บทที่ 9 งานเลี้ยงจวนตระกูลหลี่
ผ่านมาร่วมสองวันจวนตระกูลหลี่ก็ส่งเทียบเชิญมาที่จวนตระกูลฟาง ฟางเมี่ยวจ้องมองเทียบเชิญฉบับนั้นอย่างเงียบๆ ในใจของนางรู้สึกเต้นระรัวอย่างรุนแรง
นางบอกไม่ถูกว่ามันเกิดจากสาเหตุใดกันแน่ที่ทำให้จิตใจของนางไม่สงบได้ถึงเพียงนี้ คล้ายว่านางรอคอยที่จะได้พบกับเขาและเฝ้ารอให้เขาพูดประโยคบอกรักนั้นกับนางอีกครา
หากครานี้เขาพูดกับนางอีกครา นางจะตอบตกลงเขาอย่างไม่รีรอ นางจะแต่งกับเขา จะดูแลเขาให้ดีที่สุด
ฟางเมี่ยวละสายตาจากเทียบเชิญฉบับนั้น ก่อนจะสั่งให้ลู่ชิงช่วยนางเลือกชุดที่จะสวมใส่ไปที่จวนตระกูลหลี่ในอีกสองวันข้างหน้า
นางจำได้ว่าในชาติก่อนนั้น นางรู้ว่าในงานเลี้ยงครั้งนี้เย่จิ้นหยางจะมาร่วมด้วยเช่นกัน เพราะสนิทสนมกับหลี่เยี่ยนเฉินมาก นางจึงบรรจงแต่งกายสีสันฉูดฉาดไป เพื่อยั่วยวนเย่จิ้นหยาง โดยไม่สนใจหลี่เยี่ยนเฉินเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังหลอกใช้เขา
ฟางเมี่ยวไล่ความคิดเหล่านี้ออกไป นางมองดูชุดที่ตนเองจะสวมใส่ก่อนจะยิ้มออกมาคราหนึ่ง
สองวันต่อมา
งานเลี้ยงจวนตระกูลหลี่
ยามนี้ภายในจวนตระกูลหลี่ค่อนข้างคึกคักเป็นอย่างมาก ขุนนางชั้นสูงจากทั่วทั้งเมืองหลวงต่างมาร่วมยินดีด้วย เพราะตระกูลหลี่มีเรื่องที่น่ายินดี นั่นก็คือหลี่เยี่ยนเฉินบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลได้เลื่อนขั้นเป็นรองแม่ทัพ อีกทั้งภายภาคหน้าย่อมมีโอกาสสืบทอดตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ต่อจากบิดาอีกด้วย
ฟางเมี่ยวเดินลงมาจากรถม้า ก่อนจะมองไปโดยรอบ สถานที่นี้เป็นสถานที่ที่นางคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง
"เมี่ยวเอ๋อร์ เข้าไปข้างในกับพ่อเถิด"
"เจ้าค่ะ"
ฟางเมี่ยวเดินตามผู้เป็นบิดาเข้าไปข้างในจวน เพียงแค่นางก้าวเข้ามาในจวน สายตาของผู้คนที่มองมาก็ต่างจับจ้องมาที่นางแล้ว สายตาของเหล่าบุรุษมีแต่ความชื่นชมในความงามล้ำของนาง ส่วนสตรีน้อยเหล่านั้นต่างมองนางอย่างไม่เป็นมิตรเท่าใดนัก แต่ฟางเมี่ยวไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
หลี่เยี่ยนเฉินที่กำลังพูดคุยอยู่กับเหล่าสหาย พลันสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นฟางเมี่ยว
วันนี้นางสวมชุดสีเหลืองอ่อน บนชายกระโปรงปักลวดลายผีเสื้อที่กำลังดอมดมกลีบดอกไม้ เมื่ออาภรณ์ชุดนี้มาอยู่บนกายของนางแล้ว มันช่างดูราวกับมีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น ขับให้ผิวของนางงดงามขาวนวลเนียนราวกับหิมะ แม้ใบหน้าจะไม่ได้แต่งแต้มมากนัก กลับงดงามจนผู้คนไม่อาจละสายตาไปจากนางได้
ฟางเมี่ยวคล้ายรับรู้ว่าตนถูกจับจ้อง นางจึงหันมาจ้องมองทันที ก่อนจะพบว่าเป็นหลี่เยี่ยนเฉินนั่นเอง นางจึงส่งยิ้มให้เขาคราหนึ่ง
หลี่เยี่ยนเฉินพลันเบือนหน้าหนี ราวกับไม่เห็นนางอย่างไรอย่างนั้น เขาลอบกำมือแน่น นี่เขาเผลอหลงใหลไปกับความงามอาบยาพิษของนางอีกแล้วอย่างนั้นหรือ!!
