Masukแต่ไม่มีใครรู้ ว่าคนอย่างฉันมีอีกกี่ลมหายใจ ~~~
และไม่มีใครรู้ ว่าวันพรุ่งนี้ จะเป็นเช่นไร~~
ได้โปรดให้ความรัก ได้ทำหน้าที่ของมันต่อไป~~
ให้มันค่อย ๆ ช่วยเธอตอบ คำถามในหัวใจ ที่เธอยังสงสัย ~♩♫♪♬~
และปล่อยให้ตัวฉัน ได้ทำหน้าที่ทุกวันต่อไป….
“อะ…อ้าว” เขาร้องท้วงเมื่อฉันเอื้อมมือไปกดปิดเพลงที่กำลังเล่นบนหน้าจอ LED ตรงคอนโซลหน้ารถ
“รำคาญ” ฉันพ่นคำทั้งที่ยังหันหน้ามองออกนอกกระจกรถ เพลงโปรด แต่พอเขาเป็นคนเปิดมันกลับทำให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาซะงั้น เสียงเพลงดังออกมาจากลำโพงบวกกับเสียงเจ้าของรถที่หัมมาตลอดทาง ทำให้หัวสมองฉันตื้อตันไปหมด
“ออกจะเพราะ”
“ช่วยเงียบหน่อยเหอะ” ฉันเอ่ยข้อร้องด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความหงุดหงิดไม่น้อยและมันได้ผล เขาเงียบในทันที ตอนนี้ฉันไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเขาจะทำหน้าแบบไหนเพราะสายตายังล่องลอยไปตามเส้นขอบฟ้าที่ไกลลิบ เกือบได้กลับไปอยู่ในที่ของตัวเองแล้วเชียว ถ้าไม่ใช่เพราะเขา…เฮ้อออ
‘ฉันจะแต่งกับเธอเท่านั้น’
นี่คงเป็นประโยคที่ซาบซึ้งกินใจสำหรับใครหลายๆคน แต่หนึ่งในนั้นไม่ใช่ฉันอย่างแน่นอน ยิ่งเป็นคำพูดที่ออกจากปากนายมธุษินทร์แล้วด้วย ฉันกลับคิดว่ามันเป็นประโยคที่เลวร้ายที่สุด
เขาอาจจะเก่งเรื่องการใช้คำพูดหว่านล้อม ทำให้ผู้หญิงนับร้อย นับสิบ ยอมศิโรราบให้กับเขาได้ แต่นั่น…ใช้กับฉันไม่ได้
เขาเองก็คงไม่ต่างจากฉันเท่าไหร่ จากที่เคยได้รับฟังและเห็นมาด้วยตาตัวเองในบางครั้ง การหลอกให้ผู้หญิงยอมทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ พอใจแล้วก็เขี่ยทิ้ง เขาเริ่มทำมันตั้งแต่ยังไม่พ้น ม.ปลายเลยด้วยซ้ำ ถ้ามันจะยาวนานมาถึงตอนนี้คงฝังลงในส่วนลึกใต้จิตใจ จนขุดไม่ขึ้นแล้วล่ะ
วันนี้ฉันเหนื่อยเกินกว่าจะหนีแล้ว ยังไงก็ไปไหนไม่รอดอยู่ดี ฉันควรตั้งหลักใหม่ อย่างน้อยก็ยังพอมีเวลา ถึงจะยังมองไม่เห็นทางออกก็เหอะ
ทำไมชีวิตฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยวะ ทั้งๆ ที่อยากมีแค่ชีวิตที่เรียบง่าย ไม่เคยอยากได้ อยากมี หรืออยากเข้าไปยุ่งกับไอ้ธุรกิจนั่นที่แม่ห่วงนักห่วงหนา ห่วงยิ่งกว่าลูกในไส้อย่างฉันซะอีก
