ความเงียบที่ปกคลุมอยู่ในห้องทำงานใหญ่ของคีรินทร์ถูกทำลายด้วยเสียงรายงานจากลิซ่า เลขาสาวคนสนิท
“เจอแล้วค่ะคุณคีร์...คุณมายด์กับคุณภาคินนัดเจอกันหลายครั้งในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ทุกครั้งเปลี่ยนสถานที่ ไม่เคยซ้ำ...เหมือนจงใจหลบสายตาใครบางคนค่ะ”
คิรินทร์นิ่ง เงียบราวรูปสลัก แต่ดวงตาคมเข้มใต้กรอบหน้าเย็นชาฉายแววบางอย่างออกมา
“บอกให้คนของเราเพิ่มอีกทีมไปจับตาดูภาคินโดยเฉพาะ” เสียงทุ้มต่ำสั่งออกมาอย่างเฉียบขาด
“ค่ะคุณคีร์” ลิซ่าพยักหน้ารับคำ ก่อนจะเหลือบมองนายตัวเองด้วยสายตาที่กังวล
"แล้ว...เรื่องของน้องน็อตล่ะคะ?"
คีรินทร์ไม่ตอบ ดวงตาคมหรี่ลงช้าๆ ใบหน้าของเด็กชายตัวน้อยลอยวาบขึ้นมาในหัว เขานึกถึงแววตาซื่อตรง การตอบโต้ฉับไวเกินวัย และสิ่งที่ชัดเจนที่สุด...ดวงตากลมโตคู่เดียวกับเขาเอง
‘แพ้อาหารทะเลเหมือนกัน...นิสัยดื้อเงียบเหมือนกัน...แม่งเอ๊ย’ เขาคำรามอยู่ในใจ
เขากำลังจะเสียการควบคุม เขา...ที่ไม่เคยปล่อยให้ใครหลอกซ้ำซาก
คืนวันนั้น เขาตัดสินใจไปพบอคิน ในคลับหรูส่วนตัวที่เปิดเฉพาะกลุ่มเพื่อนสนิท บรรยากาศครึ้มแสง หรูหรา และโดดเดี่ยว — เหมาะสำหรับคนมีบาดแผล
“แกแม่งดูไม่ได้เลยคีร์” อคินเอ่ยขึ้น หลังจากปล่อยให้เพื่อนจิบวิสกี้เงียบ ๆ อยู่นาน
ธาม—ซีอีโอแบรนด์แฟชั่นชื่อดัง ผู้แต่งตัวเนี้ยบแต่แววตายียวน—นั่งพิงโซฟาอีกด้าน เสริมขึ้นมา
“กูไม่รู้จักเมลิน แต่จากที่ฟัง...มึงเชื่อไปแล้วว่าน็อตเป็นลูกมึง ใช่ไหม?”
คีรินทร์วางแก้วลง ดวงตาคมดุดันวาบขึ้นทันที
“กูไม่ได้เชื่อ...แต่กูก็ไม่สามารถไม่คิด”
อคินถอนใจ
“มึงเคยสั่งให้กูเจาะข้อมูลทุกเซลล์ของศัตรู กูว่า...ลองใช้วิธีเดียวกันกับเด็กคนนั้นดูไหม? ตรวจ DNA มันไม่มีทางโกหก”
คีรินทร์ชะงัก ดวงตาคมหลุบลงก่อนเงยขึ้นสบตาเพื่อนหมอที่มองเขาด้วยสายตาตรงไปตรงมา
“มึงจะทำให้กู?”
“แน่นอน” อคินตอบทันที
“แค่เส้นผมกับตัวอย่างเลือดนิดหน่อย กูจัดการให้ภายในไม่กี่วัน”
“ถ้ามันใช่...แล้วกูต้องทำยังไงกับสองแม่ลูกนั้นวะอคิน” น้ำเสียงของเขาแผ่วลงแทบไม่เหมือนมาเฟียใหญ่ที่ทุกคนหวาดเกรง
“ก็แค่ทำในสิ่งที่มึงอยากทำแต่ไม่เคยยอมรับไง...รัก”
คำสั้น ๆ นั้นแทงกลางใจ
…
ค่ำคืนนั้น เมลินไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะกลับมาเร็วกว่าปกติ
เสียงเปิดประตูแรงกว่าทุกครั้งจนเธอสะดุ้ง เธอรีบวางผ้าขนหนูที่กำลังเช็ดผมน้องน็อต แล้วเดินออกมารับหน้าเขาอย่างสงบนิ่ง
“กลับมาเร็วจังคะ” เธอพูดเรียบง่าย ดวงตาพยายามอ่านอารมณ์เขา
แต่คีรินทร์ไม่ตอบ เขาเพียงเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ก่อนจะหยุดตรงหน้าเธอ
“เธอจะบอกฉันได้หรือยัง...ว่าน้องน็อตเป็นลูกใคร?”
