“Sorry…” ฉันเอ่ยขอโทษขอโพยเขาทันทีพลางขยับปีกหมวกให้ปิดลงมาแบบเดิมเพราะตอนชนกันหมวกฉันเกือบหลุดออกจากหัว
“ไม่เป็นไรครับ” เขาตอบ แต่…ทำไมถึงรู้สึกคุ้นเสียง ที่
ยิ่งไปกว่านั้นคือกลิ่นละมุดที่มันเตะเข้าจมูกอย่างจังจนแสบจมูกไปหมด นี่เขาไปตกถังเหล้าที่ไหนมาวะ แต่ช่างเหอะ…มันมีอะไรที่สำคัญกว่าจะมาอยากรู้อะไรไร้สาระ ในจังหวะที่ฉันจะก้าวเท้าไปต่อ เขาโน้มตัวลงมาให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับฉัน
“เห่ย…”
ดวงตาฉันเบิกกว้างด้วยความตกใจก่อนจะหันหลังเตรียมซอยเท้าสี่คูณร้อย ก่อนจะรู้สึกถึงแรงดึงรั้งที่มาจากกระเป๋าเป๋ด้านหลัง ทำให้ฉันก้าวขาไม่ออก
“จะไปไหนครับ คุณว่าที่เจ้าสาว”
“ปล่อยฉันนะ!” ฉันหันไปผลักกลางอกนายมธุษินทร์ จนเขาเสียหลักถอยไปชนกับเสากลมใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล ก่อนที่เขาจะกลับมาตั้งหลักได้ ฉันขยับกระเป๋าเป๋พร้อมออกวิ่งอีกครั้ง ความจริงฉันไม่ได้ออกแรงขนาดนั้นแต่เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ในตัวเขาเองมากกว่า สมควรแล้ว
ฉันไม่สนใจจุดหมายปลายทางว่าจะไปหยุดที่ไหน ตอนนี้ทำได้อย่างเดียวคือวิ่ง ดีนะวันนี้เตรียมตัวมาดี ทั้งเสื้อผ้า หน้าผม รองเท้าเหมือนมาเพื่อการนี้ด้วยเฉพาะ
หรือบางทีมันอาจเป็นลางร้าย…
เขาใช้เวลาไม่นานไล่ตามมาทันในระยะประชิดก่อนจะถึงตัวฉัน มือหนาคว้าแขนข้างหนึ่งไว้ได้และนั่นส่งผลให้เราต้องหยุดหอบกันทั้งคู่
หมับ
“แม่งเอ๊ย…จะไปแข่งทีมชาติรึไงวะ” เขาว่าเสียงแหบพร่า ก่อนจะพ่นลมออกจากปากเป็นระยะเหมือนเป็นอีกทางในการช่วยหายใจ ยกมืออีกข้างขึ้นกดที่เอวเล็กน้อย
“ปล่อยฉัน...นะ” ฉันเองก็ไม่ต่าง เสียงหายใจหอบยังชัดเจนกว่าเสียงพูดที่เปล่งออกมา ใจเต้นแรงจนสมาร์ทวอทช์เตือนถึงขีดอันตราย จุก...บอกเลยว่าจุกมาก ถ้าวิ่งต่ออีกนิด เรียกปอเต็กตึ๊งมารับศพได้เลย
“ไป…กลับบ้าน” เขาบอกในเสียงที่เริ่มคงที่ เขาดูเป็นปกติเร็วจัง คงมีแค่ฉันเนี่ยแหละที่เสียเปรียบไปหมดทุกเรื่อง ตัวเล็กแล้วยังขาสั้น การออกกำลังกายเป็นสิ่งเดียวที่ไม่มีอยู่ในซีกใดของหัวสมอง เหนื่อยจนขาสั่นเรื่องการทรงตัวไม่ต้องพูดถึง… แค่จะสะบัดมือออกจากเขายังไม่มีแรง
“เดี๋ยว…แป๊บหนึ่ง” ฉันบอกเสียงปนหอบพร้อมยกมือเป็นเชิงขอพักร่างกายต่ออีกหน่อยก่อน ตอนวิ่งมันก็ไม่เท่าไหร่นะ พอหยุดทำไมมันเหนื่อยจังเลยวะ
