หลังจากวันที่ได้พบกับหยางเจี้ยน หลินเหม่ยเหยาก็ไม่ได้ออกจากจวนอีก ทางจวนสกุลหยางเองนอกจากเทียบเชิญจากหยางสุ่ยเซียนแล้วก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จากทางจวนสกุลหยางอีกเช่นกัน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนั้นปลอดภัยดี
“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ คุณหนูสามสกุลหยางมาขอเข้าพบเจ้าค่ะ” เสียงรายงานของสาวใช้ทำให้หลินเหม่ยเหยาได้แต่ขมวดคิ้ว นางจำได้ว่าหยางสุ่ยเซียนไม่ใช่คนชอบเซ้าซี้แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดหยางสุ่ยเซียนจึงได้พยายามจะพบนางให้ได้เช่นนี้ ทั้งที่นางก็ปฏิเสธทั้งเทียบเชิญและเทียบขอเข้าพบของหยางสุ่ยเซียนไปตั้งหลายครั้งแล้ว
“ไปเชิญนางเข้ามาเถิด” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางก้มหน้าลงไปอ่านตำราในมือต่อ ยามนี้เข้าสู่หน้าร้อนแล้วนางจึงมักจะมานั่งอ่านตำราในศาลากลางน้ำ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกบัว สายลมที่พัดพาผ่านผิวน้ำทำให้อากาศรอบกายเย็นสบาย ดังนั้นในหน้าร้อนของทุกปีนางจึงชอบมานั่งเล่นในสถานที่แห่งนี้ ยามที่หยางสุ่ยเซียนเดินเข้ามาจึงได้แต่จ้องมองท่วงท่าที่เต็มไปด้วยความผ่อนคลายของนางด้วยความริษยา
“เหยาเหยา เหตุใดช่วงนี้เจ้าจึงได้ห่างเหินกับข้ากันเล่า หรือเป็นเพราะว่าคุณชายใหญ่สกุลซ่งผู้เป็นคู่หมายของเจ้ากลับเข้าเมืองหลวงมาแล้ว เจ้าก็เลยทำตัวเหินห่างจากข้า” คำพูดประโยคนี้ของหยางสุ่ยเซียนทำให้หลินเหม่ยเหยาที่กำลังชงชาเพื่อรับรองแขกถึงกับชะงักไปในทันที แต่แล้วนางก็ยิ้มออกมาแล้วรินชาลงในถ้วยชาสองถ้วย ถ้วยหนึ่งสำหรับนางเองส่วนอีกถ้วยนั้นแน่นอนว่าต้องเป็นของแขกอย่างหยางสุ่ยเซียน
“ก็แค่คุณชายใหญ่สกุลซ่งกลับมาแล้ว เหตุใดข้าจะต้องไม่อยากจะพบกับเจ้ากันเล่า เจ้ากับเขามีความเกี่ยวข้องอันใดกันหรือ” คำถามของหลินเหม่ยเหยาทำให้หยางสุ่ยเซียนพลันขมวดคิ้วในทันที
“เหตุใดเจ้าจึงได้ถามคำถามที่ฟังดูแล้วไม่ค่อยจะดีเช่นนี้กันเล่า ข้ากับเขาจะไปมีความเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร ข้าก็แค่คิดว่าพอคู่หมั้นของเจ้ากลับมาแล้วอนุผู้นั้นของท่านพ่อเจ้าก็จะสั่งให้เจ้าเก็บเนื้อเก็บตัวเพื่อรอแต่งออกเพียงเท่านั้น” คำพูดของหยางสุ่ยเซียนทำให้หลินเหม่ยเหยาพลันยกมุมปากขึ้น