เมลินนิ่งงัน ร่างทั้งร่างชาไปชั่วขณะ
“คีรินทร์...คุณเมาเหรอ?”
“ตอบมาเมลิน!” เขากระชากเสียงต่ำ ดึงแขนเธอให้นั่งลงกับโซฟา ขณะที่ร่างสูงใหญ่ตามเข้ามาคุกเข่าประจันหน้า มือทั้งสองข้างวางลงข้างลำตัวเธอราวกับกรง
“ฉันถามอีกครั้ง น็อตเป็นลูกฉันใช่ไหม?”
เธอสบตาเขา เห็นเพียงความสับสน ความเจ็บ และ...ความคาดหวัง
“คุณไม่มีสิทธิ์ถามแบบนี้” เธอเสียงสั่น แต่ยังคงท่าทีแน่วแน่ “คุณเคยเชื่อฉันไหมคะ?...ไม่เคยเลย คุณเชื่อใครต่อใคร ยกเว้นฉัน แล้ววันนี้...คุณอยากได้คำตอบจากฉันไปทำไม?”
“ก็เพราะฉัน...เริ่มกลัวความจริงไงเมลิน” น้ำเสียงทุ้มแผ่วลง
“กลัวว่าถ้ามันใช่...ฉันจะต้องยอมอ่อนแออีกครั้ง”
เขาโน้มตัวเข้าใกล้ใบหน้าของเธอ ใกล้จนลมหายใจร้อนผ่าวกระทบปลายจมูก
“แต่ฉันก็จะต้อง...รู้ให้ได้ว่าเธอ...โกหกฉันหรือเปล่า”
สองวัน...กลายเป็นช่วงเวลาที่ทรมานกว่าการเอาตัวเองไปเสี่ยงกลางสมรภูมิเสียอีก
สองวัน...ที่คีรินทร์ กัลย์พิทักษ์ ต้องเผชิญหน้ากับความเงียบของตนเอง
เขาเกลียดการรอคอย
เกลียดความไม่แน่นอน
เกลียดตัวเอง...ที่ยอมให้เรื่องหนึ่งเรื่องกัดกินความเยือกเย็นในหัวใจ
หลังจากวันนั้น เขาแอบนำเส้นผมของน้องน็อต พร้อมกับตัวอย่างเลือดของตัวเองส่งให้หมออคินตรวจดีเอ็นเอ โดยไม่ปริปากบอกใคร—แม้แต่ เมลิน
เขาคิดว่าเขาจะนิ่งพอ แต่เปล่าเลย...
วันสองวันนี้ บาร์ส่วนตัวใต้ตึกสำนักงานใหญ่กลายเป็นห้องปรับทุกข์ไปโดยปริยาย
อคินถอนหายใจเป็นรอบที่สิบ ขณะที่ธามยกแก้วเหล้าขึ้นอย่างเบื่อหน่าย
“กูไม่เคยเห็นมาเฟียคนไหน...จมขนาดนี้ว่ะ”
ธามพูดพลางยักคิ้วให้เพื่อนอีกคน
“อคิน มึงรีบๆ ปั่นผลตรวจออกให้มันเหอะ กูจะได้ไม่ต้องลากสังขารมานั่งฟังมันถอนหายใจวันละพันรอบ”
อคินยังคงเงียบ แต่เหลือบมองเพื่อนรักที่นั่งกุมขมับ ดวงตาคมเข้มที่เคยนิ่งเหมือนน้ำแข็ง กลับปั่นป่วนราวทะเลคลั่ง
“คืนนี้...ผลจะมา” เขาพูดเพียงแค่นั้น ก่อนลุกขึ้น
คีรินทร์ไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงจ้องแก้วเหล้าในมืออย่างเหม่อลอย...กลัวคำตอบที่รู้ว่าตัวเองไม่อาจหนี
…
เช้าวันรุ่งขึ้น
อคินเดินเข้ามาในห้องทำงานใหญ่ด้วยใบหน้าเรียบเฉย มือถือซองเอกสารสีขาวที่สะท้อนแสงแดดยามสาย
คีรินทร์เงยหน้าขึ้นทันทีที่เห็น
“ผลมาแล้ว?”