“เหอะ…ตอนวิ่งอย่างห้าว ตอนนี้อย่าง…” เขาหยุดชะงัก ในจังหวะที่ฉันตวัดตามอง เพราะรู้ว่าเขาจะจบประโยคด้วยคำว่าอะไร ก่อนที่จะปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้าของนายมธุษินทร์ ฉันเกลียดรอยยิ้มของเขาตอนนี้โคตรๆ เลย
ฟรึบบ
อ๊ะ…อ๊ายยย
ฉันร้องโวยวายทันทีที่ร่างกายลอยขึ้นเหนืออากาศแล้วไปพาดกลางอยู่บนบ่าคนที่แข็งแรงกว่า หมวกใบโปรดร่วงหล่นลงพื้น ฉันทำได้แค่มองมันด้วยความเสียดายเพราะเรียวแขนฉันเอื้อมไม่ถึง นี่มันเป็นใบที่ฉันรักมากเลยนะ
ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว เขาไม่มีท่าทีชะงักหรือเซ ราวกับตัวฉันเป็นหมอนเป็นนุ่น ทั้งที่เพิ่งพักจากการวิ่งไล่จับฉันได้แป๊บเดียวเอง ถึงมันจะไม่ได้ไกลมากก็เหอะ
“ปล่อยฉันนะ ไอ้บ้า…ปล่อย” พอเริ่มกลับมาแวดๆ ได้ตามปกติ ร่างกายก็ต่อต้านทันควัน ติดตรงที่แรงมันไม่เพียงพอให้เขารู้สึกรู้สาอะไรหรอก
เขาวกกลับไปจุดแรกที่เราเจอกันเพื่อเอากระเป๋าลากแล้วย้อนกลับมาเอื้อมหยิบหมวกใบโปรดของฉันเสียบไว้ตรงซอกกระเป๋า
วูบหนึ่งฉันรู้สึกอยากขอบคุณเขา
“ภาระชัดๆ”
แต่แค่ชั่ววูบเท่านั้น…สติฉันกลับมาพร้อมกับประโยคที่เขาบ่นพึมพำ
เขากระชับอ้อมแขนเพื่อให้ฉันอยู่ในท่าที่เขาถนัด ก่อนจะเดินแบกฉันเดินฝ่าผู้คนมายังส่วนที่น่าจะเป็นทางออก โดยที่ไม่ฟังเสียงร้องโวยวายของฉัน ไม่แม้แต่จะสนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น เขาทำราวกับว่าการแบกใครสักคนที่เขาไม่ได้ยินยอม เป็นเรื่องปกติ หัวฉันห้อยโตงเตงลงพื้นจนเลือดจะตกหัวตายอยู่แล้ว
ฉันง้างมือจะทุบกำปั้นลงกลางหลังเขาแต่ก็ต้องชะงัก เพราะมันเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อจากการที่เราไล่จับกับเมื่อกี้ จนเกิดวงกว้างสีเข้มกับเสื้อเชิ้ตสีเท่าเข้มที่เขาสวมใส่
หยี…กำปั้นน้อยถูกดันไว้ที่แผ่นหลังเขาตลอดทาง เพื่อไม่ให้ใบหน้าสวยๆ เข้าไปใกล้คราบเหงื่อนั่นเมื่อเกิดแรงสั่นสะเทือนตอนเขาเดิน รวมทั้งพยายามหายใจเข้าให้น้อยที่สุด
และในที่สุดเขาก็หยุดเดินซะที…ใจฉันจะขาดอยู่แล้ว
ฉันได้ยินเสียงเขาทำอะไรสักอย่าง คิดว่าน่าจะเปิดฝากระโปรงหลังรถ เพราะกระเป๋าเดินทางฉันมันถูกพับที่จับเข้าที่ ถูกเก็บไว้หลังรถในเวลาต่อมาและปิดมันลง
ก่อนจะเดินต่อ ประตูรถฝั่งคนนั่งถูกเปิดและฉันถูกยัดเข้าไปในทันทีแต่สองขายังอยู่นอนรถ เขาโน้มตัวลงมาชี้นิ้วออกคำสั่งในตอนที่ฉันกำลังจะแผลงฤทธิ์ออกเดช
“หยุด!!”