ลมหายใจถูกพ่นยาวออกมาซ้ำๆ ก่อนเอนหลังพิงเบาะรถด้วยความเหนื่อยหน่าย
ครืดดดด ครืดดดด
“หามือถือให้หน่อย ถ้าไม่อยู่บนเบาะ ก็ข้างล่าง” เขาเริ่มทำลายความเงียบด้วยการขอความช่วยเหลือจากฉัน พลางไล่สำรวจรอบข้างตัวเองสลับกับมองไปบนท้องถนนเป็นระยะ เพราะเขาคงหามันไม่เจอจากการใช้สายตาและไม่สามารถก้มลงหามันตัวเองได้ในเวลานี้
“วุ่นวายชะมัด ทำไมไม่รับไปเลยล่ะ” ฉันว่าพลางตวัดตามองคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย
“เธอคงไม่อยากรู้หรอก…ว่าพ่อฉันจะพูดว่าอะไร” เขาเลิกคิ้วถาม
ฉันถอนหายใจเหลือบมองบน ก่อนจะหันซ้ายหันขวารื้อหามือถือให้เขาด้วยความจำใจ ซึ่งความจริงเขารับมันจากปุ่มคำสั่งบนพวงมาลัยเลยก็จบ แต่ก็นั่นแหละ…เขาไม่อยากให้ฉันรับรู้ธุระส่วนตัว
มือเล็กเอื้อมลงใต้เบาะเพราะเหมือนมันจะสั่นมาจากตรงนั้น ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาส่งให้เขา เขาทำอะไรในรถ ข้าวของถึงกระจัดกระจายขนาดนี้ คิดแล้วก็อยากพุ่งตัวออกจากรถตอนนี้เลย ไม่กล้าเอาตัวแนบเบาะเลยฉัน...
“....” เขาเลื่อนสไลด์หน้าจอและยกขึ้นแนบหูด้วยมือข้างเดียว ความเร็วรถถูกผ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เขานิ่งเงียบไปหลายนาทีเหมือนกำลังตั้งใจฟังปลายสายพูด
“ครับ” ในตอนที่ขานรับ เขาเหลือบมองฉันที่กำลังมองเขาอยู่พอดี เราสบตากันก่อนที่ฉันเบนสายตาไปโฟกัสต้นไม้ใบหญ้าข้างทางแทน ไม่ได้อยากมองเขาซะหน่อย แค่อยากรู้ว่ากำลังคุยเรื่องฉันอยู่รึเปล่า ปรากฏว่าใช่…บทสนทนาระหว่างเขากับปลายสายมีฉันอยู่ในนั้นด้วย มันชัดเจนในประโยคถัดมา
“อยู่กับผมเนี่ยแหละ”
และฉันยังรู้สึกถึงการถูกจับจ้อง
“โอเคครับ”
หลังจากที่เขาทิ้งมือถือลงซอกข้างเกียร์ เขาก็เงียบไปเลย ฉันรู้สึกกังวลนิดหน่อย สถานการณ์ที่บ้านตอนนี้จะเป็นยังไงนะ อาม่าคงถือไม้เรียวรอแล้วมั้ง
“ส่งฉันที่คอนโดKKนะ” ฉันหันไปบอกเขา เพราะถัดไปอีกสามซอยก็ถึงคอนโดจ๊ะจ๋าแล้ว
“คอนโดใคร” เขาถามเสียงเข้ม พลางขมวดคิ้วยุ่ง
“ไม่ใช่เรื่อง” ฉันว่า
“งั้นก็ไม่จอด”
ลมหายใจถูกพ่นยาวออกมา ก่อจะขยับปากตอบด้วยความจำใจ
“เพื่อน”
“ผู้หญิงหรือ ผู้ชาย?” นี่มันเกินไปรึเปล่านะ…ยุ่งเรื่องส่วนตัวกันเกินไปแล้ว พอฉันไม่ตอบเขาก็หักพวงมาลัยออกขวา ฉันรู้ทันทีว่าจุดประสงค์เขาคืออะไรและจำใจตอบคำถามในที่สุด
“ผู้หญิง!”