“ใช่”
อคินวางซองนั้นบนโต๊ะกระจกใสตรงหน้าเขา
แต่แทนที่จะรีบเปิดดู ชายผู้เป็นเจ้าของอาณาจักรคาสิโนกลับนิ่งไป—กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
“มึงอยากรู้...หรือกลัวรู้?”
อคินถามตรง
คีรินทร์หรี่ตา
“…อยู่ด้วยกันมาหลายปี มึงเพิ่งรู้ว่ากูกลัว?”
เสียงทุ้มต่ำติดหยันตัวเอง แล้วเขาจึงพยักหน้าเบา ๆ ไล่เพื่อนรัก
“กูขออยู่คนเดียว”
อคินมองเขานิ่ง ๆ ก่อนถอนใจยาว เดินออกไปโดยไม่พูดอะไรอีก
บานประตูปิดลง
คีรินทร์ยังไม่แตะซองเอกสารนั้นทันที แต่เพียงมองมันอย่างเงียบงัน—หัวใจเขาเต้นดังจนได้ยินในความเงียบ
เมื่อเขาคว้าซองนั้นมาไว้ในมือแล้วค่อย ๆ แกะออก
สายตาคมกวาดผ่านตัวอักษรบนกระดาษอย่างเชื่องช้า...จนกระทั่งถึงบรรทัดสำคัญ
“ผลการตรวจพิสูจน์ความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมระหว่างบุคคลทั้งสอง: ตรงกัน 99.999% เป็นบิดาโดยสายเลือด”
เขานิ่งงัน
มือที่จับกระดาษสั่นเล็กน้อย รู้สึกเหมือนทุกเสียงรอบตัวดับวูบ เหลือเพียงเสียงลมหายใจตัวเองที่รุนแรงและสับสน
ภาพเด็กชายตัวน้อยลอยซ้อนทับกับแววตาของตัวเขาเองในกระจก
คำพูดของเมลินที่เคยตะโกนทั้งน้ำตา
เสียงร้องของน็อตที่เรียกหา ‘แม่’ เวลาฝันร้าย
ทั้งหมดตีกันในหัวเขาเหมือนพายุ
เขาเป็นพ่อ...
เขาคือพ่อของเด็กคนนั้น...
คีรินทร์หลับตาแน่น ความรู้สึกจุกแน่นขึ้นมาในอก
เขารู้สึกเจ็บ
รู้สึกผิด
รู้สึกเหมือนเขากำลังถูกลงโทษ...จากบาปที่ตัวเองไม่เคยยอมรับ
“ทำไมเธอถึงไม่บอกฉัน...” เขาพึมพำในลำคอ
แล้วลุกขึ้นเต็มความสูง
…
ค่ำวันนั้น
เมลินกำลังจะพาน้องน็อตเข้านอน มือเธอกำลังสางผมของลูกชายเบา ๆ ขณะที่เขากำลังหลับตาพริ้มบนเตียงเล็ก
เสียงเคาะประตูสองครั้งก่อนเปิดเข้ามา ทำให้เธอหันขวับ
คีรินทร์ยืนอยู่ที่หน้าประตู
ใบหน้าของเขานิ่ง
ไม่มีความโกรธ ไม่มีความเย็นชา
แต่เธอกลับรู้สึกหนาวยะเยือกในอกอย่างไม่มีเหตุผล
“คุณมีอะไรหรือคะ?”
เขาไม่ได้ตอบในทันที
เพียงเดินเข้ามาช้า ๆ สบตาเธอราวกับกำลังค้นหาความหมายบางอย่างในแววตานั้น
เมื่อเขาหยุดยืนตรงหน้าเธอ เขาเงยหน้ามองน้องน็อตที่หลับสนิท ก่อนหันกลับมาสบตาเธออีกครั้ง
“ทำไมเธอไม่บอกฉัน...”