“ไม่!!” คิดเหรอว่าแค่คำสั่งบ้าๆ นี่จะทำอะไรฉันได้
“อยากให้ใช้กำลังมากนักรึไงวะ” เสียงจิจ๊ะดังขึ้นและเขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็กลายเป็นบทสนทนาที่ไม่มีใครยอมใครระหว่างเรา
“ก็อย่ามายุ่งกับฉันสิ!”
“แล้วจะหนีทำไม เก่งนักไม่ช้ะ เรื่องแค่นี้ทำไมขี้ขลาด”
“ฉันไม่ได้ขี้ขลาด ฉันไม่อยากแต่งงานกับคุณต่างหาก”
“นั่นแหละขี้ขลาด”
“ไม่ใช่!” ฉันเถียง
“ใช่!” เขาก็ไม่ยอม และฉันเองก็ไม่ยอม
“ม่ายยย!”
“เออ! ไม่ก็ไม่ จะไปกันได้ยัง” ในที่สุดเขาก็ยกธงขาวแต่ฉันปฏิเสธและเหวี่ยงธงนั่นทิ้ง
“ไม่ ฉันจะไม่ไปกับคุณ”
“งั้นโทรให้อาม่ามารับ”
“...อย่านะ” ฉันชะงัก น้ำเสียงอ่อนลงนิดหน่อย หลุบมองมือตัวเองที่จิกกันแน่นบนตัก ไม่ใช่แค่อาม่าที่อยากให้มีการแต่งงานเกิดขึ้น เพียงเพราะผลประโยชน์ของบริษัท ทุกคนลงความเห็นว่าฉันควรแต่งงานกับนายมธุษินทร์ ถ้าฉันกลับเข้าบ้านตอนนี้ ฉันต้องไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันจนถึงวันแต่งงานแน่ๆ
“ไหนบอกมาดิ การแต่งงานกับฉันมันไม่ดีตรงไหน” เขาถามในโทนเสียงปกติพลางลดตัวลงนั่งหย่องให้อยู่ในระดับเดียวกับฉัน มือหนาสอดนิ้วเรียวประสานกันอยู่ตรงระหว่างหัวเข่า
“ทุกตรง” ฉันตอบ
“เฟย์…”
“อย่าเรียกชื่อนั้นนะ!” ฉันเผลอใช้เสียงเกินกว่าปกติมากๆ และมองเขาด้วยสายตาแข็งกร้าว ถ้าฉันไม่อนุญาต ใครก็เรียกชื่อนี้ของฉันไม่ได้ ก่อนจะหลุบตามองมือตัวเองอีกครั้ง หลังจากนั้นความเงียบก็เข้าครอบงำพื้นที่
“โอเค" เขาเอ่ยขึ้นหลังจากที่เราเงียบกันไปหลายนาที "แต่ฉันจะบอกอะไรให้นะ ถึงเธอไม่แต่งกับฉัน ครอบครัวเธอก็ต้องหาคนมาแต่งกับเธออยู่ดี”
เหมือนเขาพยายามหว่านล้อมแต่ฉันไม่หลงกล
“ฉันไม่แต่งกับใครทั้งนั้น”
“แต่ฉันจะแต่งกับเธอเท่านั้น”
จังหวะที่ผมเงยหน้าขึ้นจากจอมือถือสอดประสานเข้ากับดวงตาคู่คมของเจ้าของมือถือพอดิบพอดี ดูเหมือนเธอจะรู้ตัวแล้วว่ายังมีอีกหนึ่งคนอยู่ในที่แห่งนี้ด้วยเธอจ้องหน้าผมเขม็งอย่างเอาเรื่องอยู่กลางสระ นี่ขนาดไม่ได้อยู่ใกล้นะ รัศมีความโหดยังแผ่มาถึงผมจนเย็นวาบไปทั้งตัวผมส่งยิ้มแห้งพร้อมกับชูมือถือในมือราวกับหาข้อแก้ต่างในตอนที่โดนจับได้ว่ามาแอบดูผู้หญิงอาบน้ำยังไงยังงั้น ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปนั่งหย่องย่ออยู่ขอบสระ“มีคนโทรมาแหละ” ผมปรายตามองมือถือในมือตัวเองที่ถือชูไว้ขนาบศีรษะคนที่อยู่กลางสระรีบว่ายน้ำเข้ามาทางผมทันที จะว่าไปนี่ก็เป็นตัวประกันที่ดีเหมือนกันนะ“เอามา” เธอทำท่าจะแย่งมือถือตัวเองไปจากผม ที่ตอนนี้ย้ายตำแหน่งไปอยู่สูงสุดของความยาวแขนเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าถึงผมจะนั่งอยู่คนในสระก็ไม่มีทางหยิบถึง“อยากได้? เอาอะไรมาแลกดิ”“อะไร” เธอถามเสียงแข็ง บางทีผมก็คิดอยากเห็นมุมอ่อนหวานของคนตัวเล็กตรงหน้า แต่ก็ไม่รู้จะมีโอกาสไหม ไม่สิ…ไม่รู้เธอมีมุมนั้นอยู่ในตัวไหมมากกว่า“อยาก
หลังจากที่ผมเคลียร์ค่าเสียหายทั้งหมดที่ยัยคุณหนูลลิลก่อไว้กับไอ้ดินเสร็จเรียบร้อยก็รีบบึ่งรถไปยังคฤหาสน์ของเรืองขจรทันที ระหว่างทางก็คิดถึงแต่อนาคตข้างหน้า ถ้าว่าที่ภรรยาของผมเล่นผลาญเงินแบบนี้จะเข้ากับแม่สามีอย่าง คุณหญิงมาริสา ได้ไหมนะ ผมนี่ปวดหัวรอเลย แค่ที่ผมกับพ่อใช้กันอยู่ทุกวันนี้ยังบ่นเช้า บ่นเย็น ถ้าเพิ่มลูกสะใภ้มาช่วยใช้อีกคนนะ คุณหญิงมาริสาอกแตกแหงๆถึงบ้านผมจะรวยขนาดไหน แม่ ก็ยังเป็นคนคอยควบคุมเรื่องการใช้จ่ายแทบจะทุกอย่างของทั้งที่บ้านและ AJD Group ท่านเป็นเหมือนนักตรวจสอบบัญชีอาวุโสเลยก็ว่าได้ แถมยังมีนิสัยมัธยัสถ์ขั้นสุดอีกด้วย การใช้จ่ายของท่านมักจะต้องเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเสมอ แต่ผมกลับไม่ได้แม่มาเลยสักนิดได้มาแต่สิ่งดีๆ ของพ่อที่แฮฟเงินแม่เป็นประจำ ซึ่งผมยกให้พ่อเป็นไอดอลเลยสำหรับเรื่องนี้ เพราะไม่งั้นผมคงไม่มีเงินมาใช้ไร้สาระ กินเหล้าหรือเที่ยวผู้หญิงตั้งแต่สมัยเรียนแบบนี้หรอก พอโดนจับได้ก็ทนหูชาไปสักสองสามวัน หลังจากนั้นก็ทำใหม่ วนลูปไปเรื่อยๆ เพราะผมมึนใส่อยู่แล้วแต่ที่หนักใจคือ แม่ไม่ได้เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้สักนิด
“กูว่ามึงรีบพากลับไปก่อนเหอะ” ไอ้ฟิวส์เสนอขึ้นและทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย ถึงมันไม่พูดผมก็ต้องพาเธอกลับอยู่แล้ว ผมโคลงศีรษะไปมาอย่างเอือมระอา ภาระ…ภาระ จริงๆ นี่ผมคิดถูกแล้วใช่ไหมที่แต่งงานกับเธอผมช้อนร่างบางขึ้นในท่าเจ้าหญิงและเบี่ยงตัวหันปลายเท้าเธอออกไปทางประตูก่อนจะหันหน้าไปหาไอ้ฟิวส์ เพราะมันเป็นคนเดียวที่สวมแจ็คเก็ต“มึง ถอดเสื้อมาดิ”“เวรเอ้ย เบียดเบียนกูอีก” มันบ่นและทำท่าไม่พอใจแต่ก็ยอมถอดเสื้อออกและโยนให้ดิน ไอ้เวรนี่…ไม่คิดจะขยับตัวไปไหนบางเลยรึไงวะ ส่วนไอ้คนที่ได้รับช่วงต่อก็หันขวับไปหาไอ้ฟิวส์ทันที แต่คิดเหรอ…ว่าคนอย่างไอ้ห่าฟิวส์มันจะรู้สึกรู้สาอะไร มันก็ทำเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นส่วนไอ้เหี้ยดินก็แทนที่จะลุกขึ้นกลับนั่งแดกเหล้าต่อ เพื่อนกูแต่ละคน…มึนๆ ทั้งนั้น และไอ้ที่อุ้มอยู่นี่ก็ยังดิ้น ยังโวยวายไม่หยุด เฮ้อออ…ผมถอนหายใจแรงก่อนจะใช้ตีนสะกิดไอ้ดิน“ไอ้ห่านี่ เร็วๆ”มันตวัดตามองผมก่อนส่ายหน้าไปมาอย่างไม่สบอารมณ์ ก็จะให้ทำไง…มือผมไม่ว่า
พอเคลียร์งานเสร็จผมก็รีบกลับมาที่คอนโด แน่นอนว่าไร้วี่แววของคนเมาหมดสภาพที่ผมแบกกลับมาเมื่อคืน ผมรู้อยู่ว่าคุณหนูลลิลไม่มีทางอยู่รอตามที่ผมทิ้งโน้ตไว้ ผมเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนเพื่อสำรวจความเรียบร้อย ก่อนจะเดินไปหยิบมือถือที่ถูกทิ้งไว้บนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาดูก่อนจะเก็บมันเข้ากระเป๋าตัวเอง รีบจนลืมเลยสินะ…ก่อนออกจากห้องผมโทรให้แม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดอีกครั้งก่อนถึงวันงาน ที่นี่เป็นคอนโดใหม่เพิ่งตกแต่งเสร็จหมาดๆ เพื่อใช้เป็นทั้งสินสอดและเรือนหอของผมกับคุณหนูลลิล ซึ่งความเป็นจริงก็ไม่รู้ว่าผมจะได้อยู่ที่นี่ด้วยรึเปล่า กลัวว่าพอถึงเวลาจะถูกว่าที่ภรรยาไล่ตะเพิดไปนอนที่อื่นน่ะสิ แปลกเนอะ…ญาติผู้หญิงเป็นฝ่ายมาขอร้องอ้อนวอนให้ผมแต่งงานกับหลานสาวตัวเองแท้ๆ ไหงผมยังต้องเสียค่าสินสอดตั้งหลายล้านอีก งงฉิบเป๋งตอนแรกก็ว่าจะเอามือถือไปคืนเจ้าของแต่แวะเข้ามาที่ผับไอ้ดินก่อนดีกว่า เพราะเห็นพวกมันคุยกันในแชทกลุ่มว่าวันนี้บรรดาเมียทั้งหลายพากันไปเลือกชุดสำหรับวันงานสำคัญของผม พวกมันก็เลยว่าง…แล้วก็พากันมานั่งแดกเหล้าตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน เหมือนไม่มีการมีงานทำไม่นานผมก็มาถึงและไม่ต้องพูดถึงบรรยากาศ
