หลี่เฉียงลุกเดินออกไปที่ห้องครัวเพื่อดูว่าหว่านหนิงนางหลงเหลือสิ่งใดไว้ให้เขาบ้าง แต่เมื่อจะจุดเทียนเพื่อใช้ส่องทาง ก็ต้องพบบนเชิงเทียนมีเพียงน้ำตาเทียนเท่านั้นที่เหลืออยู่
“เพ้ย อยู่เรือนเช่นไรถึงไม่ยอมเตรียมสิ่งของ” เขาสบถออกมาอย่างหัวเสีย
หากหลี่เฉียงใส่ใจสักนิดเขาจะรู้ว่าภายในเรือนยามนี้แทบไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่แล้ว
หลี่เฉียงจำต้องอาศัยแสงจันทร์นำทางมาที่ห้องครัว พอถึงห้องครัวเขาถึงได้ใช้ตะบันไฟจุดเพื่อส่องสว่าง หาดูว่ามีสิ่งใดที่พอจะใส่ลงท้องได้บ้าง
“สวรรค์ ไม่มีอะไรให้ข้ากินเลยหรือเนี่ย” เขามองห้องครัวที่ว่างเปล่าตรงหน้าอย่างเศร้าใจ
สุดท้ายหลี่เฉียงทำได้เพียงดื่มน้ำลงท้องไปให้ได้มากที่สุดแล้วกลับเข้าห้องไปนอนหนาวและหิวจนเช้า
หว่านหนิงเห็นท้องฟ้าสว่างแล้ว แต่นางยังไม่คิดที่จะลุกขึ้นจากที่นอน นางยังคิดไม่ตกว่าสมควรทำเช่นไรต่อไปดี
ปัง ปัง ปัง เสียงเคาะประตูหน้าห้องของนางดังขึ้น พร้อมทั้งเสียงร้องเรียกของหลี่เฉียงที่กำลังโมโหหิว
“หว่านหนิง เจ้าออกมาหาอะไรให้ข้ากินประเดี๋ยวนี้” เสียงทุบประตูยังดังไม่หยุด
หว่านหนิงเพียงแค่มองไปทางประตูห้องอย่างเย็นชา แต่นางไม่คิดจะลุกขึ้นไปเปิดหรือตอบสิ่งใด
หลี่เฉียงออกแรงได้ไม่นาน กลอนประตูห้องที่ไม่ได้แข็งแรงอยู่แล้วก็พังลง เขาเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างเตียงของนางด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
“สายปานนี้ เหตุใดเจ้ายังไม่ลุก” เขากำมือแน่น เพื่อไม่ให้ตนเองใช้มือกระชากร่างของนางขึ้นมา
“...” หว่านหนิงปรายตามองเล็กน้อย ก่อนจะพลิกตัวหันหลังหนี
โทสะจากความหิวที่มีอยู่แต่เดิม ทำให้หลี่เฉียงโมโหเพิ่มมากขึ้นยิ่งได้เห็นท่าทางที่เมินเฉยของหว่านหนิง เขาดึงตัวนางขึ้นมาอย่างแรง
จนร่างของนางเกือบจะล้มไปกองอยู่ที่พื้น แต่ดีที่หลี่เฉียงยังมีความคิด มืออีกข้างของเขารวบเอวของนางไว้ได้ทัน ร่างของทั้งสองแนบชิดกันจนไม่เหลือเป็นช่องว่าง
ใบหูของหลี่เฉียงแดงก่ำขึ้นมาทันที เขาไม่ได้ใกล้ชิดนางเพียงนี้มานานเท่าใดแล้ว ผิดกับหว่านหนิงที่แสนจะรังเกียจหลี่เฉียง ทั้งกลิ่นเหงื่อของพวกนักพนันและกลิ่นสุราที่ออกมาจากตัวของเขา ทำให้นางผลักตัวของเขาออกทันที
“อยากกินก็ไปหากินเอง ข้าไม่ทำ” นางกลับไปนั่งลงที่เตียง เพราะข้อเท้าของนางยังปวดอยู่ไม่น้อย
“ในครัวไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่แล้ว แล้วจะให้ข้าไปทำอันใด”
“ก็ใช่ไง ไม่มีสิ่งใดเหลือแล้ว เงินก้อนสุดท้ายที่มีท่านก็นำไปเล่นพนันหมด ตอนนี้จะมาร้องหาสิ่งใด” เสียงที่เรียบเฉยของนางทำให้หลี่เฉียงเม้มปากแน่น
เขาคิดว่าหากนางได้รู้เรื่องนี้คงจะโวยวายด่าทอ หรือทุบตีเขาเช่นเมื่อวาน แต่นี่นางไม่แม้แต่จะต่อว่า หรือมองเขาเลยด้วยซ้ำ
“ขะ ข้า ข้าคิดว่ามือข้าจะขึ้น จะมีเงินมาลงทุนค้าขายหาเงินเข้าเรือน” เขาเอ่ยแก้ตัวออกมา
“อ้อ แล้วเป็นเช่นใดเล่า” นางช้อนสายตาขึ้นมามองเขา
“เหอะ เจ้าไม่ต้องถาม หากไม่มีก็ต้องไปหา ข้าเห็นสตรีในหมู่บ้านขึ้นเขาไปหาของป่ามากิน เหตุใดเจ้าไม่ทำ”
“หึ” หว่านหนิงสบถออกมา นางไม่อยากเชื่อว่าเขาจะมีความคิดที่ติดลบมากถึงเพียงนี้
“ท่านรู้เช่นนี้ก็ขึ้นเขาไปเองเถิด ข้าไม่ทำ” นางจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ก็ถูกหลี่เฉียงดึงรั้งไว้
“เจ้าเป็นภรรยาจะปล่อยให้ผู้เป็นสามีอดตายได้อย่างไร”
“หลี่ เฉียง ท่านยังจำได้หรือว่าในเรือนยังมีภรรยา หากท่านคิดถึงข้าสักนิดคงไม่นำเงินก้อนสุดท้ายไปเล่นพนัน” นางพูดแสงลอดไรฟันออกมา
“ผู้ใดจะรู้เล่าว่าจะเสีย”
“เหอะ มีนักพนันคนใดที่ขนเงินกลับบ้านบ้างเล่า เรื่องเพียงเท่านี้ท่านยังคิดไม่ได้ เมื่อก่อนท่านจะถูกสั่งสอนมาเช่นไรข้าไม่รู้ แต่หากไม่คิดจะทำตัวให้ดีขึ้นก็ต้องปล่อยข้าไป ข้าบอกท่านถึงสองหนว่าข้ามิใช่ซูหว่านหนิง มิอาจทนอยู่กับบุรุษไร้ค่าเช่นท่านได้ รบกวนท่านเขียนหนังสือหย่าให้ข้าเถิด”
สิ้นคำว่าหนังสือหย่า หลี่เฉียงดึงตัวของหว่านหนิงขึ้นมาเผชิญหน้ากับเขา มือของเขายึดเอวคอดกิ่วของนางไว้แน่น
“เจ้าอย่าได้คิดเอ่ยเรื่องหย่าออกมาอีก ต่อให้เจ้าไม่ใช่นาง แต่ในเมื่ออยู่ในร่างของนางเช่นนี้ เจ้าก็ต้องอยู่กับข้าจนกว่าจะตายจากกัน” เมื่อกล่าวจบเขารั้งคอของนางไว้แน่น
พร้อมทั้งก้มลงประกบปากจุมพิตนางทันที หลี่เฉียงไม่รู้ตัวว่าเขากำลังทำสิ่งใด เพียงแต่ไม่อยากให้นางพูดเรื่องหย่าอีก และเขาไม่ต้องการให้นางทิ้งเขาไปด้วย
เพราะความผิดหวัง ช้ำใจที่ถูกผู้เป็นบิดาทอดทิ้ง ทั้งยังโดนมารดาเลี้ยงที่ตนรักดั่งมารดาผู้ใดกำเนิดหักหลัง เขาจึงไม่ต้องการให้หว่านหนิงที่เป็นภรรยาของตนทิ้งเขาไปด้วยอีกคน
หว่านหนิงตกใจกับสิ่งที่หลี่เฉียงทำไม่น้อย นางจะร้องประท้วงแต่ก็ถูกเรียวลิ้นของเขาปิดกั้นเสียงของนางไว้เสียก่อน