เสียงของเขาเบาและนิ่ง
แต่เมลินรับรู้ถึงแรงสั่นไหวในน้ำเสียงนั้น
หัวใจเธอชะงัก
คำตอบมากมายที่เตรียมไว้พลันหายไปหมด
ในแววตาของเขา...ไม่มีความโกรธ
มีเพียงความเจ็บปวด และ...คำถามที่รอค้างมานาน
ในใจเธอเหมือนมีบางอย่างแตกหักลงช้า ๆ — ความกลัว ความเสียใจ และคำว่า “ถ้าบอกเขาเร็วกว่านี้” ที่ติดอยู่ในอกตลอดห้าปี
เธอไม่ตอบ
เขาเองก็ไม่คาดหวังคำตอบอีกแล้ว
และในค่ำคืนนั้น ทั้งสองคน...ต่างยืนอยู่ในความเงียบเดียวกัน
ระหว่างพวกเขา ไม่มีใครพูดออกมาว่า ‘ความจริง’ มันหนักแค่ไหน
แต่ตอนนี้...มันได้เปลี่ยนทุกอย่างไปแล้ว
เสียงนาฬิกาปลุกเบา ๆ ดังขึ้นในห้องนอนอบอุ่นยามเช้า แสงอาทิตย์ลอดผ่านม่านสีครีมสาดกระทบเตียงใหญ่กลางห้องเมลินค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันไปมองร่างของลูกชายตัวน้อยที่นอนหลับอยู่ตรงกลางระหว่างเธอกับคีรินทร์“แม่...วันนี้ผมได้ไปโรงเรียนกับพ่อใช่ไหมครับ?”เสียงน้องน็อตดังแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ทั้งที่ยังไม่ลืมตาดีคีรินทร์ที่นอนนิ่งอยู่ข้าง ๆ ขยับตัวช้า ๆ เขาค่อย ๆ ยกมือขึ้นลูบผมนิ่มของลูกชายอย่างทะนุถนอม“ใช่ วันนี้พ่อจะไปส่งน็อตเอง”เสียงทุ้มของเขานุ่มนวลขึ้นกว่าทุกครั้ง ราวกับต้องการให้ทุกเช้าวันใหม่ของลูกชายเริ่มต้นด้วยความปลอดภัยเมลินยิ้มบาง ๆ พลางโน้มตัวไปหอมแก้มน้องน็อต“แม่วางเสื้อผ้าไว้ให้แล้วนะลูก อยู่ที่ปลายเตียง ไปอาบน้ำก่อนนะครับ เดี๋ยวเราจะไปพร้อมกัน”เช้านั้นคือเช้าวันแรกที่น้องน็อตได้ไปโรงเรียน…ในฐานะลูกของ “พ่อกับแม่” อย่างเป็นทางการชื่อในใบสมัครเรียน ชื่อของบิดา คือ “คีรินทร์ กัลย์พิทักษ์”ไม่มีคำว่า &ld
กรุงเทพฯ ยามเช้าดูวุ่นวายกว่าทุกวันเสียงแตรรถยนต์ที่ไม่เคยเงียบลงสักวินาที สะท้อนผ่านกระจกห้องนอนชั้นบนสุดของคฤหาสน์หรูใจกลางสุขุมวิท เมลินยืนพิงระเบียง เฝ้ามองวิวเมืองในความเงียบงัน ปลายนิ้วยังกำถ้วยกาแฟอุ่นไว้แน่นแค่กาแฟหนึ่งแก้ว…ก็ยังไม่มีแรงจะยกดื่มเธอฝืนยิ้มให้กับความจริงที่ตนเองไม่ยอมรับมาเนิ่นนานคฤหาสน์หรู ห้องนอนใหญ่ เตียงนุ่ม และคนรักที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อเธอแต่มันไม่สามารถลบภาพในหัวของเธอออกไปได้เลย—เสียงระเบิด เสียงน็อตร้องไห้ หรือแม้แต่สัมผัสจากรถที่พุ่งเข้าหาเธอในวันนั้นเธอ…ยังคงฝันถึงมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า"เมื่อคืนฝันร้ายอีกใช่ไหม?"