เด็กหนุ่มพักหายใจครู่หนึ่ง เขาอ้าปากกว้างหายใจให้ทันตามร่างกายต้องการ ทว่าของเหลวเหนียวหนืดในปากก็ขัดขวางลมไม่ให้เข้ามาได้อย่างเต็มร้อย
“อือ…” ปีศาจใกล้หมดสภาพอย่างดันเต้ทำได้เพียงส่งเสียงอยู่ในลำคอหนาใหญ่ ในขณะที่เวทมนตร์แปลกปลอมค่อยๆถูกไถ่ถอน “อึก… อืม…”
กลิ่นหวานที่เผ็ดร้อนลอยคลุ้งฟุ้งกระจายทั่วทั้งห้อง พลังงานลึกลับที่ปะปนมาด้วยครอบงำมิวจนไม่อาจระงับความอยากของตัวเอง
ริมฝีปากเด็กหนุ่มประกบเข้ากับแท่งเนื้ออุ่นๆอีกครั้ง แรงดูดเพียงแผ่วเบารีดเค้นของเหลวออกมาระลอกใหญ่ มิวรู้สึกถึงความร้อนไหลเจิ่งนองแผ่กระจายทั่วโพรงปาก ความซาบซ่านนั้นสดชื่นจนแทบขาดไม่ได้
ในหัวตื้อตันของมิวโดนสะกดจิตให้พุ่งความสนใจกับความหฤหรรษ์ตรงหน้า เขาอยากเติมน้ำจากปีศาจเข้ามาในร่างกายจนกว่าทั้งท้องจะถูกเติมเต็ม
“ห่ะ…” ดันเต้อ้าปากได้เล็กน้อย แรงดันจากภายในร่างกายทำให้เขาอึดอัด หากตอนนี้ขยับตัวได้สักหน่อยคงสบายตัวกว่านี้
“แฮก… แฮก” มิวกระหืดกระหอบ ใบหน้าแดงก่ำจากสภาพเกือบขาดอากาศ ริมฝีปากเปียกปอนไปด้วยคราบเหนียวเหนอะ “นายดีขึ้นไหม?”
“ฮือ…” ดันเต้พ่นลมหายใจหนักหน่วงเป็นการตอบ
“บอกแล้วว่าฉันไม่ไร้ประโยชน์”
เมื่อภารกิจยังไม่เสร็จสิ้น มนุษย์หนุ่มก็พร้อมให้บริการจนกว่าจะสุดทาง เขาค่อยๆโน้มตัวลงต่ำอีกครั้ง บรรจงจูบส่วนปลายสีแดงที่ปูดโปน
ทุกการแตะริมฝีปากลงบนส่วนโค้งมนนั้นทำให้ท่อนลำอันดุดันสั่นไหวเต้นระรัว นี่คงเป็นเพียงสิ่งเดียวของดันเต้ที่ยังคงมีปฏิกิริยาตอบสนองได้ไร้ที่ติ
ลิ้นนุ่มชื้นของมิวลูบไล้แท่งหนานุ่มทรงกระบอก เย้าแหย่เส้นเลือดตามผิวหนัง จากด้านล่างไต่ขึ้นไปสูงยอดบวมใหญ่
หากตอนนี้พูดได้ดันเต้คงบอกว่า ‘เขาทนไม่ไหวแล้ว’ แต่เนื่องด้วยตอนนี้พลังของเขายังไม่ฟื้นกลับคืนมา จึงทำได้เพียงทำเสียงฮึดฮัดอยู่ในดวงตาที่มืดบอด
มิวโลมเลียและบีบคลึงเพียงไม่กี่ครั้ง แก่นเนื้อท่อนมหึมาก็ปะทุลาวาขาวขุ่นออกมารอบแรกจนสำเร็จ
“เริ่มไหลออกมาแล้ว…” มิวพูดด้วยความตื่นเต้น ขณะมองน้ำกามสีขาวขุ่นที่ถูกเจือปน ค่อยๆไหลเยิ้มอย่างช้าๆจากรูขนาดเล็ก
ปลายยอดชุ่มโชกราวสายน้ำเคลื่อนลงเป็นทางตามแนวดิ่ง พาดผ่านเส้นเลือดและเส้นเอ็นที่บวมโป่ง สีของมันเจือปนด้วยสีชมพูอ่อนอย่างน่าพิศวง
กลิ่นคาวผสมหวานยั่วยวนจนมิวเผลอก้มลงไปชิม ไม่สนถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น…
