ส่วนคนที่ไม่รู้เรื่องราวใดๆ นั้น นาตาเซียสาวสวยดวงตาคมเข้มฉบับสาวแขกลูกครึ่งบรูไน-ฝรั่งเศส วัยยี่สิบสี่ปี เดินยิ้มอย่างสบายใจ หลังจากเสร็จธุระเรื่องเรียนต่อของตัวเองที่อิตาลีแล้วแม้จะมาแค่ไม่กี่วันก็ตามที เพราะทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง นาตาเซียนั้นสนใจเรื่องออกแบบเครื่องประดับเป็นพิเศษ หญิงสาวชื่นชอบทองคำเป็นที่สุด ใฝ่ฝันว่าอยากเข้าไปเป็นคนออกแบบให้ที่บริษัทของพ่อ แต่ยังขาดประสบการณ์อยู่มาก ชั่วโมงบินน้อยเมื่อเทียบกับนักออกแบบคนอื่นๆ จึงเลือกที่จะมาฝึกงานกับร้านจิวเวลรี่ชื่อดังและเรียนต่อด้านนี้เพิ่ม
ทุกอย่างก็ดูจะลงตัวเรียบร้อย รอเพียงวันเข้าเรียนเท่านั้น ขณะที่กำลังเดินเที่ยวดูรอบๆ เมืองซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้วที่มาเยือน จึงพอคุ้นชินกับเส้นทาง เสียงโทรศัพท์ของหญิงสาวก็ดังขึ้น นาตาเซียควานหาในกระเป๋าหนังสีดำใบใหญ่สักพักก่อนจะหยิบออกมากดรับสาย “ค่ะแม่” นาตาเซียเอ่ยทักเป็นภาษาไทยสำเนียงหวาน เพราะรู้ว่าแม่เข้าใจความหมายนั้นดี “สรุปลูกแม่ได้ที่เรียนแล้วหรือยังจ๊ะ” ในเมื่อลูกสาวเอ่ยเป็นภาษาไทย ดารียะห์ก็ตอบกลับเป็นภาษาไทยบ้าง เรื่องนี้ต้องยกความดีให้ละออ แม่นมของนาตาเซียที่คอยสอนภาษาไพเราะแบบนี้ให้เธอและลูก แต่บางครั้งถ้าอยู่พร้อมกันหลายคน ภาษาที่ใช้สนทนาก็มีมากกว่าหนึ่ง ถึงอย่างนั้นก็เข้าใจกันดี “ได้แล้วค่ะ” หญิงสาวเอ่ยรับ “ได้แล้ว แต่ทำไมถึงยังไม่กลับบ้าน แม่คิดถึง” “อะไรกันคะ หนูเพิ่งบินมาถึงโรมแค่ไม่กี่วันเอง แม่คิดถึงแล้วเหรอ กอดพ่อแทนได้หรือเปล่า” หญิงสาวเอ่ยออดอ้อน ก่อนจะมองเวลาบนนาฬิกาเพราะเวลาที่โรมกับบ้านที่บรูไนต่างกันไม่กี่ชั่วโมง ถ้าที่นี่ค่ำๆ ที่บ้านเธอตอนนี้ก็น่าจะประมาณเที่ยง “มันไม่เหมือนกัน หนูกลับมาก่อนกำหนดได้หรือเปล่า แม่จะพาไปที่ที่หนึ่ง” “ที่ไหนคะ” คนฟังออกอาการงงเล็กน้อย ตอนนี้หญิงสาวตาคมกำลังเดินเข้าไปในร้านจิวเวลรี่แห่งหนึ่ง สนอกสนใจลวดลายของเครื่องประดับเป็นพิเศษ “เมืองไทย” “ให้นมไปด้วยได้หรือเปล่าคะแม่” “ทำไมต้องเอาละออไปด้วยล่ะลูก เราไปกันแค่สามคนพ่อแม่ลูกนะ” “แต่นาตาเซียอยากให้นมกลับบ้านด้วยนี่คะ นะคะแม่” “นาตาเซีย อย่ามาทำตัวเป็นเด็กนะลูก” “ถ้านมไม่ไป หนูก็ไม่ไป” นาตาเซียเอ่ยยื่นคำขาด เธอไม่รู้เหตุผลหรอกว่าทำไมแม่นมของเธอถึงได้มาอยู่ที่บรูไนแล้วไม่ยอมกลับเมืองไทยเลย ครั้งนี้อาจจะเป็นโอกาสดีที่ละออจะได้กลับบ้านก็เป็นได้ แถมค่าใช้จ่ายก็ไม่ต้องเสีย เพราะพ่อต้องนั่งเครื่องบินส่วนตัวไปแน่นอน “อย่าพูดแบบนั้นกับแม่นะ” ดารียะห์ชักสีหน้าให้นิดหน่อย ถ้าลูกสาวอยู่ใกล้มือป่านนี้เธอจะหยิกให้ตัวเขียวเชียว “หนูขอร้องแล้วกันนะคะ ถ้านมไม่ไป หนูก็ไม่ไปเมืองไทยอะไรนั่นเด็ดขาด” แม้จะขอร้อง แต่ลงท้ายก็เป็นคำขู่แบบอ้อมๆ อยู่ดี “ก็ได้ แต่ถ้าละออไม่ไป แม่ก็คงบังคับเขาไม่ได้นะ” “ขอบคุณค่ะ แม่ของนาตาเซียสวย น่ารักที่ซู้ดเลย” ปลายสายเอ่ยชม ดารียะห์จึงยิ้มให้ก่อนจะวางสายไป ความน่ารักน่าหยิกแบบนี้นาตาเซียมักจะมีให้เธอเสมอ ตั้งแต่ครอบครัวเธอสูญเสียลูกสาวอันเป็นที่รักไป นาตาเซียก็คอยเติมเต็มให้ตลอด “มูนา...ไปตามละออมาพบฉันหน่อย” สาวใช้พยักหน้าให้กับคำสั่งนั้น ก่อนจะเดินเลี่ยงมายังหลังบ้านเพื่อเรียกคนที่นายผู้หญิงต้องการพบให้เข้าไปหา ละออเมื่อรู้ก็ละมือจากงานที่ทำอยู่เดินเข้ามาพบดารียะห์ในห้องรับแขกทันที “คุณผู้หญิงเรียกละออเหรอคะ” “ใช่ ฉันจะไปเมืองไทย ละออต้องไปด้วย” ดารียะห์เอ่ยคำขาดแบบไม่ให้ละออได้คิดหรือตัดสินใจอะไรทั้งนั้น เพราะถ้าละออไม่ไปแผนเธอก็พังกันพอดี “เมืองไทย ดิฉันไม่อยากไปค่ะ” ละออเอ่ยปฏิเสธทันที เพราะตั้งแต่ก้าวออกมาจากเมืองไทย เธอก็ไม่คิดที่จะกลับไป ถึงที่บรูไนไม่ใช่ที่เกิดแต่จะเป็นที่ตายของเธอ “นี่คือคำสั่งละออ เพราะถ้าเธอไม่ไป นาตาเซียก็ไม่ไป ฉันล่ะปวดหัวกับเธอสองคนจริงๆ ใครเป็นแม่ตัวจริงกันแน่นะ” ว่าแล้วดารียะห์ก็ถอนหายใจออกมา เธอดูออกว่าสองคนนี้ผูกพันกันมาก เพราะละออเลี้ยงลูกของเธอมาตั้งแต่พวกแกเกิด แม้ไม่ใช่แม่ผู้ให้กำเนิดแต่ก็คงเหมือนเข้าไปทุกขณะ “ทำไมคุณผู้หญิงต้องไปเมืองไทยคะ?” หัวใจของหญิงวัยย่างเข้าห้าสิบปีเอ่ยถาม เพราะตั้งแต่เธอนั้นมาอยู่ที่บรูไนจนป่านนี้ไม่เคยได้ยินว่าดารียะห์จะไปที่นั่นสักครั้ง “เอาเถอะน่า