เสียงทุ้มต่ำของคีรินทร์ดังขึ้นจากด้านหลัง เขาก้าวเข้ามาช้าๆ สวมเสื้อเชิ้ตสีดำแบบลำลอง ร่างสูงใหญ่มากพอจะบดบังแสงเช้าไว้จนหมดมือเย็นแต่นุ่มของเขาแตะที่ไหล่เธอเบาๆ ก่อนจะเลื่อนมากอดจากด้านหลัง"ฉันไม่เป็นไร" เธอตอบอัตโนมัติ…แต่ไม่มองตาเขาคีรินทร์ไม่พูดอะไรอีก เขาเพียงกอดเธอแน่นขึ้นเล็กน้อยเขารู้…เธอไม่โอเครู้&h
มือแกร่งไล้ลงไปที่ต้นขาด้านใน เขาแยกขาเธอออกช้า ๆ แล้วก้มลงใช้ปลายลิ้นสัมผัสตรงกลางกลีบกุหลาบที่เปียกชื้นอยู่แล้วจากความปรารถนา“อื้อ…คี…”เสียงสะอื้นสั่นเครือหลุดออกมาไม่ทันจบประโยคเมื่อปลายลิ้นแกร่งนั้นกวาดลากซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาดุนปลายลิ้นเข้าข้างใน สลับกับการดูดเม็ดละมุนจนร่างเธอสั่นเกร็งทุกครั้งที่ถูกจู่โจม“ไม่…อย่า…” เธอครางห้าม แต่มือกลับจิกเส้นผมเขาแน่นเพราะเขาไม่เพียงแค่สัมผัส…แต่กำลัง โอบกอดบาดแผลทั้งหมดของเธอด้วยลิ้นของเขาเมื่อเธอใกล้ถึงขีดสุด เขาจึงยอมถอนริมฝีปากออกแต่ยังไม่หยุด… ปลายนิ้วร้อนแทรกเข้าไปทีละน้อยอย่างช้า ๆเขาดูดปลายอกเธอแรงขึ้นในขณะที่นิ้วข้างหนึ่งดันเข้าไปจนสุดโคนเสียงครางเบา ๆ หลุดจากริมฝีปากเธออีกครั้ง พร้อมกับสะโพกที่แอ่นขึ้นอย่างลืมตัว“แฉะไปทั้งตัวแบบนี้…” เขาพึมพำต่ำ“แน่ใจเหรอว่าไม่ต้องการฉัน?”คีรินทร์จับเรียวขาเธอพาดบ่า แล้วขยับตัวเข้ามาจนส่ว
แสงแดดยามเย็นอาบไล้ผืนทรายทองบนเกาะส่วนตัวเงียบสงบในอ่าวไทย เสียงคลื่นซัดเบา ๆ กับเสียงหัวเราะใส ๆ ของเด็กชายตัวน้อยกำลังวิ่งไล่ปูกับแม่ของเขา สายลมอุ่นพัดกลิ่นเค็มของทะเลแทรกผ่านกลิ่นหอมของอาหารที่ลอยออกมาจากโต๊ะไม้ใต้ศาลาริมชายหาด—อาหารทั้งหมดถูกจัดเตรียมโดยฝีมือของคีรินทร์เองเขาไม่ใช่มาเฟียอีกแล้วไม่มีแววโหด ไม่มีกลิ่นเลือด ไม่มีร่างกายที่เปื้อนบาปจากการฆ่ามีเพียงชายคนหนึ่ง…ที่เคยผ่านนรกมาเพื่อปกป้องคนที่เขารักคีรินทร์ยืนพิงเสาไม้ ยกแก้วน้ำมะพร้าวขึ้นจิบ ดวงตาคมทอดมองภาพสองแม่ลูกอย่างเงียบงัน เมลินหัวเราะ เสียงนั้นไม่ใช่เพียงเสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง…แต่มันคือเสียงของ "บ้าน"เขาไม่เคยมีบ้าน จนได้ยินเสียงนั้น"คุณพ่อ ทำไมวันนี้ทำกับข้าวเองล่ะครับ!" น็อตวิ่งเข้ามาเกาะขาเขาแล้วเงยหน้าถามอย่างไร้เดียงสาคีรินทร์ย่อตัวลง ลูบผมลูกชายเบา ๆ"ก็พ่ออยากทำให้คนสำคัญกินไงครับ"น็อตหันไปมองเมลินแล้วหัวเราะ"คุณแม่เป็นคนสำคัญใช่ไหมครับ!"เขาไม่ได้ตอบอะไร แต่หัวใจกลับเต้นแรงในอกหลังอาหารมื้
