เพลงเปิดของ '
ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย' ทำหน้าที่พาผู้ชมเข้าสู่โลกได้อย่างฉับพลัน — เสียงออเคสตราช่วงเปิดเรียงตัวเหมือนการกางปีกของจักรวาลเลยทีเดียว. ผมเองถูกดึงเข้ามาตั้งแต่โน้ตแรกเพราะมันไม่ใช่แค่ทำนองที่สวย แต่เป็นการผสมระหว่างซินธ์ที่ให้ความรู้สึกสมัยใหม่กับเครื่องสายแบบคลาสสิก ทำให้ทั้งภาพและอารมณ์ผสานกันอย่างกลมกลืน. จังหวะที่เพิ่มหนักขึ้นในตอนกลางเพลงช่วยขยับความตึงเครียดของเรื่องราว แทนที่จะทำให้รู้สึกตื่นเต้นเพียงอย่างเดียว มันยังทิ้งความค้างคาเอาไว้ให้ฉากต่อไปซึมซับด้วย.
เพลงซาวด์แทร็กแบบบรรเลงหลักเป็นอีกหนึ่งหัวใจที่ผมชื่นชอบ — ทำนองเปียโนซ้ำ ๆ ที่ปรากฏในฉากความทรงจำของตัวละคร กลายเป็น leitmotif ที่จับใจจนทุกครั้งที่ได้ยินก็จะเห็นภาพฉากนั้นในหัวทันที. การใช้เสียงประสานคอรัสเบา ๆ ในช็อตสำคัญยิ่งทำให้เส้นความเศร้าหรือความหวังนั้นเด่นขึ้นโดยไม่ต้องมีบทพูดยาว ๆ. ในฉากพระนางสารภาพรักใต้หมู่ดาว เสียงไวโอลินแบบพุ่งเล็ก ๆ ผสมกับฮาร์มอนิกให้ความรู้สึกเหมือนลมหายใจร่วมกันของทั้งคู่ ซึ่งเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ผมรู้สึกว่าทีมงานใส่ใจมาก.
เพลงปิดหรืออินเสิร์ตบางเพลงที่ใช้ในฉากเลิกราหรือการพลัดพราก ก็มีความโดดเด่นไม่แพ้กัน เสียงร้องแบบโทนต่ำผสมกับแอมเบียนท์เรียกอารมณ์เศร้าได้ชนิดที่ไม่ต้องอธิบายเยอะ — ฉากหนึ่งที่ใช้เพลงนี้ในฉากท่าเรือตอนเช้าฝนตก กลายเป็นหนึ่งในฉากที่ผมกลับมาดูซ้ำบ่อยสุด เพราะเพลงกับภาพทำงานร่วมกันจนละลายความปวดเป็นความงาม. ถ้าใครชอบการเล่าเรื่องด้วยดนตรี จะหลงรักวิธีที่แต่ละธีมถูกพัฒนาและต่อยอดตลอดทั้งซีรีส์.
สุดท้ายนี้ผมคิดว่าดนตรีของเรื่องไม่เพียงแค่เติมเต็มอารมณ์ แต่ยังเป็นภาษาหนึ่งที่เล่าเรื่องแทนตัวละครได้ในหลายจังหวะ — ตอนสุขก็สว่าง ตอนเศร้าก็กล้ำกลืน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเพลงเหล่านี้ถึงคงอยู่ในหัวผมหลังจบซีรีส์นานแล้ว