รสชาติของมันไม่แตกต่างจากกลิ่นเท่าไหร่นัก คล้ายขนมปังวานิลลาและมีความเผ็ดปิดท้าย จะบอกว่ามันอร่อยก็เชิง ทว่าก็ไม่สามารถหยุดกินได้
ชายหนุ่มโลมเลียจนสะอาดทุกซอกมุมไม่เว้นแม้กระทั่งซอกนิ้วของตัวเอง ช่องท้องรู้สึกวูบวาบราวกับมีลูกไฟนับร้อยพุ่งชนตลอดเวลา
ท่อนเอ็นแข็งใหญ่ผงกสั่นเป็นการเชื้อเชิญ ทั่วทั้งลำลึงค์ถูกเคลือบฉาบจนแวววาว มนุษย์หนุ่มจ้องเขม็งก่อนจะคว้ามันมาโอบอุ้มในอุ้งมือ
“ฉันอยากได้มันอีก… ขอมากกว่านี้…”
คำพูดของมิวพ่นออกมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทำให้ดันเต้แน่ใจว่าเวทมนตร์ของคิวปิดที่ผสมอยู่กับน้ำกามที่ไหลออก มาจากตัวเขา ส่งผลกระทบครอบงำไปถึงมิวด้วย
เพียงศรทองของกามเทพเมื่อลั่นเข้าสู่ร่างของมนุษย์ ก็จะทำให้คนผู้นั้นตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งแรงปรารถนา นี่รวมกับน้ำกามที่เสมือนยาปลุกเซ็กซ์ของอินคิวบัสเพิ่มไปอีก ดันเต้ไม่อยากจะคิดว่าข้างในของมิวจะบ้าคลั่งได้มากขนาดไหน
กระนั้นปีศาจหนุ่มก็ทำได้เพียงเฝ้าสังเกตอาการด้วยสองแก้มที่แดงสุกงอม…
มือขาวเนียนนุ่มเริ่มขยับรูดขึ้นลงด้วยความเร็ว เปลี่ยนแก่นเนื้อของดันเต้ให้สีเข้มสดขึ้น ความเจ็บปวดและสุขสมบดบี้ผสานกันจนเป็นชิ้นเดียวกัน
เปลือกตาของดันเต้เปิดได้ครึ่งหนึ่ง เขามองเห็นรอยยิ้มพิลึกพิลั่นที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจากมิว พลางทำให้คิดถึงคิวบัสเกิดใหม่ที่มิอาจควบคุมความหิวกระหาย
“ฮะ… ฮา…” ดันเต้อ้าปากค้างผ่อนลมหายใจหนักหน่วงออกมา
“มันเริ่มจะแห้งแล้ว” มิวหมกมุ่นอยู่กันแก่นเนื้อของปีศาจ “ฉันต้องทำให้มันเปียก”
ชายหนุ่มโน้มตัวลงไปข้างหน้าครอบริมฝีปากเข้ากับส่วนหัวที่เหลือล้น มือทั้งสองชักรูดรอบลำอวบอ้วน เมื่อไม่อาจทานทนต่อแรงดึงดูด… มิวก็ใช้ปากอีกครั้ง
ลิ้นห่อรัดท่อนบนที่บวมขยาย ลำคอเรียวยาวของมิวถูกเติมเต็มด้วยเมือกใสทั้งเหนียวและลื่น
“ไม่ได้… มันจะออกมา… ไม่ได้” ดันเต้โอดครวญพยายามสู้กับแรงกระตุ้น มือที่ยกขึ้นมาทำได้แค่เพียงวางบนหัวของมิว “นายรับมัน… อ้า… ซี้ด… มากเกินไป”
สมองและหูของมิวเลอะเลือนเกินกว่าจะฟังเสียงอื่นนอกหัวของตัวเอง “ต้องการอีก… ฉันยังไม่พอ”
“อ๊ากกก…” ดันเต้ร้องระงมในขณะที่ปล่อยคลื่นขาวขุ่นทะลักออกมา รอบนี้มันออกมาเป็นจำนวนมากในครั้งเดียว
“อุก… อึก…” มิวสำลักเพราะไม่ทันตั้งตัว เขาอ้าปากปล่อยให้น้ำที่ล้นในปากไหลทะลักออกมาด้วยเกินจะรับได้หมด
แม้จะรู้ว่าอันตรายแต่ดันเต้ไม่สามารถปฏิเสธได้จริงๆว่ามิวในตอนนี้ เร่าร้อนเป็นพิเศษ
เด็กหนุ่มถอนริมฝีปากออกจากแก่นเนื้อของปีศาจ น้ำขาวขุ่นไหลหยดจากมุมปากลงไปถึงคาง สายตาไม่อาจหยุดจับจ้องกับภารกิจตรงหน้า
“ยังไม่พอ” มิวใช้หลังมือเช็ดทำความสะอาดก่อนจะตวัดลิ้นเลียเข้าปากไปทั้งหมด
ปีศาจที่กำลังฟื้นฟูพลังทำได้เพียงจ้องมองภาพด้วยสายตาลุ่มหลง หน้าท้องเบาหวิวเสียวซ่านไปจนถึงกระดูกสันหลัง
มนุษย์หนุ่มผ้หมดสิ้นความเป็นตัวเองอ้าปากกว้าง ต้อนรับท่อนเอ็นทั้งอันของดันเต้เข้าไปอีกครั้ง ส่วนบนที่กลมนูนกดทับกระพุ้งแก้ม มิวตวัดลิ้นไปมาเพื่อกระตุ้นตามเส้นเอ็นที่ใกล้ระเบิด แช่แก่นเนื้อนั้นเอาไว้จนมันปล่อยน้ำกามระลอกเล็กมาอีกรอบในระยะเวลาอันสั้น
“อื้อ…” มิวร้องครางอย่างสุขสันต์ เขาไม่รู้แล้วว่าตอนนี้ปีศาจหรือเทวาครอบงำจิตใจ รู้เพียงว่าเขาอยากทำแบบนี้ไปจนกว่าจะไร้ลมหายใจ
“... นะ… นายต้องหยุด” ใบหน้าเหยเกของดันเต้พยายามพูดสิ่งที่มิวไม่สนใจฟัง “นาย… กำลังโดน… อึก… ยาเสน่ห์ฤทธิ์แรงอยู่นะ… ตั้งสติหน่อย… เจ้าบ้า… ห่ะ… ฮาาาา”
ถึงจะบอกให้อีกฝ่ายตั้งสติ กระนั้นดูเหมือนว่าดันเต้จะเป็นฝ่ายที่ทำไม่ได้เสียเอง ยิ่งมิวดูดแก่นเนื้อของเขาลงคอลึกมากเท่าไหร่ ตัวเขาเองก็ไม่อยากหยุดเช่นกัน
ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างรวมกระจุกอยู่ตรงท่อนเอ็นของปีศาจ ดันเต้รู้สึกปวดตึงจากการแข็งชูชันที่มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน และไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่
ดวงตากลมโตตาของดันเต้ตื่นขึ้นจนเต็ม ประกายระยิบระยับสีทองติดๆดับๆอยู่ในห้วงทะมึน เหมือนไฟแช็กที่หมดเชื้อเพลิงกลางห้องมืดมิด
ในขณะที่ภายนอกพยายามต่อสู้กับอาการควบคุมร่างกายไม่ได้ อารมณ์ภายในกลับพวยพุ่งจนควบคุมไม่อยู่ ดันเต้เริ่มเข้าใจความรู้สึกของมิวเล็กน้อย เมื่อร่างกายและจิตใจไม่เดินทางไปพร้อมกัน…
ลิ้นที่คล่องแคล่วของมิวดุนดันแก่นเนื้อเล่นอย่างสนุกสนาน ขนาดของสิ่งนั้นบวมใหญ่เรื่อยๆ มันอัดแน่นอยู่ในทุกพื้นที่ของโพรงปาก
ช่องคอที่นุ่มชื้นของมิวชนเข้ากับส่วนปลายที่พองบวมของดันเต้ การเตรียมพร้อมอย่างดีทำให้เขาไม่มีทีท่ากระอักกระอ่วนแม้แต่น้อย