“ข้ายังไม่ทันได้ผ่านพิธีปักปิ่นเรื่องแต่งงานยังไม่มีทางกำหนดขึ้นในเร็ววันนี้หรอก อีกทั้งผู้ที่ทำสัญญาหมั้นหมายอย่างท่านปูของข้าและท่านปู่ของเขาก็ล้มหายตายจากไปตั้งหลายปีแล้ว ยังไม่แน่ชัดว่าทางจวนสกุลซ่งจะยึดถือเรื่องนี้เป็นคำสัตย์ที่จะต้องทำตาม” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้หยางสุ่ยเซียนก็พยักหน้า
“นั่นสินะ ยามนี้ท่านพ่อของเจ้าได้เป็นถึงรองหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงแล้ว รอเพียงการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากสำนักราชวัง ท่านพ่อของเจ้าก็จะได้ขึ้นเป็นหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงอย่างเป็นทางการแล้ว ในขณะที่นายท่านใหญ่สกุลซ่งกลับยังเป็นแค่เพียงแพทย์หลวงตำแหน่งธรรมดาสามัญทั่วไป ก็ไม่น่าประหลาดใจที่จวนสกุลหลินและเจ้าจะรังเกียจการหมั้นหมายในครั้งนี้” คำพูดของหยางสุ่ยเซียนทำให้หลินเหม่ยเหยากระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะในทันที ที่แท้คำพูดประโยคนี้ก็มาจากปากของหยางสุ่ยเซียนนี่เอง
ในชาติก่อนเพราะคำพูดประโยคนี้จึงทำให้ซ่งเสวี่ยหรงเข้าใจว่านางและคนสกุลหลินคิดดูถูกเขา และความเข้าใจเช่นนี้ของเขาจึงทำให้สามีในชาติก่อนของนางเย็นชาใส่นางในบางครั้ง เขาเคยบกกับนางว่าเขาได้ยินคำพูดประโยคนี้มาจากผู้อื่น แต่ยามนี้นางรู้แล้วว่าคำว่า “ผู้อื่น” ของเขาหมายถึงหยางสุ่ยเซียนนี่เอง
“ขะ ข้าพูดอะไรผิดไปหรือ จึงทำให้เจ้าไม่เพียงกระแทกถ้วยชาใส่ข้าแต่ยังถลึงตาใส่ข้าด้วยความโกรธเคืองเช่นนี้อีกด้วย” หยางสุ่ยเซียนเอ่ยถามด้วยความสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคับข้องใจ แต่หลินเหม่ยเหยากลับแค่เพียงแค่นหัวเราะออกมา
“หยางสุ่ยเซียนเจ้าจะทำสีหน้าเช่นนี้ให้ผู้ใดดูกัน แม่นางน้อยที่สามารถเอาตัวรอดในสกุลใหญ่ได้เช่นเจ้ามีหรือจะไม่เข้าใจในความโกรธเคืองของข้า” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้หยางสุ่ยเซียนก็พลันส่ายหน้าและแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจในทันที
“แต่ข้าไม่รู้ คำพูดของข้าทำให้เจ้ารู้สึกโกรธเคืองที่ตรงไหน”
