ลองจินตนาการภาพปรมาจารย์ดาบผู้เงียบสงบที่ถูกดึงออกจากภูเขาโบราณมายังความวุ่นวายในเมืองกรุงทันที ฉากเปิดของ '
ปรมาจารย์ดาบชั้นเซียน มาตบเกรียนถึงเมืองกรุง' ตอนที่ 1 เริ่มด้วยความเปรียบต่างระหว่างความเก่าแก่ของศิลปะดาบกับความทันสมัยของถนนในเมือง: ประตูวัด ทุ่งหญ้า และสายหมอกค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยป้ายโฆษณา แสงนีออน และเสียงรถยนต์ ฉากแรกค่อยๆ แนะนำตัวเอกซึ่งเป็นปรมาจารย์ดาบที่ถูกลืม ชีวิต
สงบสุขในป่าถูกทำลายเมื่อเขาได้รับข้อความลึกลับเกี่ยวกับการรังแกและการโกงบนโลกออนไลน์ พอเขาก้าวลงมาในเมือง ความเข้าใจผิดเล็กๆ ทวีไปเป็นเรื่องใหญ่เมื่อกลุ่มเกรียนในโซเชียลและพวกอันธพาลท้องถนนมาปะทะกับค่านิยมเก่าแก่ของเขา
ฉากแอ็กชันในตอนแรกทำได้จังหวะดี ฉันชอบที่ผู้เขียนโยงการฟาดฟันด้วยกระบี่เข้ากับกลิ่นอายของเมือง ทั้งการใช้ไหวพริบแบบดั้งเดิมผสมกับสถานการณ์สมัยใหม่—เช่น การสกัดกั้นข้อความในมือถือด้วย
ลมปราณ หรือการใช้รอยแผลบนกำแพงเป็นแผนที่นำทาง—ทำให้ทุกการต่อสู้ไม่น่าเบื่อและมีเซอร์ไพรส์ ภาพการประลองไม่ใช่แค่แข็งแรงทางกายภาพ แต่ยังเป็นการปะทะของอุดมคติ สติปัญญา และความละอายต่อการกระทำของพวกเกรียน ตัวละครรอบข้างทั้งเด็กสาวผู้กล้าแสดงออก นักข่าวท้องถิ่น และหัวหน้ากลุ่มอันธพาลต่างมีบทให้สะท้อนมุมมองสังคมร่วมสมัย เรื่องราวจึงไม่ใช่แค่ปะทะกันด้วยดาบ แต่เป็นบททดสอบคุณธรรมด้วย
นอกจากแอ็กชันและคอนเซ็ปต์ตลกร้ายแล้ว ตอนแรกยังลงรายละเอียดเรื่องโลกสังคมออนไลน์ได้ชวนขบคิด การปล่อยข่าวลวง การล่าเรตติ้ง และการซ่อนตัวอยู่หลังไอพีแอดเดรสถูกนำมาเล่าในมุมมองที่คมคาย ฉันชอบการใส่ฉากที่ตัวเอกนั่งในร้านก๋วยเตี๋ยวมองหน้าจอมือถือตัดกับกรอบคิดแบบเซียนดาบ มุมมองนี้ทำให้เกิดความตลกปนขมขื่น มีการตั้งคำถามว่าเมื่อศีลธรรมแบบโบราณปะทะกับความเร็วของข้อมูล ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ตอนท้ายของตอนหนึ่งมีมื้อสำคัญที่เผยเบาะแสศัตรูใหญ่และกระตุ้นให้ผู้อ่านอยากติดตามต่อ: ใครคือคนที่ปล่อยข่าว ทำไมถึงเลือกเมืองนี้ และปรมาจารย์จะปรับตัวได้เร็วแค่ไหน
โดยรวมแล้วตอนแรกเป็นการเปิดเรื่องที่เหนียวแน่น ตลกแบบมืดหม่นและเต็มไปด้วยจังหวะแอ็กชันที่ทำให้อดยิ้มไม่ได้ ฉันรู้สึกว่ามันเป็นการผสมผสานระหว่างความคลาสสิกและความร่วมสมัยที่ลงตัว และตั้งตารอตอนต่อไปว่าจะเห็นการปะทะทางความคิดและเทคนิคดาบในบริบทเมืองกรุงได้ลึกกว่านี้แค่ไหน