กลิ่นสุราและรสสุรายังไม่จางหายไปจากปากของหลี่เฉียง ยามที่เรียวลิ้นของเขาตวัดเกี่ยวพันลิ้นของนาง หว่านหนิงก็แทบจะมัวเมาไปด้วยรสของสุราทันที
ยามที่นางได้สติ หว่านหนิงจึงกัดไปที่ริมฝีปากของเขาอย่างแรง จนหลี่เฉียงจำต้องปล่อยตัวนางให้เป็นอิสระ
ฉาด เสียงฝ่ามือตบลงบนหน้าของหลี่เฉียง “ทะ ท่านมันสารเลว” หว่านหนิงร่ำไห้ออกมาอย่างปวดใจ
นางต้องมาพบเจอเรื่องเลวร้ายถึงเพียงนี้เลยรึ เหตุใดวิญญาณของนางที่สมควรจะต้องไปดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง ถึงต้องมารับกรรมในภพนี้กับหลี่เฉียงด้วย
หลี่เฉียงตกใจไม่น้อยที่หว่านหนิงนางร่ำไห้ออกมาเสียงดัง เมื่อวานที่เขาเห็นน้ำตาของนางถึงสองครั้ง เสียงร้องไห้ของนางแทบจะไม่มีหลุดออกมาให้ได้ยิน
“หนิงหนิง หนิงหนิง ข้าขอโทษ” เขาเดินเข้ามาหานางด้วยท่าทางที่กระวนกระวาย
“อย่าเข้าใกล้ข้า ข้าเกลียดท่าน เกลียดทุกสิ่งที่นี่ สวรรค์ ทำไมท่านไม่ปล่อยให้ข้าตายไปเสีย พาข้ามาที่นี่ทำไม” นางทรุดตัวลงร้องไห้กับพื้นอย่างน่าสงสาร
หลี่เฉียงเขาถึงได้ตระหนักว่าสิ่งที่เขาทำมันน่าละอายสิ้นดี ยิ่งได้ฟังคำพูดที่ตัดพ้อชะตาของนางเขาก็ยิ่งเสียใจ
“หนิงหนิง ข้าขอโทษ ต่อไปข้าจะไม่ทำเช่นนี้กับเจ้าอีกแล้วดีหรือไม่” เขาคุกเข่าลงข้างนาง แต่พอจะยื่นมือเขามาลูบหลังปลอบนาง นางก็สะบัดหนีอย่างรังเกียจ
“หลี่เฉียง ข้าพูดเรื่องจริง หากท่านยังไม่คิดจะปรับปรุงตัวก็ควรปล่อยข้าไป”
“ข้าจะปรับปรุงตัว เจ้าต้องการให้ข้าทำสิ่งใด เจ้าบอกข้ามาได้เลย” เขาพยายามจะจับมือของหว่านหนิงแต่นางก็ไม่ยินยอม
“เช่นนั้นท่านก็ออกไปหาของป่ามาให้ข้าทำอาหาร ต่อไปท่านต้องเลิกไปหอพนันและอย่าได้ดื่มสุราทุกวันเช่นเดิมอีก” หากมีเงินขึ้นมาเล็กน้อยค่อยมาคิดเรื่องปลูกข้าว ปลูกผัก เงินที่จะหาซื้อเมล็ดพันธุ์ยังไม่มีเลยสักเหรียญทองแดง
“ได้ ได้ ข้าล้วนฟังเจ้า” เพราะเขากลัวการถูกทิ้งให้อยู่ลำพังมิใช่น้อย
หลังจากงานเลี้ยงราชสมภพของฮ่องเต้ ก็ยังไม่มีคณะทูตคนใดที่คิดจะเดินกลับ ด้วยต้องการตัวของคนที่ทำชุดฉลองพระองค์ของฮ่องเต้และฮองเฮากลับแคว้นของตนไปด้วยความวุ่นวายด้านนอกนางมิได้รับรู้ ด้วยมีสัตว์เทพทั้งสี่ที่คอยจัดการพวกที่ลักลอบเข้ามาในจวนอยู่ตลอด บางคนเกือบจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ เพื่อต้องการเข้ามาชิงตัวหว่านหนิงนางกลับไปที่แคว้นของพวกเขาด้วยตอนนี้ทั่วถึงเมืองหลวงจึงได้รู้ว่าจวนตระกูลหลี่มิใช่สถานที่ ที่ผู้ใดจะเข้าไปวุ่นวายได้ง่ายๆ หากมีปัญญาที่จะเข้าไปก็ต้องลองดูว่าจะมีโอกาสได้กลับออกมาอีกหรือไม่ตัวองค์ชายสามจึงได้รู้ว่าเสือที่กุ้ยเฟยพูดถึงมิได้ไม่มีอยู่จริง มันมีอยู่ที่จวนตระกูลหลี่ เพราะเสี่ยวหู่เผยตัวตนของมันเข้าเสียแล้วหากวันใดที่จวนตระกูลหลี่เปิดประตูจวนทิ้งไว้ ชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาก็จะพบเสือโคร่งตัวใหญ่เดินอยู่ภายในจวนที่เสี่ยวหู่มันทำเช่นนี้เพื่อจัดการมิให้ผู้ใดเข้ามากวนนายหญิงยามที่นางตั้งครรภ์ใกล้คลอด ก่อนหน้านี้ที่มันเผยตัว ด้วยแคว้นต้าซ่งส่งคนมาลอบลักพาตัวหว่านหนิงคนขององค์ชายสามที่คุ้มกันห่างๆ อยู่รอบจวนเข้ามาช่วยเหลือไม่ทัน พอไปแจ้งองค์ชายสามก็เห็นเสี่ยวหู่กำลังตะปบใบห
ตระกูลซูเมื่อรู้ว่าหว่านหนิงนางกลับมาถึงเมืองหลวงก็รีบมาพบนางทันที พอได้เห็นว่านางไม่มีอันใดให้เป็นห่วง ทั้งยังไม่มีอาการแพ้ท้องให้ได้เห็น ต่างก็พากันกลับออกไป ปล่อยให้นางได้พักผ่อนฉลองพระองค์ที่หว่านหนิงนางทำขึ้นถวาย เป็นที่พอพระทัยของฮ่องเต้ยิ่งนัก จนประทานรางวัลมาให้นางถึงสองคันรถม้า ทั้งยังมีป้ายเชิดชูฝีมือปักผ้าของนางประทานมาให้อีกด้วยป้ายพระราชทานนี้ถูกติดไว้อยู่ที่หน้าจวน เคียงข้างป้ายจวนตระกูลหลี่อย่างยิ่งใหญ่ ราคาผ้าปักกั้นฉากสามผืนก่อนหน้านี้ที่นางทำขึ้น ถูกทาบทามขอซื้อสูงถึงผืนละห้าพันตำลึงทอง แต่ก็ไม่มีผู้ใดที่คิดจะขายออกไป ด้วยอยากจะเก็บไว้ให้บุตรหลานและอวดสายตาของผู้อื่นเสียมากกว่าเพราะการตั้งครรภ์ของนาง หว่านหนิงนางจึงไม่ได้ถูกผู้ใดรบกวนขอให้ปักผ้าให้อีก มีเพียงผืนที่นางรับบอกจ้าวซื่อ และชุดของตู้ลู่จื้อที่นางรับปากไว้แล้วเท่านั้นที่นางทำให้ของทั้งสองสิ่งต่างก็มอบให้พวกเขาก่อนที่นางจะเดินทางกลับเมืองหลวงแล้ว ตอนนี้นางจึงว่างงานเอาแต่กินนอนอยู่เพียงภายในจวนเท่านั้นเรื่องที่น่าแปลกอีกเรื่องเห็นจะเป็นต้นหม่อนที่โตวันโตคืนจนบ่าวในจวนต่างตกตะลึงทุกวัน ยิ่งได้เห็นเหล่าผี