แต่พอสิ้นเสียงฉันรถก็ถูกบังคับให้เลี้ยวซ้ายเข้าซอยเล็กก่อนถึงคอนโดจ๊ะจ๋า ฉันหันมองหน้าเขา ก่อนจะคิดขึ้นได้ว่าหรือมันอาจทะลุถึงกันได้ เพราะฉันไม่ได้กลับมาแถวนี้หลายปี เขาอาจจะรู้จักทางมากกว่า เลยไม่ได้ขัดอะไร
แล้วรถก็จอดเทียบหน้าร้านอาหารร้านหนึ่งกลางซอย นายมธุษินทร์เปิดประตูลงจากรถและเดินอ้อมมาเปิดฝั่งฉันด้วย
“ไปไหน” ฉันถามขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อมือหนาเอื้อมเข้ามาฉุดรั้นแขนฉันให้ลุกออกจากรถได้สำเร็จ
“กินข้าว” เขาพูดพร้อมดันประตูปิด
“ไม่ไป ฉันไม่หิว”
“แต่ฉันหิว…มา”
“แต่ถ้าถามกูว่าเขาเกี่ยวอะไรกับพ่อคุณหนูลลิล กูไม่รู้นะ เพราะป๊าก็ไม่รู้เหมือนกัน” ดินพูดพลางเหลือบมองฉัน“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ” ฉันว่าพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าความจริงเราควรจบแค่เรื่องปัจจุบันก็พอ เพราะถึงจะรู้ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี“รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์” ฉันพูดต่อ“อันนี้กูเห็นด้วย” เฮียหมอไวน์ที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้ามเสริมขึ้นและทุกคนก็พยักหน้ารับ เอาเป็นว่าเข้าใจตรงกันแล้วดินก็ก้มลงไปกดดูอะไรบางอย่างใน Macbook ของตัวเองอีกครั้ง“เออนี่ รูปมัน”ทุกคนพากันลุกมาเป็นไทยมุงโดยอัตโนมัติแบบที่ไม่ต้องได้รับคำเชิญฉันเพ่งมองใบหน้าของคนในรูปที่ดินเปิดขึ้น มันเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดที่ไหนสักที่ ถึงมันจะไม่ได้ชัดมากแต่ก็ระบุตัวตนได้ ถ้าบังเอิญเดินส่วนกัน ที่สำคัญมันใส่หน้ากากปิดหน้าซีกซ้ายตั้งแต่ช่วงหน้าผากลงมาถึงขอบปากก่อนจะเหลือบไปเห็นน้องมิณที่มีอาการแปลกไป เธอก้าวถอยหลังออกห่างไปสักระยะ หลังจากนั้นเธอก็สาวเท้าออกไปจากคอนโดโดยไม่พูดไม่
วันต่อมา…10:00 น.ครืดดด...ครืดดดฉันรู้สึกตัวตื่นเพราะการสั่นของสายเรียกเข้าจากใครสักคน ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าสิ่งรบกวนการนอนมาจ่อตรงหน้า หรี่ตาขึ้นเล็กน้อยเฌอณารีน…?ปลายนิ้วเรียวเลื่อนรับสายและเอาแนบหู กรอกเสียงแหบแห้งไปยังปลายสาย“ว่าไงเฌอ”[พี่ลลิล เฮียดินฝากให้โทรตามพี่กับเฮียแม็กซ์มาที่คอนโดเฮียดินค่ะ]“อ๋อ โอเคๆ” แน่นอนว่าฉันตื่นเต็มตาทันทีที่ได้ยินชื่อดิน[ด่วนเลยนะคะ]“อือ พี่จะไปเดี๋ยวนี้”ฉันวางสายและทิ้งมือถือไว้บนเตียง ก่อนจะหันไปเขย่าตัวปลุกคนข้างๆ“เฮียๆ ตื่นเร็ว”“อื้อออ…” คนถูกรบกวนส่งเสียงครางเล็กน้อย นั่นจึงเป็นตอนที่ฉันก้าวลงจากเตียง เพราะคิดว่าเขาน่าจะรู้สึกตัวแล้ว“ดินมีเรื่องด่วน” ฉันพูดขณะสาวเท้าไปยังตู้เสื้อผ้า“ห่ะ…อ้อ” พอได้ยินชื่อดินคนที่สะลึมสะลือก็ดีดตัวขึ้นนั่งราวกับสปริงและโดดลงจากเตียงด้วยความเร็วฉันจัดการธุระส่วนตัวด้วยความเร่