นิ้วมือเรียวงามของมิวบีบเคล้นรอบบอลสองลูกของดันเต้ไปด้วย หยดน้ำรักถูกรีดออกมาราวกับบ่อน้ำที่ไร้วันแห้งขอด หัวของมิวโยกขึ้นลงอย่างช้าๆ ในขณะที่ดันเต้ทำได้เพียงวางฝ่ามือตัวเองโดยออกแรงไม่ได้
ความเสียวกระสันรุนแรงและรวดเร็ว ดั่งสายฟ้าฟาดแผ่กิ่งก้านไปยังปีศาจผู้หื่นกระหาย เขารู้สึกได้ถึงลำลึงค์ที่ใหญ่อย่างเต็มที่ จนมันไม่อาจจะขยายได้มากกว่านี้อีกแล้ว
ถุงน้ำเชื้อถูกมือข้างหนึ่งของมิวนวดคลึงอย่างเบามือ แก่นเนื้อก็ถูกมืออีกข้างรูดชักขึ้นลงเป็นจังหวะ ส่วนปลายสีเข้มก็โดดดูดดื่ม ความปรารถนาของดันเต้ถูกฉีกออกเป็นสองส่วน ระหว่างรวบรวมพลังหยุดการกระทำทั้งหมดตอนนี้ หรือปล่อยให้มิวดูดกลืนเวทไม่พึงประสงค์นี้ออกไปจนหมด
ดันเต้ไม่มีเวลาให้คิดนานนักเมื่อเขารู้ขีดจำกัดของตัวเอง การระเบิดระลอกใหญ่กำลังจะปะทุออกมา…
นัยน์ตาดำขลับแปรเปลี่ยนเป็นสีทองเรืองรอง ดันเต้พยายามรวบรวมพลังให้ทันก่อนมิวจะรับอะไรเข้าร่างจนเกินขีดจำกัดของตัวเอง
“ขะ… ขอร้อง… หยุดเถอะ” ดันเต้ผงกหัวขึ้นมา เพื่อมองดูมิวอีกครั้ง “ไม่อย่างนั้น… ฉะ… อึก ฉันจะ… แตก…”
มิวปฏิเสธอย่างเงียบงันด้วยการเมินคำพูดของดันเต้ เขายังคงเร่งเร้ากระบวนการสุดท้ายให้สำเร็จ
“อึก… ไม่ไหว… แล้ว” ดันเต้กัดฟันใบหน้าเหยเก ร่างกายร้อนผ่าวทบเท่าทวีคูณ
แก่นเนื้อพองบวมแน่นปากของมิว… ดันเต้รวบรวมพลังทั้งหมดผลักร่างของมิวให้ถอยห่างจากตัว ในขณะที่น้ำกามพุ่งสูงขึ้นไปกลางอากาศ
“อ๊ะ… อ้า…” ดันเต้ครางสุดเสียงจนหมดแทบหมดลม หน้าท้องเกร็งตึงเพราะความเสียวซ่าน ในขณะที่ปลายยอดยังพ่นน้ำรักออกมาอีกสองหรือสามรอบ
“เอาอีก…” รอยยิ้มของมิวบิดเบี้ยว เขาพุ่งเขาหาแก่นเนื้อของดันเต้ที่ยังตั้งตระหง่าน
ปีศาจร่างใหญ่คว้าร่างเล็กกว่าเข้าไว้ในอ้อมกอด เขาจะไม่ยอมให้มิวเสี่ยงทำตัวเองลำบากไปมากกว่านี้อีกแล้ว
“พอได้แล้ว ฉันดีขึ้นเยอะแล้ว” ดันเต้พูดในตอนนี้แก้มทั้งสองยังร้อนผ่าว
“ฉันไม่พอ” มิวโอดครวญ
ดันเต้โอบกอดมิวเอาไว้แน่นไม่ปล่อยให้มนุษย์หนุ่มดิ้นหลุดไปไหน “ก็ได้… ถ้ายังไม่พอ งั้นเราไปทำต่อกันในดินแดนของฉันกัน”