ไม่มีทาง!! เขาจะใจอ่อนกับนางอีกไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อหันไปมองอีกครา ก็พบว่านางเดินจากไปเสียแล้ว เขาขมวดคิ้วมุ่นคราหนึ่งพลางครุ่นคิด
เหตุใดนางจึงไม่แต่งหน้าหนาเตอะราวกับนางเอกงิ้วเล่า ทุกครานางจะบรรจงประโคมทั้งเครื่องประทินผิวและเครื่องประดับกายอย่างบ้าคลั่ง มันทำให้นางดูแก่เกินอายุตน
แต่ทว่าครานี้นางกลับไม่แต่งกายมากนัก เขากลับมองว่ามันน่ามองกว่าแต่ก่อนเสียอีก!!
น่ามองหรือ น่ามองกับผีน่ะสิ!!!
เขาไม่สนใจเรื่องของฟางเมี่ยวอีกแล้ว จึงหันไปสนทนากับสหายต่อ
ด้านฟางเมี่ยวนั้นยามนี้บิดาของนาง พานางเข้ามาที่ห้องโถงใหญ่ ก่อนจะพบกับแม่ทัพใหญ่หลี่และหลี่ฮูหยิน
"คารวะท่านลุงท่านป้าเจ้าค่ะ"
ฟางเมี่ยวทำความเคารพอย่างนอบน้อม ก่อนจะส่งยิ้มให้หลี่ฮูหยินคราหนึ่ง หลี่ฮูหยินปรายตามองนางเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมา ส่วนฟางเมี่ยวนั้นก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก
นางรู้ดีว่าท่านแม่ของหลี่เยี่ยนเฉินไม่เอ็นดูนางเลยแม้แต่น้อย เพราะนางทำตัวเหลวไหลไร้มารยาทไร้กฎระเบียบ ตั้งแต่เริ่มเติบใหญ่ก็มีนิสัยไม่น่ารักเช่นยามวัยเยาว์อีก
หลี่ฮูหยินเอง แม้ใบหน้าจะยิ้มแย้มแต่ในใจกลับครุ่นคิด
ฟางเมี่ยวยามยังเยาว์วัยนั้นช่างน่ารักน่าทะนุถนอมไม่น้อย แต่ทว่าเมื่อเติบโตขึ้นกลับเปลี่ยนนิสัย อายุสิบสามก็หัดเข้าโรงพนัน หัดดื่มสุรา อีกทั้งยังแต่งกายฉูดฉาด ได้ยินว่านางเริ่มจะยั่วยวนบุรุษเป็นแล้ว!!!
สามีของนางอยากได้ฟางเมี่ยวมาเป็นสะใภ้ แต่นางที่เป็นภรรยากลับไม่เห็นด้วยเท่าใดนัก แต่จะทำเช่นไรได้เล่า สามีนางยืนยันหนักแน่นเพราะเป็นสหายกับคนตระกูลฟางมาตั้งแต่วัยเยาว์ นางคงทำได้เพียงภาวนาให้หลี่เยี่ยนเฉินชิงชังสตรีนางนี้เสีย แต่จะเป็นไปได้หรือในเมื่อหลี่เยี่ยนเฉินชื่นชอบฟางเมี่ยวมาตั้งแต่ยังเด็ก
ฟางเมี่ยวดูสีหน้าของหลี่ฮูหยินออก นางเพียงยิ้มเล็กน้อย นางเข้าใจ หลี่ฮูหยินคงไม่อยากได้นางเป็นสะใภ้ เพราะนางติดการพนันติดสุรา
แต่โชคยังดีที่ยามนี้นางจัดการตัดรากถอนโคนอนุซางไปแล้ว ยามนี้นางจึงยังไม่ถึงขั้นที่ติดสุราจนเกินเยียวยา และทำชั่วจนเกินจะแก้ไข
เอาเถิด!! ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนกันไป นางเชื่อว่าสักวันหลี่ฮูหยินต้องเปลี่ยนความคิดที่มีต่อนางเป็นแน่
"ชินอ๋องเสด็จมาแล้วขอรับ"
บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งรีบวิ่งเข้ามารายงาน แม่ทัพใหญ่หลี่และหลี่ฮูหยินรีบออกไปต้อนรับในทันที แม้แต่ฟางเมี่ยวก็ออกไปด้วยเช่นกัน
