลือกออกจากความสัมพันธ์แล้วไปมีชีวิตใหม่ กับเวอร์ชันที่ยังคงผูกพันและเสียสละเพื่อคนรัก แนวคิดนี้ทำให้ฉากจบหลายฉากที่ดูเศร้ากลับถูกอ่านเป็นความพยายามของผู้เขียนที่จะสื่อสารเรื่องการสูญเสียแบบหลายชั้น คล้ายกับคนเขียน 'Steins;Gate' ที่เล่นกับเส้นเวลา หรือหนังรักที่ใช้เทคนิค 'การเล่าเรื่องไม่เชื่อถือได้' เพื่อให้ผู้อ่านตั้งคำถามกับสิ่งที่เห็น
อีกทฤษฎีที่ชอบพูดคุยกันคือการที่ตอนจบถูกออกแบบให้เป็นเมตา—หมายความว่าตอนจบเป็นการสะท้อนถึงการเขียนนิยายเอง บางแฟนคาดว่าตอนจบเผยให้เห็นว่าทั้งเรื่องเป็นจดหมายหรือบันทึกของตัวละครคนหนึ่ง ที่เขียนขึ้นเพื่อเยียวยาความเจ็บปวด ผลลัพธ์คือฉากท้าย ๆ ถูกอ่านว่าเป็นการเยียวยามากกว่าการสรุปชะตากรรม คิดดูแล้วฉากเล็ก ๆ อย่างโน้ตที่หายไปหรือการเปลี่ยนคำพูดระหว่างบทสนทนา กลายเป็นเบาะแสว่าทุกอย่างถูกคัดเลือกมาเพื่อทำให้ผู้อ่านรู้สึกอะไรบางอย่างมากกว่าจะบอกความจริงแบบตรงไปตรงมา
ท้ายที่สุด ยังมีทฤษฎีที่ชอบขบคิดกันว่า 'ผู้เขียนมีตอนจบสองแบบ' และเลือกเผยแพร่แบบหนึ่งเพราะเหตุผลเชิงพาณิชย์หรืออารมณ์ ณ เวลานั้น แฟน ๆ บางกลุ่มชอบจินตนาการว่ามีฉากจบที่ถูกเก็บไว้ในกล่องกระดาษพร้อมจดหมายถึงแฟน ๆ เหมือนการพบแผ่นฟิล์มที่หายไป ซึ่งไอเดียนี้ทำให้คนกลับมาอ่านซ้ำและสังเกตทุกคำ ทุกเครื่องหมายวรรคตอน เราอาจจะไม่มี 'คำตอบ' ที่แน่นอน แต่กระบวนการตีความร่วมกันนี่แหละที่ทำให้ 'ไรรัก' ยัง
คุกรุ่นอยู่ในหัวคนอ่านต่อไป