อย่าถามให้มากความ เตรียมตัวไว้ด้วย ถ้านาตาเซียกลับมาเมื่อไหร่ เราจะไปกันตอนนั้นเลย” ดารียะห์เอ่ยสั่ง ก่อนจะลุกกลับออกไปจากห้องรับแขก ขอเอนหลังสักหน่อย บ่ายๆ ตื่นขึ้นมาดื่มชา ชีวิตของดารียะห์ดูสุขสบายจนไม่ต้องหยิบจับอะไรด้วยซ้ำเมื่ออยู่ตามลำพัง ละออก็นั่งก้มหน้านิ่ง ถอนหายใจออกมาหนักๆ ถึงจะไม่อยากกลับบ้านเกิด แต่ครั้งนี้คงขัดไม่ได้จริงๆ เพราะดูท่าทางดารียะห์จะไม่ยอมแน่นอน ในเมื่อไม่มีทางเลือกก็คงต้องกลับ เมืองไทยออกจะกว้างคงไม่เจอใครง่ายๆ หรอก ละออเดินเหมือนคนกังวลมากกลับมาที่ห้องพัก เธอหยิบกล่องเหล็กในลิ้นชักโต๊ะออกมา ข้างในมีสิ่งสำคัญอยู่ นั่นคือรูปแรกเกิดของลูกชาย ตอนที่เธอจากมาเขาอายุเพียงสองวันเท่านั้นเอง ข้างๆ คือรอยเท้าของเขา สิ่งนี้คือสิ่งที่เธอใช้เป็นตัวแทนคนที่เธอรัก
“ลูกแม่จะโตแค่ไหนแล้ว แม่กลัวเหลือเกินที่จะกลับไป” น้ำตาของความกลัวไหลออกมาจากดวงตาของเธอ ละออก้มหน้านิ่ง ใช้มือที่เหี่ยวย่นเพราะอายุที่มากขึ้นสัมผัสรูปวัยทารกและฝ่าเท้าลูกชายเบาๆ เธอจากเมืองไทยมาก็นานเท่าอายุลูกชายตอนนี้ ถ้าสวนกันกลางถนนเธอไม่มีทางจำใบหน้าเขาได้เป็นแน่ “แม่รักลูกนะ” ละออเจ็บปวดที่เธอไม่สามารถอยู่เลี้ยงลูกได้ แม้แต่ชื่อของลูกชายเธอยังไม่รู้ เพราะเวลานั้นด้วยความตื่นเต้นจึงยังไม่ได้คิดว่าจะให้เด็กชายตัวน้อยชื่อว่าอะไร ความรู้สึกของการให้นมเกิดขึ้นเพียงสองวัน แต่สายใยของแม่ลูกมันเกิดขึ้นตั้งแต่ที่ลูกชายเธอเกิดในท้องจนถึงตอนนี้ และจะตลอดไปจนเธอสิ้นลมหายใจบทที่ 68ชายหนุ่มเดินกลับมาที่ห้อง คว้าผ้าห่มของตัวเองขึ้นมาอุ้ม ก่อนจะเดินกลับเข้ามาในห้องนอนนาตาเซียแล้วห่มผ้าห่มนวมให้เธออีกชั้น จากนั้นก็ไปนั่งข้างๆ เธอ หยิบยาอีกชุดที่น้ำอ้อยจัดมาให้ส่งเข้าปากตามด้วยน้ำ เพราะเขาไม่อยากติดหวัดจากยายจอมดื้อเหมือนกันลูคัสคอยหมั่นเปลี่ยนผ้าที่หน้าผากให้พร้อมทั้งเช็ดเนื้อเช็ดตัวจุดที่พอจะเช็ดได้ ไม่ละลาบละล้วงเข้าไปจุดใต้เสื้อผ้าแต่อย่างใด แม้ภายในห้องจะร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนเหงื่อไหลเต็มตัว แต่ชายหนุ่มก็ไม่บ่นสักคำ เพราะไม่อยากเปิดแอร์ให้ตัวเองสบายแต่นาตาเซียแย่ ทั้งที่จะกลับไปห้องแล้วให้น้ำอ้อยมาดูแลต่อก็ได้ แต่ลูคัสกลับไม่ทำแบบนั้น“ผมคิดยังไงกับน้องสาวคุณกันแน่” ขณะมองหน้านาตาเซีย ลูคัสก็เอ่ยกับตัวเองก่อนจะนึกถึงนาเดียร์ พี่สาวของนาตาเซีย คนรักที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ เพราะช่วยชีวิตผู้ชายอย่างเขา ครั้งแรกที่ได้พบนาตาเซีย เขาปรี่เข้าไปกอดและจูบเธอ เพราะคิดว่าคือนาเดียร์ แต่พอได้รู้จักตัวตนทั้งคู่แทบไม่เหมือนกันด้วยซ้ำ คนพี่นั้นห้าว แต่ภายในที่เขาสัมผัสกลับอ่อนหวานเรียบร้อย ส่วนคนน้อง ภายนอกดูเรียบร
บทที่ 67“ให้ตาย...ไม่สบายจนได้สิ” ลูคัสบ่นกับตัวเอง ก่อนจะรั้งผ้าห่มนวมขึ้นห่มให้หญิงสาว ชายหนุ่มเดินมาที่ประตู ลากโต๊ะทำงานเล็กๆ ที่นาตาเซียเอามากั้นเขาเป็นแน่กลับไปวางที่เดิม เปิดประตูแล้วก้าวลงไปชั้นล่างก็เห็นน้ำอ้อยยืนมองอยู่“พยาบาลของป้าไม่สบาย”“ตายจริง คงติดหวัดจากป้าแน่ๆ เดี๋ยวป้าขอขึ้นไปดูนาตาเซียหน่อย” คนฟังยกมือทาบอก“ผมดูแลเอง ป้าช่วยหายากับทำข้าวต้มแล้วยกขึ้นไปให้ผมด้วยแล้วกัน” พูดจบลูคัสก็ก้าวยาวๆ เข้าไปในครัว เปิดตู้เย็นแล้วหยิบน้ำแข็งในช่องฟรีซใส่ลงถ้วยแก้วใบใหญ่ จากนั้นก็เทน้ำเปล่าลงไปอีกครั้ง ท่าทางรีบร้อนแต่ก็คล่องแคล่ว“รีบหน่อยนะป้า” ก่อนจะกลับขึ้นไปชั้นบน ลูคัสยังหันมาย้ำกับน้ำอ้อยอีกครั้ง แล้วเดินกลับขึ้นไป“ค่ะ” น้ำอ้อยเอ่ยรับด้วยใบหน้ายิ้มๆ แล้วปลีกตัวไปทำตามที่ลูคัสบอก สงสัยคราวนี้จะได้รู้ใจตัวเองเป็นแน่ว่าคิดยังไงกับนาตาเซีย หวังเหลือเกินว่าคนทั้งคู่จะเกิดมาเพื่อกันและกันเมื่อเข้ามาในห้องนอนของนาตาเซีย ลูคัสก็เดินเข้าไปใ
บทที่ 66หลังจากเคลียร์งานที่ต่างเมืองเสร็จเรียบร้อย ลูคัสก็เลือกกลับเข้าบ้านก่อนในตอนเช้าตรู่ คิดว่าเที่ยงๆ ค่อยออกไปที่บริษัท เมื่อชายหนุ่มมาถึงบ้านก็เจอกับน้ำอ้อย อาการไม่สบายคงทุเลาลงมามากแล้วจึงออกมาเดินเหินได้แบบนี้ แต่ยังไงเขาก็อยากให้แม่บ้านพักผ่อนอีกหน่อย“ตื่นมาทำอะไรแต่เช้า”“ทำกับข้าวค่ะ” คนเป็นแม่บ้านหันมาตอบ ก่อนจะทำหน้าแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าลูคัสจะกลับมาเช้ามืดแบบนี้“แล้วนี่หายหรือยัง