“เจ้าไม่รู้ตัวจริงๆ หรือว่าเจ้ากำลังเอ่ยวาจาให้ร้ายข้า เจ้าเป็นคนพูดไม่ใช่หรือว่าท่านพ่อของข้ากำลังจะเป็นหัวหน้าสำนักแพทย์หลวง ส่วนท่านลุงซ่งกลับเป็นแค่เพียงแพทย์หลวงธรรมดาสามัญ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จวนสกุลหลินและข้าจะรังเกียจการหมั้นหมายนี้ คำพูดเช่นนี้คุณหนูที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีไม่กล้าเอ่ยออกมาหรอก มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่เอ่ยวาจาชั่วร้ายเช่นนี้ออกมาได้ เจ้าไม่เพียงพูดจาให้ร้ายข้าแต่ยังลามมาถึงสกุลหลินของข้าด้วย แล้วยังกล้ามาถามข้าอีกหรือว่าข้าโกรธเคืองเจ้าด้วยเรื่องใด” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้หยางสุ่ยเซียนก็รีบส่ายหน้าในทันที
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าขอโทษ” คำขอโทษของหยางสุ่ยเซียนไม่ได้จริงใจเลยสักนิด หากเป็นชาติก่อนหลินเหม่ยเหยาคงจะมองไม่ออก แต่ชาตินี้นางรู้ธาตุแท้ของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าแล้ว ในใจของนางก็ได้แต่แอบชื่นชมหยางสุ่ยเซียนอยู่ในใจที่แม้ว่าหยางสุ่ยเซียนในยามนี้จะมีอายุแค่เพียงสิบสี่ปี แต่การแสดงออกบนสีหน้ากลับเก่งกาจเสียยิ่งกว่านักแสดงงิ้วที่มารดาเลี้ยงของนางจ้างมาทำการแสดงในจวนเสียอีก ไม่น่าประหลาดใจที่ในชาติที่แล้วเด็กสาวที่หมกมุ่นอยู่แต่กับตำราแพทย์และตำราสมุนไพรเช่นนางจะมองหยางสุ่ยเซียนไม่ออก
“เก็บคำพูดสวยหรูของเจ้าไปพูดกับผู้อื่นเถิด เรื่องการหมั้นหมายคือเรื่องส่วนตัวของข้าเจ้าไม่มีสิทธิ์มาเอ่ยถึง ส่วนเรื่องที่ว่าคุณชายใหญ่สกุลซ่งไปที่ไหนหรือทำอะไรถ้าเจ้าให้ความสำคัญมากนักทำไมไม่ไปบอกกับท่านแม่ของเจ้าจัดการเรื่องหมั้นหมายของเขากับเจ้าเสียเลยเล่าเจ้าจะได้มีสิทธิ์ติดตามความเคลื่อนไหวของเขาได้อย่างชอบธรรม อ้อ ข้าลืมไปท่านแม่ของเจ้าเป็นแค่เพียงอนุในจวนนี่นา ย่อมไม่อาจจะมีอำนาจมาจัดการเรื่องการหมั้นหมายของเจ้าได้อยู่แล้ว” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้สีหน้าที่เต็มไปด้วยความไร้เดียงสาของหยางสุ่ยเซียนก็พลันเปลี่ยนแปลงไปในทันที
“หลินเหม่ยเหยาเจ้าอย่าได้ล่วงเกินแม่เล็กของข้า” เมื่อหยางสุ่ยเซียนไม่คิดจะเสแสร้งอีกต่อไปแล้วหลินเหม่ยเหยาก็หัวเราะออกมาในทันที
“ทำไมเล่า แม่เล็กของเจ้าข้าแตะต้องไม่ได้แล้วแม่เล็กของข้าเล่าเจ้าถือสิทธิ์อะไรมาพูดจาดูถูกนาง หยางสุ่ยเซียนแม่เล็กของข้าเป็นถึงผู้ดูแลจวนแห่งนี้ ทุกคนต่างให้ความเคารพนางในฐานะนายหญิงของจวน แล้วแม่เล็กผู้เป็นมารดาแท้ๆ ของเจ้าเล่านางมีสิ่งใดที่เหนือกว่าแม่เล็กของข้าหรือ” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางจ้องมองดวงหน้างามที่ยามนี้เต็มไปด้วยความโกรธเคืองของหยางสุ่ยเซียนแล้วก็พลันแค่นเสียงใส่ใบหน้าของนาง