“พี่กินข้าวข้างทางได้ใช่ป้ะ” เขาถามขึ้นในตอนที่กำลังถอยรถเทียบฟุตบาทใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง“อืม…” ฉันครางรับและกำลังจะเปิดประตูลงจากรถแต่ถูกห้ามไว้ก่อน“เดี๋ยว” เขาหันไปเอื้อมหยิบเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำมาคลุมไหล่ให้“ขอบใจ” เกือบลืมไปเลยนะเนี่ย ว่าตัวเองอยู่ในชุดแบบไหน ฉันสอดแขนใส่ให้เรียบร้อยก่อนจะเปิดประตูลงจากรถเดินตามเขาเข้าไปในร้านที่จะว่าสะอาดก็ไม่เชิง จะว่าสกปรกก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ฉันก็ไม่ได้สูงศักดิ์ถึงขนาดกินข้าวข้างทางไม่ได้ซะหน่อยจังหวะที่ก้าวเข้าไปในร้านที่มีแต่นักศึกษาเกือบทุกโต๊ะ ทุกคนหันมามองฉันกับเรย์พร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย เหมือนฉันเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับพวกเขายังไงยังงั้น“มองอะไร! ไม่เคยเห็นคะ…อุ๊บ”เรย์เลื่อนมือขึ้นปิดปากฉันจากด้านหลังทันที ก่อนเขาจะหันไปสั่งข้าวกับแม่ค้าหน้าร้าน“ข้าวต้ม 2 ครับ”เขาคลายมือออกพร้อมกับออกแรงดันไหล่ตรงไปโต๊ะตัวแรกแต่เลือกให้ฉันนั่งเก้าอี้ที่หันหน้าออกนอกร้าน คงกลัวฉันจะอาละวาดใส่ผ
เช้าวันต่อมา…“ซี้ดดด…ปวดหัวฉิบ”ฉันยกกำปั้นขึ้นทุบศีรษะตัวเองรัวๆ ในตอนที่ยันตัวขึ้นนั่งตรงได้สำเร็จ แต่ก็ไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก ก่อนจะตั้งสติก้มสำรวจร่างกายตัวเองที่ยังอยู่ในชุดเดิมและเริ่มกวาดตามองไปรอบห้องนอนที่ไม่คุ้นตา ไม่ว่าจะเป็นการจัดวาง โทนสี หรือแม้แต่เตียงขนาดใหญ่ที่ฉันนั่งอยู่ ทุกอย่างมันดูใหม่ไปหมด เหมือนไม่เคยถูกใช้งานมาก่อนผ้าม่าน ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม ผนังห้อง ล้วนถูกตกแต่งด้วยสีน้ำเงินเข้มสลับกับสีคราม มันดูเข้ากันได้อย่างลงตัว สำคัญคือมันเป็นโทนสีที่ฉันชอบมือเล็กถูกยกขึ้นบีบขมับทันทีที่คิดย้อนไปถึงเรื่องเมื่อคืน นี่ฉันเมาจนภาพตัดไปเลยเหรอวะ…ฉันจำอะไรไม่ได้สักอย่างกลับมาจากผับยังไงใครมาส่งขนาดตื่นมาอยู่ที่ไหนยังไม่รู้เลย…อาจเป็นห้องใครสักคนในกลุ่มนั่นแหละ เพราะฉันยังอยู่ในสภาพที่ปกติดีทุกอย่าง แต่ไม่ใช่ห้องจ๊ะจ๋าแน่นอนฉันลุกขึ้นยืนและเดินไปเข้าห้องน้ำด้วยท่าทางสะโหลสะเหลตามประสาคนแฮงค์ พอเปิดประตูห้องน้ำก็ต้องพบกับความแปลกใจอีกครั้ง ทุกอย่างเหมือนยังไม่ผ่านการใช้