ย้อนกลับไปยังบทสัมภาษณ์ของอู๋ เชี่ยน ฉันนึกภาพเขานั่งอยู่กับแก้วชาร้อนและสมุดโน้ตเก่าๆ เล่าเรื่องไหลเป็นเรื่องราวว่าแรงบันดาลใจสำหรับงานเขียนของเขาไม่ได้มาจากแหล่งเดียว แต่เป็นการสอดประสานของสิ่งเล็กๆ รอบตัว: ภาพถ่ายเก่าๆ กลิ่นของตลาดยามเช้า บทเพลงที่ฟังซ้ำจนจำทำนองได้และการเดินทางแบบไม่รีบเร่ง เขาพูดถึงการสังเกตผู้คนรอบตัวอย่างละเอียด — ไม่ใช่เพื่อเอาไปเล่าเป็นเรื่องของคนอื่น แต่เพื่อเข้าใจมิติที่ซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวัน ช่วงเวลาที่ธรรมดากลับกลายเป็นฉากที่ชวนให้ตั้งคำถามว่าเหตุผลของคนๆ หนึ่งคืออะไร ทำไมเขาหรือเธอจึงตัดสินใจแบบนั้น นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่เขาพิถีพิถันก่อนจะผลักดันไปเป็นพล็อตหรือคาแรกเตอร์
ความน่าสนใจคืออู๋ เชี่ยนให้ความสำคัญกับการวิจัยเชิงลึกควบคู่ไปกับการปล่อยให้ความบังเอิญทำงาน เขาชอบอ่านบันทึกเก่า เอกสารประวัติศาสตร์ และ
บทกวีพื้นบ้านเพื่อนำกลิ่นอายของยุคสมัยมาเติมสีสันให้กับฉาก เขามองว่าการรู้สภาพสังคม รายละเอียดเทคโนโลยีในยุคนั้น หรือแม้แต่วิธีที่คนพูดกัน จะช่วยทำให้โลกในนิยายมีน้ำหนักมากขึ้น ไม่ใช่แค่ฉากสวยๆ แต่เป็นโลกที่คนอ่านสามารถเชื่อได้ว่าใครสักคนจะมีชีวิตอยู่ในนั้นจริงๆ นอกจากนี้ เขาเล่าเรื่องการแปลงความฝันให้เป็นวัตถุดิบ เขามักจะเขียนประโยคสั้นๆ ลงไปทันทีเมื่อตื่นขึ้นมา ถ้าประโยคไหนยังติดค้างในหัว เขาจะจับมันมาต่อเป็นฉากหรือบทสนทนา การทำแบบนี้ช่วยให้ความแปลกใหม่ไม่ตายไปพร้อมกับความจำ
อีกมิติที่โดดเด่นคือวิธีคิดเชิงตัวละคร อู๋ เชี่ยนมองว่าคาแรกเตอร์ที่ดีเกิดจากการตั้งคำถามสองข้อเสมอ: 'เขาต้องการอะไร' และ 'เขายอมเสียอะไรเพื่อได้มัน' เมื่อเขาตั้งคำถามเหล่านี้แล้ว ตัวละครจะนำทางเนื้อเรื่องเอง เขาใช้เทคนิคการสนทนากับตัวละครเสมือนจริง เพื่อฟังน้ำเสียง ตีความเจตจำนง แล้วค่อยปรับโครงเรื่องตามนั้น นอกจากนั้น เขายังย้ำว่าการเปิดรับงานศิลป์ต่างแขนงเป็นสิ่งสำคัญ เพลง ภาพยนตร์ งานภาพ วรรณกรรมแนวต่างๆ และแม้แต่เกม ช่วยให้เขามองเรื่องเล่าในมุมมองที่หลากหลายขึ้น การผสมผสานองค์ประกอบเหล่านี้ทำให้สไตล์ของเขามีทั้งความอบอุ่นและความแปลกใหม่ในเวลาเดียวกัน
สิ่งที่ทำให้สัมภาษณ์นั้นยิ้มได้สำหรับฉันคือความเป็นมนุษย์ในคำตอบของเขา — เขาไม่ยึดติดกับทฤษฎีการเขียนเพียงอย่างเดียว แต่ยินดีจะถอยออกมาเป็นผู้อ่านแล้วถามตัวเองว่าบทนี้อ่านแล้วจะกระตุกความรู้สึกอะไรของคนอ่าน เขาให้ความสำคัญกับการเล่นกับความไม่แน่นอนและการยอมรับว่าบางครั้งงานเขียนที่ดีที่สุดเกิดจากการล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นทำให้ฉันรู้สึกว่าการเขียนเป็นการเดินทางที่เติบโตได้ ไม่ใช่การไล่ตามสูตรสำเร็จ อ่านแล้วอยากเก็บสมุดจดความคิดเล็กๆ ไว้ใกล้ตัวมากขึ้นจริงๆ