“ข้าขอเตือนเจ้า อย่าได้ดูถูกคำว่าอนุเชียว ไม่แน่ว่าวันหน้าเจ้าอาจจะต้องกลายเป็นอนุของผู้อื่นด้วยความเต็มใจก็ได้” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้หยางสุ่ยเซียนลุกขึ้นมาแล้วโน้มร่างกายข้ามสิ่งกีดขวางบนโต๊ะตั้งใจว่าจะตบใบหน้าของหลินเหม่ยเหยาให้ได้ แต่หลินเหม่ยเหยาไม่เพียงยกมือขึ้นมาจับฝ่ามือที่ฟาดลงมาของหยางสุ่ยเซียนเอาไว้ได้ นางยังตวัดฝ่ามือที่ว่างอีกข้างของตนเองเข้าไปที่ใบหน้าของหยางสุ่ยเซียนจนเต็มแรง จนทำให้หยางสุ่ยเซียนเสียหลักล้มลงไปบนพื้นอีกด้วย
“หลินเหม่ยเหยาเจ้ากล้าตบหน้าข้าหรือ” คำพูดของหยางสุ่ยเซียนทำให้หลินเหม่ยเหยาเอ่ยออกมาด้วยความแค้นในจิตใจ
“ขายังกล้าลงมือได้มากกว่านี้อีกเจ้าอยากลองหรือไม่” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้หยางสุ่ยเซียนตะโกนก้องออกมา
“พี่สาวของข้าคือกุ้ยเฟยที่ฝ่าบาททรงโปรดปราน พวกเจ้าสกุลหลินจงระมัดระวังตัวเอาไว้ให้ดี” เมื่อหยางสุ่ยเซียนเอ่ยเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“เจ้าแน่ใจหรือว่ากุ้ยเฟยจะทรงจัดการข้าด้วยเรื่องของเจ้า น้องสาวต่างมารดาที่ถือกำเนิดจากอนุภายในจวน อีกทั้งอนุผู้นั้นยังเป็นสาเหตุที่ทำให้มารดาของพระนางต้องตาย เจ้าคิดว่าพระนางจะทรงยินดีที่จะยื่นพระหัตถ์มาช่วยเหลือเจ้าหรือ เท่าที่ข้ารู้ความเกลียดชังที่พระนางมีต่อเจ้าน่าจะมากพอๆ กับที่ข้าเกลียดชังเจ้านี่แหละ” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้ใบหน้าของหยางสุ่ยเซียนพลันซีดเผือดพลางคิดในใจว่านางเคยเผลอเล่าเรื่องนี้ให้หลินเหม่ยเหยาฟังตอนไหน แล้วเหตุใดหลินเหม่ยเหยาจึงได้รู้เรื่องในจวนของนางได้มากขนาดนี้
“หลินเหม่ยเหยาข้าจะต้องเล่นงานเจ้าให้ได้” เมื่อนางเอ่ยจบก็ขยับตัวลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากจวนสกุลหลินในทันที
คุณหนูสกุลฉางกำลังจะแต่งงาน ข่าวนี้ทำให้ผู้คนในเมืองหลวงต่างพากันแตกตื่นและก็พากันสงสัยว่าใครกันที่จะเป็นเจ้าบ่าวผู้โชคร้ายคนนั้น ที่น่าประหลาดใจก็คือใกล้จะถึงวันมงคลอยู่แล้วแต่จวนสกุลฉางกลับไม่ได้จัดเตรียมงานมงคล แต่จวนที่จัดเตรียมงานมงคลกลับเป็นจวนสกุลหยาง จึงมีหลายคนต่างพากันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเจ้าสาวอย่างฉางเจียกำลังจะแต่งออกจากจวนสกุลหยาง“เป็นเรื่องที่บ้าไปแล้ว