คำพูดจากผู้เขียนในการสัมภาษณ์ครั้งนั้นยังคงก้องอยู่ในหัวว่าแรงบันดาลใจของ 'วิญญาณรักนักสืบ' มาจากการผสมผสานสองสิ่งที่ดูเหมือนขัดกัน—ความรักกับการไข
ปริศนา—จนกลายเป็นความคิดที่ค่อยๆ เติบโตในใจเขาเอง
ผมเล่าเป็นมุมมองของคนที่โตมากับนิยายสืบสวนและเรื่องผีเก่าๆ ในชุมชนว่า ผู้เขียนบอกว่าเขาได้รับอิมแพกต์จากนิยายสืบสวนคลาสสิกอย่าง 'Sherlock Holmes' และงานของ '
agatha christie' แต่ไม่ใช่แค่การเล่าเกมไขคดีแบบแห้งๆ เท่านั้น เขาเอาโครงสร้างของปริศนามาผสานกับความรู้สึกส่วนตัว—ความโหยหา การสูญเสีย และความผิดบาปที่บางครั้งไม่สามารถบอกเป็นคำพูดได้ งานผีพื้นบ้านที่เขาได้ยินมาจากปู่ย่าตอนเด็กยังถูกยกมาเป็นแรงกระตุ้นให้บรรยากาศในเรื่องมีความลี้ลับและอบอวลไปด้วยความเศร้า ความตั้งใจของเขาคือทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าการตามรอยเบาะแสและการตามหารักที่หายไปเป็นเรื่องเดียวกัน
มุมที่ผมชอบคือเขาไม่ได้หยุดที่การยืมโครงเรื่องจากวรรณกรรมฝรั่งหรือญี่ปุ่น แต่ตั้งใจจะสะท้อนสังคมและความสัมพันธ์ในบริบทบ้านเรา เขาพูดถึงฉากเล็กๆ ที่มักถูกมองข้าม—ตลาดตอนเย็น บ้านไม้เก่าที่มีเสียงพัดลมดัง และจดหมายเก่าๆ ที่ซ่อนความลับ—สิ่งเหล่านี้กลายเป็นชิ้นส่วนสำคัญของปริศนาในนิยาย การนำรายละเอียดท้องถิ่นเข้ามาทำให้เรื่องมีน้ำหนักกว่าแค่บทสืบสวนเท่านั้น เพราะเมื่อผสมกับธีมความรักและการสูญเสีย มันทำให้ตัวละครและผู้อ่านเชื่อมโยงกันได้ตรงกว่าเดิม สุดท้ายแล้วสิ่งที่ผู้เขียนบอกกับผมผ่านบทสัมภาษณ์คือการเขียนเช่นนี้เป็นการปลดปล่อยบางอย่าง—ทั้งความทรงจำและความทุกข์—และนั่นแหละที่ทำให้ 'วิญญาณรักนักสืบ' ไม่เหมือนนิยายสืบสวนทั่วไปเลย