“ทวดของผม” โพรงปากของเด็กหนุ่มอ้าค้างจนมองเห็นลิ้นไก่ข้างในลึกสุด “นี่พี่เกิดสมัยอยุธยาเป็นเมืองหลวงเลยไหมเนี่ย?” “ไม่นานขนาดนั้น” เสียงหัวเราะร่วนของเป็นเอกดัง “พี่เกิดหลังทวดของนายไม่กี่ปี ปี พ.ศ. สองพันสี่ร้อยกว่าเห็นจะได้” “แล้วพี่เป็นใครกันแน่?… ผีบรรพบุรุษส่งให้พี่มาดูแลตระกูลของผมหรือยังไง?” “ฉันว่าเรื่องของนายเหลือเชื่อกว่าเรื่องของฉันอีก” ยังไม่ทันจะต่อความยาวสาวความยืด เสียงฝีเท้าตึงตังก็ดังมาจากบันไดไม้ หญิงสาวแรกรุ่นพรวดพราดเข้ามาในห้องนอนที่ชายทั้งคู่อยู่ เธอกระโจนเข้าหาเป็นเอกและสวมกอดรอบคอจนแน่น “คิดถึงคุณลุงจัง” น้ำเสียงของหญิงสาวสดใสพอกันกับหน้าตา ดวงตาของเธอสุกใสเป็นประกาย ผิวหนังเนียนหนุ่มอ่อนเยาว์สมกับการเป็นสาวแรกรุ่น “คิดถึงลุงหรือคิดถึงของฝากกันแน่” มือของชายผู้แก่กว่ามากลูบศีรษะอย่างเอ็นดู “ก็ต้องคิดถึงคุณลุงอยู่แล้วสิคะ” “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ลุงไม่มีของฝาก นิดหน่อยก็จะยังคิดถึงลุงอยู่ใช่ไหม?” หญิงสาวตัวเล็กยืดตัวขึ้นทำแก้มป่อง “ไม่มีจริงเหรอ?”
ไม่ได้มีโอกาสบ่อยนักที่อาร์เต้จะได้อ้าแขนกอดรับดวงอาทิตย์ยามสาย ถึงมันออกจะร้อนสักหน่อยก็เถอะแต่สำหรับชายหนุ่มที่ไม่ค่อยชอบชีวิตช่วงกลางคืนเท่าไหร่นัก นี่ก็นับว่าเป็นคุ้มค่าที่จะแลก หลังจากได้ฟังเรื่องราวอันไกลเกินขอบเขตของความเชื่อมาแล้ว แววตาของอาร์เต้ตอนมองเป็นเอกกลับไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่ หากไม่ใช่เพราะยังไม่เชื่ออย่างสมบูรณ์แบบบ ก็คงเป็นเพราะอคติบางอย่างที่สร้างความเอนเอียง ความรู้สึกในใจของชายทั้งสองไม่อาจถูกคั่นกลางด้วยสิ่งแปลกปลอม ระยะห่างระหว่างกันยังคงเส้นคงวา ไม่อาจใกล้มากกว่านี้หรือถอยห่างจากที่เป็น ถึงหมุดหมายของทริปนี้เป็นเอกจะบอกไว้ว่าเป็นการออกตามหาความจริง ทว่าอาร์เต้มองแตกต่างออกไป เขาคิดเงียบๆ อยู่คนเดียวว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นเสมือนการออกเดตนอกสถานที่ครั้งแรกของพวกเขา นั่นเลยช่วยทำให้รู้สึกดีมากกว่ากังวล อาร์เต้ไม่เอ่ยถามถึงจุดหมายปลายทาง เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมพูดอะไรแน่นอน ซึ่งเป็นเอกก็คิดเช่นนั้น ชายแก่ในร่างหนุ่มคิดไว้ว่าการอธิบายกลางอากาศอย่างเดียว คงไม่หนักแน่นพอจะยืนยันทุกอย่าง ท้องฟ้าปลอ