นางมองดูเย่จิ้นหยางที่ยามนี้กำลังเดินเข้ามาในจวนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขาดูหล่อเหลาและสง่าผ่าเผยเป็นอย่างมาก ฟางเมี่ยวมองบุรุษที่ขึ้นชื่อว่าเคยเป็นสามีของนางในชาติก่อนด้วยแววตาที่เรียบเฉย
หลี่เยี่ยนเฉินรีบออกมาต้อนรับเย่จิ้นหยางอย่างสนิทสนม พลางแอบชำเลืองมองฟางเมี่ยวในคราเดียวกัน แล้วเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อในแววตาของฟางเมี่ยวที่มองเย่จิ้นหยางมีเพียงความเรียบเฉย ไม่ได้มีความรักใคร่หรือหลงใหลให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
นี่มันเกิดเรื่องใดขึ้นกันนะ เหตุใดเรื่องราวจึงคล้ายไม่เป็นไปอย่างที่เขาจำได้เล่า!!!
"อาเยี่ยน ยินดีกับเจ้าและครอบครัวด้วย นี่เป็นของขวัญจากข้า"
"ขอบพระทัยท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ"
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นสหายสนิท แต่ยามอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายย่อมต้องให้ความเคารพ หลี่เยี่ยนเฉินทำความเคารพอย่างนอบน้อม ก่อนจะรับของขวัญมาจากเย่จิ้นหยาง
"เชิญท่านอ๋องด้านในเถิดพ่ะย่ะค่ะ"
"อืม"
เย่จิ้นหยางพยักหน้าก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองที่สตรีนางหนึ่ง ฟางเมี่ยวมองตามสายตาของเย่จิ้นหยางไป ก่อนจะหยุดอยู่ที่จางเสวี่ยฮุ่ย แววตาที่เย่จิ้นหยางมองจางเสวี่ยฮุ่ยมีทั้งความชอบพอและหลงใหลในคราเดียวกัน
ฟางเมี่ยวไม่ได้รู้สึกเศร้าใจอันใดมากนัก นางรู้อยู่แล้วว่าคนทั้งสองอย่างไรย่อมต้องได้เป็นสามีภรรยากัน และนางก็ไม่ได้คิดจะไปขัดขวางวาสนาด้ายแดงของผู้ใดเช่นกัน
จางเสวี่ยฮุ่ยที่รู้สึกว่าถูกจ้องมอง จึงหันมามองทันที เมื่อเห็นว่าเป็นฟางเมี่ยวนางก็ยิ้มเต็มใบหน้า ก่อนจะเดินเข้ามาหาฟางเมี่ยวอย่างกระตือรือร้น
"คุณหนูฟางเมี่ยว"
"คุณหนูจางเสวี่ยฮุ่ย"
"เจ้าก็มาด้วยหรือ ดียิ่งนัก"
"อืม"
"เจ้าเรียกข้าว่าเสวี่ยเสวี่ยก็ได้นะ"
ฟางเมี่ยวมองดูจางเสวี่ยฮุ่ยด้วยแววตาที่หลากหลาย ก่อนจะยิ้มเต็มใบหน้า
"เรียกข้าว่า เมี่ยวเมี่ยวก็ได้เช่นกัน"
จางเสวี่ยฮุ่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าอย่างเบิกบานใจ
"เมี่ยวเมี่ยว เราไปเดินเล่นทางนั้นกันเถิด ดอกเหมยกำลังบานเลย"
"อืม ไปสิ"
ฟางเมี่ยวเดินตามจางเสวี่ยฮุ่ยคราหนึ่ง คนทั้งสองเดินมาหยุดอยู่ที่ศาลาริมสระบัวที่มีต้นดอกเหมยรายล้อมช่างดูงดงามยิ่งนัก ฟางเมี่ยวทิ้งกายนั่งลงอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับจางเสวี่ยฮุ่ย
"เสวี่ยเสวี่ย ชาที่ข้าให้เจ้าไปครานั้น รสชาติดีหรือไม่?"
