ความประทับใจแรกที่ชัดเจนคือเทพประจำตัวของตัวเอกเรื่องนี้ไม่ได้โผล่มาแบบบังเอิญ แต่มีรากที่ลึกทั้งในตำนานและประวัติครอบครัวของตัวละคร ทำให้เรารู้สึกว่าพลังนั้นมีความหมายมากกว่าความสามารถพิเศษแค่ชั่วคราว บ่อยครั้งต้นกำเนิดจะถูกเชื่อมโยงกับศาลเจ้าหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์โบราณที่มีการบูชามานานหลายชั่วอายุคน หรือเป็นผลมาจากคำสาป คำสาบาน หรือการเซ็นสัญญาที่ผูกพันระหว่างมนุษย์กับเทพบรรพกาล ตัวอย่างที่ใกล้เคียงกันซึ่งเคยเห็นในงานอื่น ๆ คือการเชื่อมโยงระหว่างสายเลือดและวิญญาณเหมือนใน '
inuyasha' หรือความเป็นเทพเจ้าที่มีหน้าที่คุ้มครองโลกแบบใน 'Noragami' แต่ในเรื่องนี้ผู้เขียนมักใส่อินโทรที่ย้ำว่าเทพนั้นไม่ใช่สิ่งเดียวที่ถูกถ่ายทอด แต่เป็นความหวังและบาดแผลของรุ่นก่อนด้วย
โครงสร้างการอธิบายที่ชัดเจนมักแบ่งได้เป็นไม่กี่รูปแบบหลัก: อย่างแรกคือสายเลือดหรือมรดกทางพันธุกรรมที่สะสมพลังไว้ในตระกูล เช่น เครื่องราง หรือการสืบทอดวิญญาณผู้คุ้มครอง ซึ่งมักจะมีพิธีกรรมในการปลดผนึก ช่วยให้ฉากการค้นพบพลังมีความระทึกและเปี่ยมอารมณ์ อย่างที่สองคือการทำสัญญาอย่างมีสติ เช่นการยอมแลกสิ่งสำคัญเพื่อพลังหรือการบูชาที่นำเทพมาอยู่กับผู้ครอบครอง ซึ่งมีธีมของความรับผิดชอบชัดเจน เห็นได้ในแนวเรื่องที่เน้นผลของการใช้พลังที่ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์เชิงกายภาพ แต่เกี่ยวพันกับความเป็นมนุษย์ด้วย อย่างที่สามคือการเข้าครอบงำหรือการคืนชีพของสิ่งมีชีวิตระดับเทพที่สลับระหว่างความเมตตาและความโหดร้าย ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกกับเทพมีมิติทางศีลธรรมและจิตใจ
มุมมองเชิงวัฒนธรรมที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังต้นกำเนิดเหล่านี้ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ผู้สร้างมักดึงแรงบันดาลใจจากลัทธิชินโต พุทธศาสนา หรือนิทานพื้นบ้านท้องถิ่น ทำให้เทพมีลักษณะเป็นวิญญาณของธรรมชาติหรือเทพที่ต้องการการยอมรับจากมนุษย์ ในบางเรื่องผู้แต่งกลับพลิกไอเดียเดิม เช่น ให้เทพเป็นเทคโนโลยีหรือระบบปัญญาประดิษฐ์ที่คนเข้าใจผิดว่าเป็นเทพ ช่วยตั้งคำถามว่าความศรัทธาและการบูชาในยุคปัจจุบันมีรูปแบบเปลี่ยนไปอย่างไร ฉากที่เทพเปิดเผยที่มาจึงมักใช้เป็นโอกาสให้ตัวเอกเรียนรู้ตัวเอง เรียนรู้ประวัติครอบครัว และตัดสินใจว่าอยากใช้พลังนี้ไปทางไหน ซึ่งเป็นแกนหลักของเรื่องราวการเติบโต
สิ่งที่ทำให้สตอรี่แบบนี้ยังน่าติดตามคือความไม่แน่นอนของเจตนาเทพและผลกระทบต่อความสัมพันธ์รอบตัว ตลอดจนการวางเงื่อนไขที่บีบให้ตัวเอกต้องเลือกระหว่างอุดมการณ์กับความรู้สึกส่วนตัว ฉากที่ผู้ครอบครองพลังต้องเผชิญหน้ากับอดีตหรือทำพิธีปลดผนึกมักเป็นฉากที่มีพลังทางอารมณ์มากที่สุด และฉันชอบวิธีที่ผู้เขียนใช้ต้น
กำเนิดเทพเป็นกระจกสะท้อนตัวตน ไม่ใช่แค่เป็นเครื่องมือให้ตัวเอกชนะศัตรู มันทำให้พลังนั้นรู้สึกมีน้ำหนักและมีความหมาย จบด้วยความตื้นตันเล็ก ๆ ทุกครั้งที่เทพและคนถูกผูกพันกันด้วยเรื่องราวมากกว่าพลังล้วน ๆ