ก่อนหน้านี้นางทำตัวหน้าไม่อายไปขอพักอาศัยที่จวนสกุลหยางก็เป็นเรื่องที่คนทั่วไปไม่กล้าทำอยู่แล้ว แต่ยามนี้นางยังกล้าจัดงานพิธีส่งตัวขึ้นเกี้ยวที่จวนสกุลหยางอีกช่างเป็นสตรีที่ไร้ความเกรงอกเกรงใจเสียจริง” เสียงติฉินนินทาทำให้สวีหย่วนขมวดคิ้ว ในใจของเขารู้สึกไม่สบายใจอยู่แล้วที่ได้รู้ว่าฉางเจียกำลังจะแต่งงานกับผู้อื่น และยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อได้รู้ว่านางแต่งออกไปอย่างไม่ปกติ ในฐานะบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านแม่ทัพฉาง แม้ว่าจะสิ้นไร้บิดาไปแล้วแต่นางก็ยังมีหน้ามีตามากเพียงพอที่จะแต่งออกจากจวนสกุลฉางโดยไม่อายผู้ใด แต่การที่นางแต่งออกจากสกุลหยางเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกว่าเรื่องที่ไม่ปกติเท่าใดนัก“ญาติผู้พี่ช่ว
‘ข้าเคยพูดว่าเขาเป็นคนหน้าตาธรรมดาหรือ ข้าเคยพูดตอนไหนกันนะ’ นี่คือความคิดของฉางเจียหลังจากที่นางมอบถุงผ้าปักของตนเองให้สวีหย่วนเพื่อเป็นของแทนใจแต่กลับถูกเขาส่งคืนมาให้แถมยังบอกกับนางว่า“คุณหนูเคยเอ่ยกับข้าว่าข้าเป็นคนที่มีหน้าตาธรรมดา ดังนั้นคนที่มีหน้าตาธรรมดาเช่นข้าจึงไม่คู่ควรที่คุณหนูฉางจะมาชื่นชอบหรอก” คำตอบของเขาพร้อมกับถุงผ้าปักที่ถูกส่งคืนทำให้ฉางเจียยื่นนิ่งอยู่กับที่ด้วยความสับสนวุ่นวายใจ“คุณหนูพวกเรารีบกลับจวนกันเถิด หากมัวชักช้าจะมืดค่ำเอาได้นะเจ้าคะ” คำพูดของสาวใช้ทำให้ฉางเจียตื่นจากภวังค์ความคิดในที่สุด นางหันไปมองสวีหย่วนอีกครั้งด้วยความปวดใจแล้วจึงได้เดินทางกลับจวนของตนเองด้วยความเหม่อลอยสวีหย่วนคือชายหนุ่มที่มีอนาคตไกล มีอายุแค่เพียงยี่สิบต้นๆ เขาก็ได้เป็นเจ้ากรมอาญาแล้ว ส่วนนางเป็นสตรีที่กำลังจะพ้นวัยออกเรือนแล้ว เดิมทีนางไม่คิดว่าตนเองจะถูกใจบุรุษคนใดนอกจากญาติผู้พี่ของตนเองอีกแล้ว จวบจนนางได้เห็นเขาตอนที่กำลังแสดงฝีมือจับกุมคนร้ายนางจึงได้รู้ว่าบนโลกใบนี้ยังมีคนที่มีความห้าวหาญไม่แตกต่างไปจากญาติผู้พี่ของนางเลย สายตาเย็นชาที่เขาใช้จ้องมองนางทำให้นางรู้สึกได้ว่า