ฟางเมี่ยวกระอักกระอ่วนยิ่งนัก ให้ตายเถิด!! ชาติที่แล้วนางพยายามแทบเป็นแทบตายเพื่อที่จะฆ่าจางเสวี่ยฮุ่ยและทำร้ายนางให้สำเร็จ แต่ครั้งนี้กลับมานั่งสนทนากันเหมือนสหายสนิท นางรู้สึกแปลกพิกล
"เอ่อ อืม ดีสิ ข้าชอบมากเลย"
จางเสวี่ยฮุ่ยเอ่ยไม่เต็มเสียง อีกทั้งยังไม่ยอมสบตากับฟางเมี่ยว ฟางเมี่ยวที่เห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น
ท่าทีเหมือนคนโกหกของจางเสวี่ยฮุ่ยเช่นนี้มันคืออันใดกัน!!
ช่างเถิด!!! นางเองก็ไม่อยากคาดคั้นเอาคำตอบ
"อืม เจ้าชอบก็ดี หากมีเวลาก็ไปเอาที่ร้านข้าเพิ่มได้ ข้าให้เจ้าแบบไม่คิดเงินสักอีแปะเลย"
จางเสวี่ยฮุ่ยที่ได้ยินเช่นนั้นเบิกตาโต ก่อนจะเดินมาทิ้งกายลงนั่งข้างๆ ฟางเมี่ยว ฟางเมี่ยวสะดุ้งคราหนึ่ง ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
ให้ตายเถิด!! ใกล้ข้าเช่นนี้ไม่กลัวข้าตบเจ้าหรือ?
"เมี่ยวเมี่ยว นั่นคือโรงน้ำชาที่เจ้าเป็นเจ้าของใช่หรือไม่?"
"อืม"
"ข้าเคยได้ยินว่าตระกูลฟางร่ำรวย แต่ไม่คิดว่ากิจการจะใหญ่โตถึงเพียงนี้ อีกทั้งเจ้ายังดูแลกิจการเองด้วยหรือ?"
"ใช่แล้ว ทำไมหรือ?"
เมื่อเห็นท่าทีอยากเอ่ยแต่ไม่กล้าเอ่ยของจางเสวี่ยฮุ่ย ฟางเมี่ยวจึงหันไปถามทันที
"เอ่อ"
"พูดมาเถิด"
จางเสวี่ยฮุ่ยถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"มีคนบอกว่าเจ้าติดพนัน อีกทั้งยังชอบดื่มสุราจนเมามาย กิจการก็ไม่สน วันๆ เอาแต่ยั่วยวนบุรุษ สตรีทั้งเมืองหลวงต่างไม่ชอบหน้าเจ้า ทั้งที่เจ้าก็ดูเหมือนเป็นคนฉลาดแต่กลับไม่ได้เรื่อง เอ่อ ขออภัย ข้าเพียงพูดตามที่ได้ยินมาเท่านั้น"
จางเสวี่ยฮุ่ยมีท่าทีรู้สึกผิดไม่น้อย ฟางเมี่ยวที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยกมือขึ้นลูบจมูกตนคราหนึ่ง
หากเป็นข้าคนเก่าป่านนี้เจ้าคงได้โดนตบร่วงสระน้ำไปแล้ว!!
"เมี่ยวเมี่ยว ข้าขอโทษ"
"ช่างเถิด ข้าไม่สนใจหรอก"
"แต่ยามนี้เจ้าเก่งมากเลยนะ สตรีที่ทำการค้าได้มีน้อยยิ่งนัก"
ฟางเมี่ยวจ้องมองจางเสวี่ยฮุ่ยที่ยิ้มตาหยี ใจของนางพลันแปลกไปไม่น้อย
จางเสวี่ยฮุ่ยคนเก่าทั้งเงียบขรึมและอ่อนแอ แต่จางเสวี่ยฮุ่ยที่นางเห็นในยามนี้ดูอ่อนโยนบอบบางน่าคบหาและร่าเริงมาก
คงเพราะตำแหน่งชายาท่านอ๋องทำให้นางต้องสำรวมท่าทีสินะ
จะแปลกหรือไม่ หากนางจะบอกว่านางชอบจางเสวี่ยฮุ่ยตรงหน้าผู้นี้มากกว่า
"สนทนาสิ่งใดกันอยู่หรือ?"
เสียงของบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบของฟางเมี่ยวและจางเสวี่ยฮุ่ย ฟางเมี่ยวจึงเงยหน้าไปมอง ก่อนที่นางจะถอนหายใจออกมา
หลีกเลี่ยงให้เจอไม่ได้สินะ
อดีตสามีจอมบัดซบ!!!
หลายเดือนต่อมา เจียงซูซูมาส่งใบลาให้เสิ่นจื่อหลาง บอกเพียงว่านางต้องติดตามท่านพ่อท่านแม่ไปจัดการธุระที่บ้านเดิมซึ่งอยู่นอกเมืองหลวงเสิ่นจื่อหลางให้นางลาสามวัน และบอกให้นางรีบกลับระหว่างทางที่มุ่งหน้ากลับบ้านเดิมนั้นไม่มีปัญหา จนกระทั่งยามที่นางและครอบครัวกำลังจะเดินทางกลับ กลับมีโจรบุกเข้ามาปล้นชิงครอบครัวของนาง พวกมันจับตัวพวกนางเอาไว้ เจียงซูซูหวาดกลัวไม่น้อย แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีเอาไว้นางไม่รู้ว่าพวกมันจับตัวนางมาไว้ที่ใด ได้ยินเพียงพวกมันบอกว่าจะสังหารท่านพ่อท่านแม่ของนางและส่งนางไปขายที่หอนางโลมเจียงซูซูพลันนึกถึงเสิ่นจื่อหลางขึ้นมา จู่ๆ ขอบตาของนางก็ร้อนผ่าว เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่านางกับเขาชาตินี้อาจะไม่ได้เจอนางอีก นางสัญญากับเขาเอาไว้แล้วว่าจะกลับไปอยู่เคียงข้างเขาเขาเป็นถึงฮ่องเต้ผู้สูงส่งแต่นางเป็นเพียงขุนนางหญิงต่ำต้อย กลับอาจหาญที่จะไปหลงรักเขาภายใต้ใบหน้าที่แสนเย็นชาของเขามันซ่อนความอบอุ่นเอาไว้ เขาไม่เคยตำหนินาง ไม่เคยลงโทษนาง อีกทั้งยังไม่ถือตัวกับนาง นางชอบทุกอย่างที่เป็นเขา รักทุกอย่างของเขาจู่ๆ เจียงซูซูที่เข้มแข็ง น้อยครั้งนักที่นางจะร้องไห้ แต่ทว่ายามนี้นางกลับ
วันเวลาเช่นนี้ผ่านไปวันแล้ววันเล่าเดือนแล้วเดือนเล่าจนล่วงมาเป็นปี เขาไม่ทันรู้ตัวว่าเปิดรับนางเข้ามาในใจตั้งแต่ยามใด รู้ตัวอีกคราสายตาของเขาก็เอาแต่มองหานางเสียแล้ว“ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่กำลังนั่งอ่านตำราพลันเงยหน้าขึ้นไปมองโจวกุ้ยเฟยที่กำลังเดินเข้ามาโจวกุ้ยเฟย นามเดิม โจวเย่หลัน นางเป็นหลานสาวของนายท่านโจว เป็นทายาทที่เกิดจากบุตรชายเพียงคนเดียวของโจวชิงเหยา บุตรชายของนายท่านโจวเขารับนางเข้ามาเป็นสนมได้ร่วมสองปีแล้ว นิสัยของนางค่อนข้างอ่อนหวาน เอาอกเอาใจ และมีเมตตาแต่ทว่าเขารู้ดีว่านี่คือเปลือกนอกที่นางแสดงให้เขาดูเพียงเท่านั้นสตรีวังหลังมีผู้ใดบ้างไม่ฝักใฝ่ในอำนาจ หากไม่สนอำนาจเช่นนั้นจะเข้าวังหลวงมาทำไมกัน ไปบวชชีคงเหมาะเสียกว่า!!“โจวกุ้ยเฟย เจ้ามาหาข้ามีเรื่องใดหรือ?”โจวกุ้ยเฟยฉีกยิ้มอ่อนหวาน ก่อนจะเอ่ย“ทูลฝ่าบาท วันนี้หม่อมฉันคิดค้นสูตรอาหารขึ้นมาใหม่ จึงอยากมาชวนพระองค์ไปลองชิมที่ตำหนักเพคะ”“อืม ไว้มีเวลาข้าจะไป”“ฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่ได้ยินว่าโจวกุ้ยเฟยเอาแต่เรียกเขา ก็เงยหน้าไปมองนางด้วยแววตาที่เย็นชาจนนางลนลานหวาดกลัวไม่น้อย“เอ่อ หม่อมฉันขอทูล