ค่ำคืนที่คฤหาสน์แถบชานเมือง — เงาสุดท้ายของความแค้นในห้องที่เคยเป็นห้องนอนของคริส คีรินทร์นั่งอยู่ลำพัง เขาจุดไฟใส่รูปภาพเก่าๆ ของตัวเองกับน้องชาย ดวงตาเรียบนิ่งมองเปลวไฟที่เผารูปนั้นช้าๆ จนเหลือเพียงเถ้าเมลินไม่ได้อยู่ตรงนี้ ไม่มีเสียงของลูก ไม่มีความอุ่นจากอ้อมแขนของใคร ทำให้เขารู้สึกอ้างว้างเหน็บหนาวไปถึงหัวใจเถ้ารูปเก่าปลิวตามลมเบาๆ ขณะเขามองมันด้วยสายตาว่างเปล่า...แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยเสียงโหยหาแม้ในความเงียบของห้องจะไม่มีใครอยู่ด้วยเลยสักคน—แต่จู่ๆ เสียงหนึ่งกลับแทรกเข้ามาในหัวเขา...นุ่มนวลแต่หนักแน่นเสียงของเธอ...เมลิน...“ถ้าวันหนึ่งคุณเข้าใจทุกอย่าง...ฉันจะรอฟังด้วยใจ ไม่ใช่ด้วยความแค้น”ประโยคนั้นที่เคยพูดไว้ด้วยน้ำตา...กลับดังชัดราวเพิ่งพูดจบเมื่อครู่และคีรินทร์...ที่เคยเชื่อว่าหัวใจตัวเองด้านชา...กลับต้องเบือนหน้าหนี เพราะดวงตาร้อนผ่าวโดยไม่รู้ตัวเขายกมือขึ้นปิดเปลือกตาแน่น ก่อนเสียงแหบพร่าจะเล็ดลอดออกมาเบาๆ“ฉันไม่คู่ควรกับการให้อภัย...แต่ขอบคุณที่ย
เสียงลมหอบหนักในห้องประชุมชั้นใต้ดินของคฤหาสน์เก่าที่เมืองไทยไม่ใช่เพราะเครื่องปรับอากาศขัดข้อง หากแต่เป็นเพราะอารมณ์ในห้องที่อึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก คีรินทร์ยืนเงียบอยู่หน้าจอโปรเจกเตอร์ ดวงตานิ่งสนิทเย็นชา ปราศจากแววของความเมตตา"เปิดเสียง"คำสั่งสั้นๆ ถูกส่งออกไปในน้ำเสียงเรียบเย็น เหมือนไม่ได้ตั้งใจฆ่าใคร...แต่พร้อมจะทำลายทั้งเผ่าพันธุ์ไฟในห้องหรี่ลง เสียงสนทนาในคลิปถูกฉายผ่านลำโพงอย่างชัดเจน"ถ้าเราปรับโครงสร้างตอนนี้ คนของคีรินทร์จะเริ่มลังเล ส่วนของฉันฝังไว้หมดแล้ว ไม่นานก็เปลี่ยนขั้วได้""มายด์ก็อยู่ใกล้เขามากพอจะรู้ทุกอย่าง...แค่เขาไม่ตายตอนนั้นก็โชคดีไป""เมลินเหรอ? โยนให้เธอไปสิ ตำแหน่งแพะมันเหมาะกับผู้หญิงไม่มีตัวตนแบบนั้นอยู่แล้ว"เสียงหัวเราะเหยียดหยามจากคลิปกรีดแทงลึกลงในหัวใจคนฟังทุกคน เสียงของภาคินและมายด์ชัดเจนราวกับพวกเขากำลังยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆคีรินทร์ก้าวเดินอย่างช้าๆ ไปยืนหน้าห้อง ดวงตาคมกริบเหลือบมองชายชราในชุดสูทสีเข้ม ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มเก่าแก่ขององค์กรที่เคยจงรักภักดีกับเขามาโดยตลอด"นี่คือหลั