ฉันแอบแยกเขี้ยวใส่เขาด้วยนะ แต่มือก็ยังลูบหัวคนบนตักอย่างอ่อนโยน ฉันไม่เคยทำแบบนี้กับใครเลยนะจะบอกให้…เขาเป็นคนแรกและคงเป็นคนเดียวด้วยที่ฉันจะยอมทำให้ทุกอย่างบางทีเขาก็มีมุมที่ดูเป็นเด็ก คล้ายกับตอนที่เขาอ้อนแม่ของตัวเองยังไงยังงั้นเลยพอคิดแบบนี้แล้วก็รู้สึกแปลกๆเขาคงไม่ได้คิดว่าฉันเป็นแม่เขาอีกคนหรอกใช่ไหมผ่านไปหลายนาที ร่างหนาไม่ไหวติงจนฉันเริ่มสงสัย“เฮีย หลับแล้วเหรอ” ฉันถามเสียงแผ่ว“ยัง” ไม่หลับแต่ทำไมนิ่งขนาดนี้…“เฮียว่า…ทุกอย่างมันกำลังจะจบแล้วใช่ไหม” ฉันเริ่มประเด็นที่ยังค้างคาในใจ บางทีการได้คุยกับเขาอาจทำให้ฉันสบายใจขึ้น เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา“แน่นอน” เขาตอบ ขณะพลิกตัวกลับมานอนหงายและเอ่ยถาม“ทำไม กังวลเหรอ”“ไม่รู้สิ มัน…” ฉันหยุดไว้แค่นั้น พ่นลมหายใจยาวผ่านปลายจมูกเลื่อนสายตาโฟกัสท้องฟ้าสีน้ำเงินเข็มด้านนอกตรงช่องว่างของม่านที่แง้มไว้ไม่กว้างนัก ไม่ใช่ไม่อยากบอกเขา แต่ฉันไม่รู้จะพูดยังไง เพราะเร
ดวงตากลมโตยังเบิกกว้างท่ามกลางความมืดสลัวภายในห้อง ทั้งที่ล่วงเลยเวลาเข้านอนมาหลายชั่วโมง ลมหายใจยังคงถูกพ่นทิ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรื่องราวต่างๆ บวกคำถามมากมายที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ วนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุดหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ครอบครัวใหม่ของแม่จะเป็นยังไงท่านจะอยู่ได้ไหม ไม่มีใครรู้เลยว่าแม่รักสามีใหม่ของตัวเองมากแค่ไหน ความสูญเสียกำลังจะเกิดขึ้นกับท่านอีกแล้ว แถมยังมีเด็กไร้เดียงสาคนนั้นอีก จากที่เธอจะได้มีครอบครัวสมบูรณ์ก็คงพังทลายตั้งแต่ยังไม่รู้ความ เธอต้องเติบโตมาโดยไม่มีพ่อไหนจะธุรกิจหนักอึ้งที่ต้องแบบรับความเป็นจริงฉันควรวางใจ โล่งใจ ที่หัวหน้ามาเฟียใหญ่ตอบรับที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยสะสางเรื่องที่มนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างฉันหรือเฮียแม็กซ์ไม่อาจจัดการได้ ต่อจากนี้เรืองขจรจะได้อยู่แบบสงบสุขจริงๆสักที แต่ไม่เลย...ฉันยังรู้สึกกังวลใบหน้าหวานสะบัดไปมาเล็กน้อยเพื่อไล่ความคิดที่ยังไม่เกิดขึ้นออกจากหัวก่อนจะใช้มือเล็กค่อยๆ ยันตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียงอย่างเชื่องช้าและระแวดระวังสุดชีวิตฉันหยุดนิ่งชั่วขณะ ในตอนที่รับรู้ได้ถึงแรงยุบของฟูกจาก