วังหลวงท้องพระโรงยามนี้เจียงซูซูอยากจะมุดแผ่นดินหนีหรือไม่ก็แทรกตัวเข้าไปหลบในเสาต้นใดต้นหนึ่งยิ่งนักบุรุษที่นางยืนด่าฉอดๆ เมื่อไม่นานมานี้ แท้จริงเขาคือฮ่องเต้ของต้าอู๋พระนามเสิ่นจื่อหลางเจียงซูซูเบะปากทำท่าคล้ายคนจะร้องไห้ เห็นทีตำแหน่งขุนนางหญิงที่นางใฝ่ฝันคงจะจบเห่แล้ว!!!เสิ่นจื่อหลางปรายตามองเจียงซูซูคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองสตรีอีกสองนางที่สอบได้ลำดับรองลงไป สตรีที่ได้อันดับสองมาจากจวนตระกูลหาน ได้ยินว่านางเก่งกาจด้านการใช้อาวุธ เขาจึงมอบตำแหน่งองค์รักษ์หญิงให้แก่นาง ส่วนสตรีอีกนางมาจากจวนตระกูลสวี ได้ยินว่านางรอบรู้ อีกทั้งยังช่างสังเกต เขาจึงให้นางไปเรียนรู้การทำงานที่ศาลต้าหลี่ ดูว่านางมีความสามารถเหมาะกับตำแหน่งใดในศาลต้าหลี่แล้วค่อยมอบตำแหน่งนั้นให้นางส่วนผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่ง เขาตั้งใจที่จะให้นางทำงานอยู่ข้างกายเขา เขาไปที่ใดนางต้องไปตามคอยเป็นหูเป็นตาแทนเขา สามารถเป็นตัวแทนเขาในการทำงานต่างๆ ได้ สตรีมักจะทำงานรอบคอบและละเอียดมากกว่าบุรุษสตรีน้อยสองนางออกไปแล้ว ยามนี้เหลือเพียงเจียงซูซู เสิ่นจื่อหลางโบกมือให้คนอื่นๆ ออกไป ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหานาง เจียงซูซูที่เห็นเช
(เรื่องราวเกิดขึ้นหลังขึ้นครองราชย์6ปี)“ฝ่าบาท จะออกไปจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีคนสนิทเอ่ยถามเสิ่นจื่อหลางอย่างร้อนรน ได้ยินว่าวันนี้ฝ่าบาทจะออกไปชิมอาหารที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์อีกแล้ว“ไม่ต้องตามข้า ข้าเพียงไปพบสหายเท่านั้น”เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะปลอมตัวเป็นองค์รักษ์เสื้อแพรออกไปที่นอกวังหลวงยามนี้อาอวี้รั้งตำแหน่งผู้บัญชาการองค์รักษ์เสื้อแพร อีกทั้งยังตงฉิน ทำงานอุทิศตนเพื่อบ้านเมือง มันทำให้เขามองเห็นตนเองเมื่อสมัยก่อนปีนี้เขามีอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว ครองราชย์มาก็หลายปี แต่ทว่ายังคงไม่มีทายาทสืบทอดวันนี้เขามีนัดกับฟางเมี่ยวที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์ นางบอกมีสูตรอาหารแปลกใหม่อยากให้เขาได้ลิ้มลองเมื่อมาถึงเขาก็พบกับหลี่เยี่ยนเฉิน น่าแปลกที่ยามนี้เขากับหลี่เยี่ยนเฉินกลายเป้นสหายสนิทกันไปเสียแล้ว“อาจื่อ เจ้าว่างมากหรือ จึงนัดพวกข้ามาพบ”“แน่นอนสิ ข้าไม่มีสิ่งใดทำ”“เหอะ”“เหอะอันใด รีบสั่งอาหารมาสิ แล้วนี่เมี่ยวเมี่ยวเล่า นางไปที่ใด?”“มาถึงก็เรียกหาภรรยาผู้อื่นเช่นนี้ใช้ได้หรือ กลับไปหาสนมเจ้าสิ!!!”“เจ้าหึงหวงหรือ ช่วยไม่ได้ เมี่ยวเมี่ยวสนิทกับข้านี่เจ้าก็รู้”“อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าทุบ