ซ่งเสวี่ยหรงและกัวไป๋จิ้งถูกตัดสินประหารชีวิตในวันเดียวกัน คนสกุลกัวทั้งสกุลพลอยติดร่างไปด้วย ส่วนคนอื่นๆ ในสกุลซ่งได้รับการอภัยโทษและถูกเนรเทศไปอยู่ชายแดนตลอดชีวิต หวังจื่อเถียนทนรับความลำบากไม่ไหวแขวนคอตนเองตายไปในที่สุด หลินเหม่ยเหยารับฟังเรื่องราวเหล่านี้ด้วยจิตใจอันว่างเปล่า บุญคุณความแค้นในชาติที่แล้วยามนี้นางสามารถปล่อยวางลงได้แล้ว ยามนี้สิ่งเดียวที่สามารถดึงดูดความสนใจของนางได้ก็มีแค่เพียงลูกในท้องที่กำลังจะเกิดมาเพียงเท่านั้นปราบปรามกบฏและสยบเหตุการณ์ก่อจลาจลได้สำเร็จ หยางเจี้ยนก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นไหวกั๋วกงสามารถเข้าเฝ้าได้โดยไม่ต้องคุกเข่าอีกทั้งยังสามารถพกอาวุธเข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นในได้อีกด้วย หลินเหม่ยเหยาจึงพลอยได้เป็นไหวกั๋วกงฮูหยินไปด้วย นางได้รับความริษยาจากบรรดาสตรีทั่วทั้งเมืองหลวง ไม่เพียงมีวาสนาที่ดีแต่ยังได้รับความรักจากสามีอย่างล้นเหลือจนทำให้ผู้อื่นอดริษยาไม่ได้ไหวกั๋วกงไม่เพียงกว้านซื้อกิจการร้านค้าให้นางอย่างใจกว้าง แต่ยังประกาศต่อหน้าธารกำนัลว่าชาตินี้จะไม่รับสตรีอื่นเข้าจวนอีก ดังนั้นหากผู้ใดกล้ายัดเยียดอิสตรีมาให้เขาก็จงเตรียมตัวรอรับการลงทัณฑ์จาก
ยามที่หยางเจี้ยนขี่ม้าไปถึงจวนก็เห็นว่าคนของกรมอาญามาอยู่ที่จวนอย่างผิดปกติ เขารีบเดินไปลากคอของกัวไป๋จิ้งให้ลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็วในทันที โดยที่เขาไม่สนใจว่ากัวไป๋จิ้งตั้งหลักได้หรือไม่ ดังนั้นภาพที่ทุกคนเห็นก็คือแม่ทัพใหญ่หยางกำลังลากคุณชายกัวในสภาพเนื้อตัวชุ่มไปด้วยเลือดเข้าไปในจวนสกุลหยาง“เหยาเหยา” เมื่อเข้าไปในจวนได้เขาก็ตะโกนเรียกชื่อของภรรยาในทันที ทำให้หลินเหม่ยเหยาที่กำลังมอบยาถอนพิษให้กับข้ารับใช้ภายในจวนต้องรีบเดินออกมาหาเขา“ท่านกลับมาแล้ว” หลินเหม่ยเหยาส่งเสียงทักทายเขาออกมาด้วยความยินดี เมื่อเขาเห็นนางก็เหวี่ยงกัวไป๋จิ้งให้สวีหย่วนที่กำลังยืนทำหน้าเคร่งเครียดอยู่แล้วก็รีบวิ่งไปดึงร่างของนางมาโอบกอดเอาไว้“เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของเขาทำให้หลินเหม่ยเหยารีบพยักหน้าแล้วเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงปลอบโยนเพื่อให้เขาสบายใจในทันที“ท่านวางใจได้ข้าไม่ได้เป็นอันใด บ่อน้ำที่ใช้ภายในจวนล้วนต้องผ่านการตรวจสอบจากคนของข้าที่นำมาจากร้านฝูโซ่วก่อน มีเพียงข้ารับใช้แค่เพียงไม่กี่คนเพียงเท่านั้นที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งดื่มน้ำในบ่อก่อนตรวจสอบ ก็เลยทำให้พวกเขาไ