“คุณรู้จริงๆ ด้วย” ฉันเผลอพูดออกมาด้วยความตกใจ ไม่ต้องถามย้ำว่าพิมพ์เล็กหรือพิมใหญ่ ไม่ต้องถามว่า ไฟว์ ที่ว่านั่น ตัวเลขหรือตัวอักษร ถ้าเป็นคนปกติที่ไม่รู้คงตอบว่า พีอีดีห้า เพราะรหัสมันคือตัวเลข แต่ตอบเป๊ะขนาดนี้ ไม่ได้เกิดจากความคาดเดาแน่ๆ อีกอย่างท่านตอบได้ในทันทีโดยไม่การคิดไตร่ตรอง แสดงว่าท่านมีคำตอบในใจอยู่แล้ว“ฉันจะบอกอะไรให้นะสาวน้อย รหัสนี้ไม่ใช่รหัสที่พ่อเธอตั้งขึ้นมาหรอก แต่คนบอกรหัสมันคือเจ้าของล็อกเกตนี้ต่างหาก” ท่านพูดขณะยกมือดันแผงอกเฮียแม็กซ์ให้ถอยออกห่างจากฉัน ก่อนจะออกคำสั่งเสียงเข้ม“เอามาให้ฉัน”“ยะ…ยังมีอีกเรื่องค่ะ” ฉันว่า“อะไรอีก” น้ำเสียงท่านเริ่มหงุดหงิดอีกครั้ง“ฉันจะไม่สนใจว่าฉันต้องตายเพราะเหตุผลอะไร แต่ฉันอยากให้คุณช่วยพวกเราได้ไหมคะ”เสียงแค้นหัวเราะในลำคอดังขึ้นทั้งที่ฉันยังพูดไม่จบประโยค“คิดว่าฉันเป็นนักบวชรึไง”“เอาการ์ดมาให้ฉัน เดี๋ยวนี้!!” ท่านออกคำสั่งซ้ำ“ป๊า” ดิ
“เธอเอามาจากไหน”หัวหน้ามาเฟียใหญ่เอ่ยถามเสียงแข็ง ขณะเอื้อมคว้าล็อกเกตในมือไปด้วยความไว จนฉันตั้งตัวไม่ติด อยากจะกำไว้แต่ไม่ทัน เพราะในฝ่ามือตอนนี้มีแต่ความว่างเปล่า และก็ไม่แปลกใจด้วยที่ไม่มีใครกล้าห้ามหรือขัดขว้าง บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดในชั่วพริบตา นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันกำลังเผชิญหน้าอยู่กับผู้มีอิทธิพลของจริง ไม่ใช่พวกมาต๊อกต๋อยแบบปลิงที่เกาะตัวแม่ฉันไม่ยอมปล่อยนั่นมันต่างกันลิบลับ รังสีทรงพลังแผ่กระจายทั่วร่าง ดวงตาทอประกายโหดเหี้ยมจนน่ากลัว ฝ่ามือค่อยบีบล็อกเกตแน่นขึ้น…แน่นขึ้น ราวกับท่านอยากให้มันแหลกสลายคามือทุกอย่างตรงหน้าส่งผลให้ฉันเผลอกลืนคำตอบที่เตรียมไว้กลับลงไปในลำคออีกครั้ง ฉันคิดว่าเขาคงไม่ต้องการฟังแล้ว…แต่“ฉันถามว่า ไปเอามาจากไหน!!!” ท่านตวาดด้วยเสียงดังกังวานจนเกิดการสะท้อนกลับฉันสะดุ้งโหย่ง ทำอะไรไม่ถูก เสียงนั่นทำให้ฉันคิดว่าสามารถผลักวิญญาณใครสักคนหลุดจากร่างได้เลยแหละ ท่านน่ากลัวมากจริงๆ แต่น่าแปลกที่ทั้งโรงพยาบาลตอนนี้เหมือนมีแค่เรา ไม่มีใครได้ยินอะไรเลยรึไงนะไม่นานร่างกายฉันก็ถูกดึงหลบไปอยู่ด้านหลัง เฮียแม็กซ์เ