ฝืนไปเดี๋ยวก็ทรุดลงไปอีก”“ป้านอนมาตั้งสองสามวันแล้วนะคะ เบื่อจะแย่” น้ำอ้อยยิ้มให้ลูคัส เพราะอยู่ๆ เธอก็ไม่สบายซะได้ เรื่องการเจ็บป่วยนี่เดาไม่ถูกเลยจริงๆ“ผู้ช่วยล่ะ ยังไม่ลงมาอีกหรือไง?” ลูคัสมองเข้าไปในบ้าน เลยขึ้นไปข้างบนเพื่อหานาตาเซีย“ให้พักสักวัน อยู่ดูแลป้าแทบไม่ได้ขยับไปไหน”“ดีขนาดนั้นเชียว ผมนึกว่าจะอู้” ชายหนุ่มปรามาส แต่ก็รู้ว่านาตาเซียทำอะไรบ้าง เพราะเขาโทรศัพท์กลับมาที่บ้านออกจะบ่อย“น่ารักดี ที
บทที่ 65อาการของน้ำอ้อยดีขึ้นตามลำดับหลังจากนอนซมมาสองสามวัน เพราะได้พยาบาลพิเศษอย่างนาตาเซียคอยดูแลไม่ห่าง ไข้เริ่มลดจนตอนนี้ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงได้แล้ว แต่นาตาเซียยังไม่ยอมให้ออกไปนั่งตากลมนอกห้องเพราะกลัวไข้กลับมาอีก ใบหน้าที่ซีดเซียวของน้ำอ้อยก็ดูมีเลือดไหลเวียนมากขึ้น ลูคัสเองก็โทรมาถามอาการน้ำอ้อยวันละสามสี่ครั้ง แต่แฝงกับการได้รู้ข่าวของนาตาเซียด้วยว่าเธอยังอยู่ที่บ้านเขา ไม่ได้หนีหายไปไหน “ขอบใจที่ดูแล” น้ำเสียงแหบๆ ของคนป่วยเอ่ยบอกนาตาเซีย ที่กำลังเป่าข้าวต้มในถ้วยเพื่อไล่ความร้อนให้เธอจนแก้มป่อง “ไม่เป็นไรค่ะ ป้าหายดีแบบนี้ค่อยหายห่วงหน่อย” นาตาเซียหันมายิ้มตอบ ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาเป่าข้าวต้มให้หายร้อนอีกหน่อย จากนั้นก็ใช้ช้อนตักป้อนให้น้ำอ้อย“ป้ากินเองได้” “ให้นาตาเซียป้อนน่ะดีแล้ว นะจ๊ะป้า” คำแทนตัวเองของนาตาเซียดูเปลี่ยนไป น้ำอ้อยพยักหน้าให้กับคำพูดนี้ ก่อนจะอ้าปากรับข้าวต้มกุ้งเข้าไปในปาก “ฝีมือทำกับข้าวอร่อยขึ้นมากแล้วนี่” แม้จะมีกลิ่นคาวกุ้งนิดหน่อยในข้าวต้มถ้วยนี้ แต่น้ำอ้อยก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร เพราะนาตาเซียทำกับข้าวได้ดี ดีมากกว่าเมื่อสองสามวันก่อนด้วยซ้ำ เด็กสาว
บทที่ 64 “ผมไม่ได้มามือเปล่า ตอนนี้สามารถเลี้ยงดูละออได้เป็นอย่างดี ถ้าผมพูดไม่จริงให้เอาชีวิตผมไปได้เลย”“คุณอดัม” ละออมองหน้าอดัม ทำไมต้องเอาชีวิตมาพูดเล่นแบบนี้ด้วย “ผมเชื่อว่าคนอย่างคุณจะดูแลละออได้” แมทธิวพยักหน้าให้ แค่เห็นแววตาของอดัมที่มองละออก็แทบไม่ต้องพูดอะไรแล้ว“ครับ...