เมื่อความสุขสุดขีดพุ่งสูงจนทะลุหลอด ความเหนื่อยล้าก็เข้ามาห่อหุ้มร่างกึ่งเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่ม หน้าอกภายใต้เสื้อตัวบางกระเพื่อมหนักหน่วง ริมฝีปากเผยออ้าเติมอากาศเข้าไปทดแทนกับที่ขาดหาย ใบหน้าฝาดก่ำด้วยสีเลือดสดๆ และเข้มมากขึ้นไปอีกเมื่อนึกถึงความดังของเสียงที่เพิ่งเปล่งออกไป ท่อนล่างโล่งโจ้งเลอะเทอะด้วยคราบของเหลวจากร่างกาย ในใจของมิวร้องตะโกนกู่ก้องเมื่อความรู้สึกที่อัดอั้นถูกระบายออกมาได้เสียที นั่นเป็นสิ่งประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า ร่างกายและความเป็นชายได้กลับเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น ทว่าก็ยังรู้สึกติดค้างบางอย่างแถวก้นบึ้งของจิตใต้สำนึก รอยยิ้มกางกว้างบนใบหน้าเรียวงาม เด็กหนุ่มรีบจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อย ด้วยกลัวจะมีใครเปิดประตูเข้ามา การโดนมองเห็นไม่น่าหนักใจเท่ากับการโดนล้อ มิวนึกออกว่าดันเต้จะพูดอะไรบ้างหากเห็นสภาพของเขาในตอนนี้ ‘ไม่คิดจะชวนกันสักหน่อยเหรอ?’ ‘ทำไมนายถึงหนีมาสนุกคนเดียวล่ะ!’ ‘อีกรอบไหม?’ ‘คิดถึงดุ้นยักษ์ของฉันล่ะสิ!’ น้ำเสียงทะลึ่งตึงตังรวมกับสีหน้าหื่นกระหายของดันเต้ ผุดขึ้นมาใน
ความเงียบบรรเลงดนตรีกระซิบข้างใบหู ความเหนื่อยล้าขับกล่อมท่วงทำนองยืดยานจนชายหนุ่มหลับใหลไปอย่างง่ายดาย พื้นที่แสนปลอดภับโอบกอดมิวเอาไว้แน่นไปถึงความฝัน ชายหนุ่มทิ้งความหวาดระแวงเอาไว้ข้างเตียง และปล่อยความอิสระให้คืนสู่จิตใจ เวลาในกำมือหมดไปอย่างรวดเร็ว จนแอบนึกเสียไม่ได้ว่าสิ่งล้ำค่านี้ไม่เคยเพียงพอในหนึ่งชีวิต… ร่างกายของมิวนั้นฟื้นฟูได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งความเหนื่อยล้าหรือบาดแผลบนร่างกาย อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องนอนเลยด้วยซ้ำหากในตัวมีเมล็ดพันธุ์ปีศาจอยู่ ความรู้สึกเบาสบายจากห้วงนิทราถูกความร้อนตรงท้องทำลาย เด็กหนุ่มกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ลำตัวบิดงองุ่นง่าน การข่มตาให้หลับกลายเป็นเรื่องยากขึ้นทุกที การโดนร่างกายของตัวเองรังควานสร้างความหงุดหงิดนิดๆ มิวลืมตาตื่นนั่งพิงหัวเตียง ดวงตาแจ่มใสทั้งที่เพิ่งนอนไปได้แค่สองชั่วโมง ด้านล่างของลำตัวร้อนรุ่มอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ปลายเท้าบิดงอเข้าหากัน ต้นขาหนีบแน่นจนสะโพกเกร็ง อาการวูบวาบแผ่ซ่านจากศูนย์รวมความรู้สึกไปยังเส้นประสาท ดวงตาของมิวหั