ทางฝั่งของหยางเจี้ยนยามนี้เขากำลังไล่ล่ากวาดล้างคนของฉินอ๋องที่ซุกซ่อนอยู่ในต่างเมือง ความวุ่นวายในเมืองหลวงมีคนของกรมอาญาและจิ่นหรงคอยดูแลความสงบเรียบร้อย ส่วนเขานำกองกำลังอีกส่วนหนึ่งคอยติดตามจับกุมกัวไป๋จิ้งและจางซิงซิน“จางซิงซินหากเจ้ายินยอมมอบตัวแต่โดยดี ข้าก็ยินดีที่จะไว้ชีวิตบุตรชายที่พึ่งจะคลอดออกมาของเจ้า” หยางเจี้ยนที่ในยามนี้นำกองกำลังส่วนหนึ่งล้อมรอบบ้านหลังหนึ่งเอาไว้ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดังกึกก้อง“หากเจ้าไม่ยินดีจะมอบตัววันนี้ข้าคงทำได้แค่เพียงต้องจบชีวิตของพวกเจ้าสองแม่ลูกในกองเพลิงเพียงเท่านั้น” คำพูดของเขาทำให้จางซิงซินค่อยๆ อุ้มห่อผ้าออกมาจากบ้านหลังนั้น สภาพเนื้อตัวของนางไม่หลงเหลือเค้าความงามอีกต่อไปแล้ว เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งและเก่าคร่ำคร่า ร่างกายที่พึ่งจะคลอดบุตรได้ไม่นานแต่กลับไม่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างที่ควรจะเป็นทรุดโทรมจนแทบจะเดินไม่ไหว นางไม่มีทางเลือกมากนักเพราะคนที่หลบอยู่ในบ้านหลังนั้นสั่งให้นางอุ้มลูกออกมามอบตัว ไม่เช่นนั้นพวกนางสองแม่ลูกก็จะถูกพวกเขาฆ่าทิ้งเช่นเดียวกัน นางจึงทำได้แค่เพียงอุ้มทารกน้อยออกมามอบตัวด้วยสภาพสิ้นไร้หนทาง“ท่านแม่ทัพได้โปรด
ฉางเจียไม่สนใจคำครหาของผู้คน นางเข้ามาอยู่ในจวนสกุลหยางราวกับที่นี่เป็นจวนของตนเอง ที่สำคัญนางเฝ้าติดตามหลินเหม่ยเหยาราวกับเงา แต่หลินเหม่ยเหยากลับไม่ได้รังเกียจนางอีกทั้งยังอยู่ร่วมกับฉางเจียราวกับว่านางคือพี่สาวน้องสาวคนหนึ่ง ซ่งเสวี่ยหรงทนได้รับการสอบสวนจากกรมอาญาไม่ไหวยอมรับสารภาพออกมาว่าเขาได้รับการติดต่อจากกัวไป๋จิ้งให้หาวิธีเข้าไปวางยาพิษเสวียนหมิงหลงฮ่องเต้ แต่เพราะช่วงนี้เขาถูกขับออกจากสำนักแพทย์หลวงทำให้เขาต้องยื่นข้อต่อรองขอให้กัวไป๋จิ้งหาวิธีให้เขาได้กลับเข้าไปทำงานในสำนักแพทย์หลวงอีกครั้งกัวไป๋จิ้งจึงสั่งให้เขาสังหารอนุจากสกุลหยางของตนเองก่อนเพื่อที่จะได้เอาอกเอาใจคนสกุลหวัง แล้วหลังจากนั้นกัวไป๋จิ้งจะไปช่วยพูดกับคนสกุลหวังเพื่อช่วยเขา ช่วงนี้กัวไป๋จูกำลังตั้งครรภ์อยู่แม้ว่านางจะมีฐานะแค่เพียงอนุ แต่ทารกที่อยู่ในครรภ์ของนางถือเป็นหลานคนแรกของท่านเสนาบดีหวัง กัวไป๋จิ้งจึงตั้งใจจะใช้การตั้งครรภ์ของน้องสาวเป็นสะพานให้ตนเองตีสนิทกับสกุลหวังและตั้งใจว่าจะเข้าไปช่วยพูดกับท่านเสนาบดีหาวิธีผลักดันซ่งเสวี่ยหรงด้วย ซ่งเสวี่ยหรงเกรงว่ากัวไป๋จิ้งจะเปลี่ยนใจ เขาจึงได้เก็บจดหมายที่ใช้ต