การเลือกเพลงประกอบภาพยนตร์ที่เน้น
จิตวิทยาสายดาร์กเป็นเหมือนการใส่กระสุนให้ตัวละครและบรรยากาศ sekaligus — เพลงไม่ได้เป็นแค่พื้นหลัง แต่เป็นภาษาอารมณ์ที่บอกความลับของใจนักแสดงให้ผู้ชมฟังด้วยตัวเอง เราจะเห็นได้ชัดเมื่อทำนองเรียบง่ายถูกบิดให้คดเคี้ยว ท่อนฮุกที่ควรจะให้ความอุ่นกลับกลายเป็นเสียงพร่าและไม่แน่นอน ซึ่งช่วยให้ภาพที่เห็นมีมิติลึกขึ้นและสะท้อนความไม่ปกติภายใน นักประพันธ์อย่าง Bernard Herrmann ใน 'Psycho' ใช้สายไวโอลินจิกแทงซ้ำแบบรวดเร็วจนสร้างความตึงเครียดทางจิตใจได้แม่นยำ หรือ Hildur Guðnadóttir ใน 'Joker' เลือกใช้โทนต่ำและเสียงเชื้อเชิญที่เหมือนหัวใจเต้นผิดจังหวะ ทำให้เราเข้าไปใกล้ความคิด
วิปลาสของตัวละครได้โดยไม่ต้องมีคำพูดมากมาย
เครื่องมือหลักที่เพลงมีคือการปรับจังหวะ เวลา และเนื้อเสียงเพื่อ
สะกิดหรือบิดเบือนการรับรู้ของผู้ชม เราเห็นการใช้จังหวะช้าจนรู้สึกเหมือนเวลาแห้งกรอบ และในทางตรงกันข้าม จังหวะที่เร็วจนหายใจไม่ทันก็ทำให้เกิดความวิตกกังวล สอดแทรกด้วยองค์ประกอบอย่างความไม่สอดคล้องของคอร์ด (dissonance), เสียงที่ไม่ไพเราะ, หรือแม้แต่ความเงียบอย่างเต็มใจ ซึ่งความเงียบในหนังดาร์กมักจะทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนความว่างเปล่าทางจิตใจได้ดีไม่แพ้เสียงดนตรีตัวอย่างที่ชัดเจนคือ 'There Will Be Blood' ของ Jonny Greenwood ที่ใช้เสียงต่ำและเสียงประสานที่ผิดธรรมชาติสร้างความรู้สึกอึดอัด หรือ 'No Country for Old Men' ที่เลือกใช้ความเงียบแทนท่วงทำนอง เพื่อให้ความรุนแรงหรือความคุกคามซ่อนตัวอยู่ในช่องว่างระหว่างเสียง
นอกจากเทคนิคด้านเสียงแล้ว เพลงประกอบยังทำหน้าที่เป็นพยากรณ์สถานะจิตใจหรือเป็นตัวบ่งชี้อารมณ์ที่ถูกบิด ใช้ธีมซ้ำๆ เพื่อชี้ให้เห็นความเป็นอุปนิสัยหรืออาการหมกมุ่น เช่นการมีโมทีฟสั้นๆ ที่วนซ้ำเมื่อความทรงจำหรือภาพหลอนกลับมาเยือน การเลือกใช้เพลงคลาสสิกในบริบทใหม่ก็เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ทรงพลัง อย่าง 'Black Swan' ที่หยิบธีมจาก 'Swan Lake' มาบิดใหม่ทำให้เรื่องการแยกจากความจริงกับความงามกลายเป็นเพลงที่ทั้งเย้ายวนและทรมาน หรือตัวอย่างสมัยใหม่อย่าง 'Requiem for a Dream' ที่ใช้ซินธิไซเซอร์และลูปซ้ำจนเกิดความรู้สึก
คลั่งไคล้และลงแดงทางอารมณ์ เมื่อทุกองค์ประกอบผสมกัน เพลงกลายเป็นผู้บรรยายเงียบที่ทำให้ผู้ชมเข้าไปยืนอยู่ในจิตใจตัวละครได้จริงๆ
สุดท้ายนี้ การใช้เพลงประกอบในหนังสายดาร์กไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่มันคือการให้เสียงกับความมืดภายใน ทำให้สิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวน้ำปรากฏขึ้นอย่างนุ่มนวลแต่เจ็บปวด เรามักจะออกจากโรงหนังพร้อมกับทำนองบางท่อนติดอยู่ในหัว และความรู้สึกไม่สบายที่ตามมาทำให้เรื่องราวเหล่านั้นฝังลึกกว่าแค่ภาพที่ตาเห็นเท่านั้น