จะว่าอะไรไหม ถ้าผมจะพาละออไปหาลูกชายของเราสองคน”“ลูกชาย” ดารียะห์งงเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้“เรามีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน ตอนนี้อายุย่างเข้ายี่สิบเก้าปีแล้ว” อดัมเอ่ยบอกสองคนตรงหน้าให้รับรู้ เพราะเขาไม่ได้จะปิดบังอยู่แล้ว “แต่ฉันยังมีห่วงอยู่ที่นี่” ละออค้าน แม้จะอยากไปหาลูคัส แต่ห่วงของเธอก็คือนาตาเซีย “อะไร...ผมพอจะช่วยได้หรือเปล่า?” แขกของบ้านเอ่ยอาสา “เรื่องนาตาเซียไม่ต้องเป็นห่วงไปละออ ไม่นานเราก็จะได้ข่าวดี...เชื่อสิ” แมทธิวเอ่ยให้ละออคลายกังวลเรื่องนี้ เพราะรู้ว่าละออนั้นรักนาตาเซียไม่แพ้พ่อและแม่แท้ๆ อย่างพวกเขา “เกิดอะไรขึ้นครับ พอจะบอกผมได้ไหม เผื่อจะช่วยเหลือได้” คำพูดของอดัม ทำให้ดารียะห์ยิ้มออกมา เพราะรู้สึกขอบคุณที่คนเพิ่งจะรู้จักกัน แสดงออกถึงความห่วงใยต่อลูกสาวเธอมากมายขนาดนี้ “ลู
บทที่ 63“ฉันก็อยากทำแบบนั้น แต่...แต่ฉันกลัว” ความอ่อนแอของละออถูกถ่ายทอดออกมาเป็นหยดน้ำตา ความอัดอั้นและหวาดกลัวเกิดขึ้นมาหลายปี ความคิดถึงโหยหาคนที่รัก อยากกลับไปใจแทบขาด แต่กลับไม่กล้าแม้แต่จะก้าวออกไป ขนาดไปถึงเมืองไทยกลับยืนนิ่งไม่ทำตามที่ใจอยากทำ เพราะกลัวคนที่รักจะเป็นอันตราย “ผมจะคอยปกป้องคุณเอง ให้ผมได้ทำแบบนั้น” อดัมเอ่ยให้คำมั่นสัญญา ครั้งนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาต้องทำให้ได้ เขาจะคอยปกป้องละออและลูคัสด้วยชีวิต จะไม่ยอมให้ใครมาพรากจากแม้คนคนนั้นจะเป็นแม่ของตนเองก็ตาม เพราะเวลากว่ายี่สิบแปดปีที่ผ่านมา มันนานเกินพอแล้ว“ขอบคุณนะคะ” ละออเอ่ยขอบคุณในอ้อมกอดของสามี แม้จะดีใจที่ได้พบอดัม แต่เธอก็ยังมีความกังวลอยู่ ถึงจะยิ้มได้แต่ใช่ว่าจะมีความสุขนัก “ที่นี่เป็นยังไงบ้าง ไปไงมาไงคุณถึงมาทำงานด้วย” หนุ่มใหญ่ผละร่างของภรรยาที่ตอนนี้อวบขึ้นจากเมื่อก่อน คงเป็นเพราะอายุที่เพิ่มมากขึ้น แต่ไม่ว่ายังไงละออก็ยังดูสวยในสายตาของเขาเสมอ อวบๆ มีน้ำมีนวลแบบนี้ กอดแล้วอุ่นดีออก “พอฉันออกจากโรงพยาบาล ก็กลับไปที่บ้านเกิดที่ต่างจังหวัด ได้พบญาติห่างๆ คนหนึ่งที่จะมาทำงานที่บรูไน ฉันกลัวว่ามาดา