ต่อไปนี้นางก็จะมีช่องเก็บของส่วนตัวเสียที ของมีค่าทั้งหมดหว่านหนิงนางนำมาใส่ลงไปด้านใน และผูกเก็บไว้ที่ข้างเอวของนางอย่างหวงแหน ยิ่งทำให้คอของเสี่ยวหู่ตั้งตรงมากกว่าเดิมเซียงเซียงกลับมาถึงเรือนก็นำผ้าหลายพับมามอบให้หว่านหนิง โดยผ้าทั้งหมดที่นางมอบให้ในครั้งนี้ เพื่อทำชุดและผ้าอ้อมให้บุตรของหว่านหนิงเท่านั้นส่วนเหมยลี่นางนำสุราแสงจันทร์ ที่ถูกนำออกมาแอบแสงจันทร์ในวันพระจันทร์เต็มดวงถึงหนึ่งร้อยครั้งด้วยกัน“นายหญิงสุราไหนี้ ท่านไว้ดื่มหลังจากที่ท่านคลอดบุตรแล้ว จะช่วยให้พลังหยินหยางในร่างกายท่านสมดุลเร็วขึ้น”หว่านหนิงนางมองสัตว์เทพทุกตัวของนางอย่างซาบซึ้ง ดวงตาของนางมีน้ำตาเอ่อคลอออกมา“ข้าไม่รู้จะขอบใจพวกเจ้าเช่นไร เพียงแค่มีพวกเจ้าอยู่ข้างกายจ้า ข้าก็นึกขอบคุณสวรรค์มาแล้ว” นางร่ำไห้ออกมาจนได้เสี่ยวหู่ซุกเข้าไปในอ้อมกอดของหว่านหนิงนางทันที ส่วนทั้งสามต่างเข้ามาคลอเคลียอยู่ที่แก้มของนางหลี่เฉียงที่เข้ามาเห็นภาพนี้พอดี ก็ยิ้มมองทั้งหมดอย่างภูมิใจ เรื่องดีที่สุดในชีวิตของเขาก็คงเห็นจะเป็นเรื่องนี้ที่มีหว่านหนิงและสัตว์เทพที่คอยช่วยเหลือ“ท่านพี่ ท่านดูนี่” หว่านหนิงนางนำของทั้งหมดออ
นับตั้งแต่ออกเดินทางจากเมืองหลวง ตัวหว่านหนิงนางก็แทบจะไม่ได้ปักผ้าสักเท่าไหร่ นางเอาแต่นอนพักอยู่ภายในรถม้า พอเข้าพักที่โรงเตี๊ยมนางก็เอาแต่นอน“นายท่าน นายหญิงกำลังตั้งครรภ์เจ้าค่ะ” ฮวาเตี๋ยนางร้องบอกหลี่เฉียง เมื่อนางลองบินเข้าไปใกล้ท้องของหว่านหนิงเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่นางคิดถูกต้อง“จะ เจ้า...เจ้าว่าอย่างไรนะ” หลี่เฉียงร้องออกมาอย่างตกใจจนเสี่ยวชิงที่เพิ่งนำม้าไปเก็บด้านหลังเรือน ต้องเดินเข้ามาดูว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เขาก็เห็นเพียงนายท่านพูดคุยอยู่กับความว่างเปล่าเท่านั้น โดยมีเสี่ยวหู่ยืนอยู่ด้านข้าง จะบอกว่าคุยกับแมวก็ดูจะประหลาดเกินไป“ข้าบอกว่า นายหญิงตั้งครรภ์เจ้าค่ะ ท่านควรไปเชิญหมอมาตรวจให้นางอีกครั้งเพื่อความ...อ้าว” ฮวาเตี๋ยนางยังพูดไม่จบหลี่เฉียงก็วิ่งเข้าไปในหมู่บ้านเสียแล้วโดยหลงลืมไปเลยว่ามีเสี่ยวชิงอยู่ จะใช้ให้เสี่ยวชิงไปตามก็ย่อมได้ พอออกจากเรือนก็พบป้าตู้ที่นางกำลังจะเดินมาดูว่าผู้ใดมาที่เรือนของหว่านหนิง“อ้าว อาเฉียงเจ้ากลับมาเมื่อใด แล้วอาหนิงเล่า” นางดึงรั้งหลี่เฉียงที่กำลังเร่งฝีเท้าเข้าไปในหมู่บ้านไว้“เพิ่งกลับมาขอรับ ท่านป้าข้าจะรีบไปตามหมอ ขอตัวก่อนขอรั
