อย่าเริ่มเขียนแฟนตาซีโดยไม่อ่านรากฐานของมันก่อน — นี่คือกฎไม่เป็นทางการที่ฉันถือมาตลอดเวลาที่
ฝึกเขียนและอ่านเรื่องราวแฟนตาซีหลากสไตล์
การอ่าน 'The Hobbit' และตามด้วย 'The Lord of the Rings' สอนฉันเรื่องโครงสร้างมหากาพย์: วิธีวางเส้นทางการเดินทางของตัวละคร การกระจายบทบาทของฉากสำคัญ และการใช้ตำนานพื้นบ้านเป็นแรงผลักดันให้เกิดเหตุการณ์ใหญ่ วิธีถ่ายทอดบรรยากาศแบบมิดเดิ้ลเอิร์ธทำให้รู้ว่าการสร้างโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณคำอธิบายอย่างเดียว แต่มาจากการเลือกใส่รายละเอียดที่มีความหมายต่อการเดินทางของตัวละครจริงๆ
การหยิบ 'A Wizard of Earthsea' มาอ่านต่อทำให้ฉันเห็นมุมที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง: ด้านปรัชญาและภาษาของ
เวทมนตร์ เรื่องของ Ursula K. Le Guin สอนว่าเวทมนตร์จะทรงพลังเมื่อมันมีข้อจำกัดและผลลัพธ์ทางจริยธรรม เรื่องราวของเด็กช่างหัวคิดที่ต้องเผชิญกับการกระทำของตนเองทำให้ฉันระลึกเสมอว่าแฟนตาซีที่ดีต้องมีแก่นเรื่องเกี่ยวกับการเติบโตและการรับผิดชอบ
สำหรับการเรียนรู้ระบบเวทมนตร์และการวางกฎแน่นหนา 'Mistborn' เป็นแบบอย่างที่ฉันเอามาใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความชัดเจนของกฎเวทมนตร์ทำให้เรื่องเดินได้อย่างมั่นคง และการเอาเหตุผลภายในระบบมาเป็นตัวขับเคลื่อนพล็อตเป็นเทคนิคที่ช่วยให้ผู้อ่านเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แม้จะมีฉากที่เว่อร์วัง นอกจากนี้ 'The Name of the Wind' สอนการเขียนเสียงเล่าเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์ การผสานเสียงเล่าในมุมมองที่ใกล้ชิดกับตัวเอกสามารถทำให้ผู้อ่านรู้สึกเชื่อมโยงและให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มากขึ้น
สรุปคือ ถาต้องเลือกเล่มเป็นพื้นฐาน ฉันมักแนะนำให้อ่านทั้งตำนานคลาสสิก ความเชิงปรัชญา และงานที่ให้
แบบแผนเวทมนตร์ชัดเจน เพราะสิ่งเหล่านี้สอนตั้งแต่การเล่าเรื่องในสเกลใหญ่จนถึงการทำให้โลกสมจริงในระดับองค์ประกอบย่อยๆ การอ่านแบบผสมผสานทำให้เมื่อถึงเวลาที่เขียนจริง ฉันมีทั้งแรงบันดาลใจและเครื่องมือเชิงเทคนิคพร้อมใช้