เบื้องบนโปรยแสงรำไรออกมาจากมาจากรูโหว่อันดำมืดของท้องฟ้า เช้าวันใหม่นี้แสนอึมครึมไม่สดใส ส่งผลโดยตรงต่อจิตใจให้ขมุกขมัว หัวงมหรรณพแห่งเวลาสงบเสงี่ยมเฉกเช่นหนุ่มน้อยหน้าตาใสซื่อ ปกติท่าทีของอาร์เต้จะกระโดกกระเดกไม่เรียบร้อย บัดนี้กลับสงวนกิริยาขัดจากนิสัยปกติราวกับเป็นอีกคน อาจเพราะเขาถนัดการซ่อนมุมจริงจังเอาไว้เพื่อบดบังตัวตน จึงมีน้อยคนจะเคยได้เห็นอีกด้าน “ที่จริงแล้วพี่เลือกจะโกหกต่อไปก็ได้ แต่พี่ไม่อยากทำ” ชายวัยกลางคนนั่งบนโซฟาที่คุ้นเคย สายตาจับจ้องร่างเด็กกว่าตรงกันข้ามด้วยความสับสน หลังจากพยายามเลี่ยงการเปิดปากตอนอยู่ในรถอยู่นาน เขาก็มาถึงสถานที่เหมาะแก่การคายทุกอย่างออกมา “พี่รู้ว่ามันอาจจะฟังแล้วเหลือเชื่อไปหน่อย แต่พี่ก็อยากให้อาร์ตเปิดใจ” หนุ่มน้อยเอียงคอสงสัย ปกติเป็นเอกเป็นคนขึงขังอยู่แล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้ผู้จัดการร้านคนนี้หัวเสียได้มากกว่าเดิมอีกเหรอ “ผมเปิดใจให้พี่อยู่แล้ว… พี่รู้ใช่ไหม?” “แต่เรื่องที่พี่จะเล่ามันจะเปลี่ยนความคิดของนายที่มีต่อพี่ไปเลย” นี่คือสิ่งที่อาร์เต้ไม่ชอบ
การโดนสปอยด์ตอนจบไม่น่าอภิรมย์ของพิธีกรรมปีศาจที่ได้ยินจากปากของกามเทพ เป็นสิ่งที่มิวพกติดตัวออกจากห้องคุมขังมาด้วย หากเป็นก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มคงดวงตาเบิกโพลง จิตใจแช่มชื่นเมื่อรู้ว่าตัวเองมีส่วนพัวพันกับเรื่องราวลี้ลับที่น้อยคนจะได้พบเจอ ตอนนี้ทุกอย่างตาลปัตรกลับด้านชวนใจหาย เขาเริ่มหวาดกลัวในสิ่งเหนือธรรมชาติที่ไม่อาจคาดเดาได้ และโทษที่ตัวเองคิดน้อยเกินไป บนถนนที่แออัดไปด้วยรถยนต์อุ่นหนาฝาคั่ง ในห้องโดยสารนั้นกลับอึดอัดมากกว่าข้างนอกนั่นหลายเท่า การหายใจไม่อาจทั่วท้องเมื่อต้องนั่งชิดติดอยู่กับความหงุดหงิด บรรยากาศธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ทุกวัน ท้องฟ้าขมุกขมัวสาดไปด้วยแสงของดวงดาว เสียงบีบแตรและไฟท้ายของรถที่สะท้อนเข้าดวงตา ทุกอย่างในการมองเห็นตอนนี้กลับพิเศษเมื่อเด็กหนุ่มขาดหายไปหลายวัน ปกติมิวไม่ค่อยชอบคนขับรถที่ซอกแซกชีวิตส่วนตัวของผู้โดยสาร ยกเว้นวันนี้… เขารู้สึกอยากกดทิปให้หลายร้อยบาทเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณที่ช่วยให้สมองวุ่นวายได้คิดเรื่องอื่นบ้าง คำพูดยาวเหยียดก่นด่าไปทั่ว ตั้งแต่ลม ฟ้า อากาศ รวมไปถึงปัญหาค่าครองชีพถูกยัด