เขาจำได้ดีว่าในปีนั้นเป็นช่วงฤดูร้อน ฮ่องเต้เย่หมิงหล่างมีรับสั่งให้เหล่าขุนนางตามออกไปล่าสัตว์อีกครา หลังจากที่เกิดเหตุการณ์น่ากลัวที่เหล่านักฆ่าลอบสังหาร ก็มีการเพิ่มกำลังการคุ้มกันแน่นหนาขึ้น“วันนี้พี่เยี่ยนช่างรูปงามยิ่งนัก”หลี่เยี่ยนเฉินปรายตามองฟางเมี่ยวคราหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าหนี นางตามมาเกี้ยวพาเขาอีกแล้วฟางเมี่ยวจ้องมองหลี่เยี่ยนเฉินด้วยท่าทีหยอกเย้า ไม่ได้ใส่ใจท่าทีที่เอือมระอาของเขาเลยแม้แต่น้อย“พี่เยี่ยน”“หยุดเรียกข้าสักที”เขารีบควบม้าหนีนางไปทันที ฟางเมี่ยวไม่ยอมลดละรีบควบม้าตามเขาไปอย่างรวดเร็วแต่ทว่าม้าของนางกลับพยศ มันวิ่งเข้าป่าไม่หยุดจนเกือบจะชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ หลี่เยี่ยนเฉินตื่นตระหนกยิ่ง รีบกระโดดเข้ามาคว้าตัวนางลงจากหลังม้า ก่อนที่คนทั้งสองจะกลิ้งตกลงเขาไปด้วยกันฮ่องเต้เย่หมิงหล่างสั่งให้คนออกตามหาพวกเขาทั้งสองคนแต่กลับไม่พบฟางเมี่ยวขยับกายเล็กน้อย นางรู้สึกปวดไปทั้งตัว แต่ว่าเมื่อได้มองเห็นหลี่เยี่ยนเฉินที่นอนสลบอยู่ ก็ตกใจไม่น้อย บนหน้าผากของเขามีเลือดไหลซึมออกมา คาดว่าอาจจะถูกกิ่งไม้แหลมขูดหน้าผาก ฟางเมี่ยวรีบใช้ผ้าสะอาดที่นางนำติดมาด้วยซับเลือดให้เขา
รัชศกจื่อหลางปีที่ 1ยามนี้เสิ่นจื่อหลางขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้หนึ่งปีแล้ว นับแต่ที่เขาขึ้นครองราชย์นั้นนับว่าเป็นช่วงที่รุ่งเรืองไม่น้อย แคว้นต่างๆ ยอมศิโรราบ แคว้นใดคิดเป็นกบฏจะถูกสังหารอย่างไม่ละเว้น ผู้ทำผิดถูกลงโทษไม่เว้นว่าจะเกิดในตระกูลใด เด็กๆ ที่ยากจนได้มีสถานที่เรียน ซึ่งทางราชสำนักเป็นคนต่อตั้งขึ้นสำหรับครอบครัวที่ยากจนสามปีต่อมาอาอวี้ที่มีอายุจะครบสิบห้าปีแล้วสามารถสอบเป็นจอหงวนได้สำเร็จ หลังจากนั้นอีกหลายปี เพราะความสามารถของเขาที่เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ จึงได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ทำงานรับใช้ฝ่าบาทอย่างใกล้ชิดฟางเจี๋ยพี่ชายของนางได้รับตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหม ส่วนท่านพ่อนั้นก็ออกมาพักผ่อนและเลี้ยงลูกๆ ของฟางเจี๋ยและหลิวจืออยู่ที่จวนส่วนหลี่เยี่ยนเฉินนั้นยามนี้สงครามสงบ ไม่มีสิ่งใดให้ต้องทำ เขาจึงติดตามภรรยาไปค้าขายต่างแคว้นอย่างมีความสุข ทั้งคู่ยังไม่มีบุตรจนหลี่ฮูหยินร้อนใจ สั่งให้ฟางเมี่ยวห้ามออกจากจวนไปทำงาน อยู่ทำลูกกับหลี่เยี่ยนเฉินทุกวันยามที่มีเวลาว่าง ฟางเมี่ยวมักจะไปที่หลุมศพของจางเสวี่ยฮุ่ย บอกเรื่องราวความเป็นไปในแต่ละช่วงเวลาให้นางฟังฟางเมี่ยวเชื