ยิ่งรู้ว่าหลี่เฉียงกับหว่านหนิงจะเดินทางกลับซานตง องค์ชายสามก็เสด็จมาพูดคุยเรื่องนี้ที่จวนตระกูลซูด้วยพระองค์เอง ยิ่งทำให้ผู้พบเห็นต่างตกตะลึงและยิ่งอยากจะสร้างความสัมพันธ์กับพวกเขามากกว่าเดิม“หากเจ้ากลับไปแล้วเปิ่นหวางจะหาสุราดื่มได้อย่างไร” ทุกวันนี้ก็แทบจะจิบวันละอึกอยู่แล้ว หากทั้งสองมิเดินทางกลับมาเมืองหลวงอีก มิต้องส่งคนไปรับสุราที่เมืองซานตงหรอกรึ“กระหม่อมเพียงกลับไปจัดการเรื่องที่เมืองซานตงและจะย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ” เรื่องนี้หลี่เฉียงพูดคุยกับหว่านหนิงนางแล้วหว่านหนิงนางก็อยากจะอยู่ใกล้บิดามารดา ตอนนี้ทั้งสองก็ให้พ่อบ้านเร่งหน้าจวนหลังใหม่ให้ทั้งคู่แล้ว เพราะหากยังอยู่ที่เรือนตระกูลซู หลี่เฉียงจะถูกผู้อื่นมองว่าเป็นเขยแต่งเข้า เรื่องนี้ไม่ดีสำหรับตัวเขาเลยสักนิดความจริงที่องค์ชายสามมาในวันนี้ก็อยากจะถามเรื่องที่เกิดขึ้นภายในวังเมื่อสองวันก่อนด้วย แต่เขาคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ จึงไม่ได้เอ่ยถามออกมาสองวันก่อนที่ตำหนักของกุ้ยเฟยเกิดเรื่องขึ้น เสียงกรีดร้องในยามค่ำคืนที่ดังไปทั่ววังหลัง ทำให้เกิดความโกลาหลอยู่ไม่น้อย ตอนที่ทหารเข้าไปภายในตำหนักก็ไม่พบสิ่งใดที่ผิดแปลก
กุ้ยเฟยยิ้มหวานมองฮองเฮาที่เดินเข้ามาอย่างรู้งาน ดวงตาของนางไม่ต่างจากฮองเฮาที่มองจ้องกันไปมาอย่างแข็งกร้าว“พี่สาว วันนี้ท่านลำบากเดินมาหาข้าถึงตำหนักได้เลยรึ” กุ้ยเฟยลุกขึ้นทำความเคารพก่อนจะยกที่นั่งประธานให้ฮองเฮาไปนั่งแทนตน“หึหึ เปิ่นกงเห็นว่ามีเรื่องน่าสนุกที่ตำหนักของเจ้า จึงได้เดินมาร่วมชมด้วย อ๊ะ...ฮูหยินหลี่เจ้ามาทำอันใดที่นี่” กุ้ยเฟยกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย การแสดงของฮองเฮาช่างน่าขันนัก“กุ้ยเฟยต้องการให้หม่อมฉันทำฉลองพระองค์ถวายสักสองสามชุด มิใช่ว่าหม่อมฉันจะไม่เต็มใจทำให้ เพียงแต่จำต้องเดินทางกลับไปซานตงก่อนเพคะ” หว่านหนิงได้ทีนางก็เอ่ยฟ้องเรื่องราวออกมาจนหมด“หึหึ ฮูหยินหลี่เจ้ามิต้องกังวลใจ น้องสาวข้านางรอได้ จริงหรือไม่” ฮองเฮาหันไปถามกุ้ยเฟย“จริงเพคะ” นางกัดฟันพูดออกมา ผู้ใดจะกล้าบอกว่าไม่จริงเล่า ยิ่งตอนนี้ฮองเฮาและบุตรของพระองค์กำลังได้รับความโปรดปรานอย่างหาที่สุดมิได้หากกุ้ยเฟยหาเรื่องฮองเฮาในยามนี้ไม่เท่ากับว่าโง่เขลาเกินไปหรอกรึ“เห็นหรือไม่ น้องสาวข้าช่างรู้ความนัก เจ้ากลับไปเตรียมตัวเถิด ไว้เดินทางเข้าเมืองหลวงเมื่อใด ค่อยเข้ามาพบกุ้ยเฟยก็ยังมิสาย”หว่านหนิงทำค