ชื่อเรื่อง '
รักสุดท้าย' มักจะทำให้คนคิดไปคนละทางเพราะมีหลายผลงานที่ใช้ชื่อนี้ แต่เมื่อพูดในเชิงบทบาทนำทั่วไป งานที่ใช้ชื่อนี้มักจะมีนักแสดงนำประมาณ 2–3 คนที่เป็นแกนหลักของเรื่อง และแต่ละคนมักรับบทที่มีมิติทางอารมณ์ค่อนข้างชัดเจน ในฐานะแฟนหนังแฟนละคร การสังเกตว่าตัวละครหลักเหล่านี้ถูกวางบทอย่างไรช่วยให้เข้าใจความตั้งใจของผู้เขียนบทและผู้กำกับได้มากขึ้น
ในหลายเวอร์ชันของ 'รักสุดท้าย' ตัวละครนำแรกมักเป็นคนที่แบกรับความเจ็บปวดจากอดีต เช่น คนที่พังเพราะความรักเก่า ซึ่งบทนี้มักถูกเขียนให้เป็นตัวละครที่เงียบ ละเอียดอ่อน และมีบาดแผลภายในชัดเจน บทบาทแบบนี้เปิดโอกาสให้นักแสดงโชว์ความหลากหลายทั้งทางสายตาและบทสนทนา การแสดงเชิงภายในอารมณ์จะเป็นหัวใจของบทนำฝ่ายนี้ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งมักเป็นคู่รักใหม่หรือคนที่เข้ามารักษาบาดแผล จะถูกเขียนให้มีความเข้มแข็งในด้านต่างกัน บางครั้งจะเป็นคนสดใสที่ค่อยๆ คลี่ความเก็บงำออกมา บางครั้งเป็นคนเยือกเย็นที่ค่อยๆ เปิดใจ แคมเปญของบทเหล่านี้คือการสร้างเคมีที่ทำให้ผู้ชมเชื่อว่าการเยียวยาและความรักใหม่เป็นไปได้จริง
บทบาทที่สามที่มักพบคือบุคคลจากอดีตหรือคู่แข่งทางรัก ซึ่งบทนี้อาจจะเป็นตัวกระตุ้นปมขัดแย้งหรือเป็นกระจกสะท้อนอดีตให้ตัวเอกเห็นความแตกต่างของตัวเองเมื่อเทียบกับปัจจุบัน นักแสดงที่ได้รับบทนี้มักต้องมีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจนทั้งทางคำพูดและท่าทาง เพื่อผลักดันเรื่องราวให้เดินหน้าและทำให้การตัดสินใจของตัวละครนำมีน้ำหนักมากขึ้น นอกจากนั้นยังมีตัวละครสนับสนุนที่ช่วยเติมเต็มโทนและมู้ด เช่นเพื่อนร่วมงาน ครอบครัว หรือน้องสาว ซึ่งบทพวกนี้แม้จะไม่หวือหวา แต่สำคัญต่อการสร้างโลกของเรื่อง
เวลาได้ดูฉบับต่างๆ ของ 'รักสุดท้าย' จะเห็นว่าการเลือกนักแสดงนำและการใส่รายละเอียดบทมีผลกับอารมณ์ที่ผู้ชมได้รับอย่างมาก ฉันมักชอบเวอร์ชันที่ให้พื้นที่นักแสดงได้เล่นอารมณ์แบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะมันทำให้ความสัมพันธ์ของตัวละครน่าเชื่อถือและซับซ้อนขึ้น ในท้ายที่สุด การที่ใครจะเป็นนักแสดงนำและพวกเขารับบทอย่างไร ขึ้นกับทิศทางของผู้สร้างว่าจะเน้นความโรแมนติกอบอุ่น สะเทือนอารมณ์ หรือเจ็บปวดอย่างลึกซึ้ง แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้คือบท 'รักสุดท้าย' ที่เขียนดีจะทำให้ตัวละครยังคงติดตรึงใจผู้ชมไปนาน