หว่านชิงมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิท “เรื่องแบบนี้...ไม่ใช่เรื่องที่จะพูดส่งๆ ได้ ข้าไม่มีหลักฐานและอาจไม่มีวันได้หลักฐานด้วยซ้ำ สิ่งที่ข้าทำได้ คือ...ให้ทุกอย่างมันจบลงก่อนที่คนร้ายตัวจริงจะร้อนใจ...แล้วลากคนบริสุทธิ์สักคนมารับผิดแทนคนร้ายตัวจริง ท่านเชื่อข้าเถอะ…หว่านชิงไม่มีทางโกหกอาจารย์หรอกน่า”คำพูดของหว่านชิง ทรงพลังนัก โม่ชิงเหยียนนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าช้าๆ“ข้า...ไม่ได้ไม่เชื่อเจ้า หรือคิดจะปฏิเสธ ข้าแค่ต้องรู้ให้แน่ใจก่อนก็เท่านั้น”หว่านชิงยิ้มออกมาอย่างดีใจ ยื่นจดหมายให้เขา“นี่คือสิ่งที่ท่านต้องเอาไปให้เสด็จพ่อในวันพรุ่งนี้ บอกพระองค์ว่า ข้ายืนยันจะขอไปศึกษาพระธรรมในวัด ทำใจให้สงบบ้างสักระยะ...ส่วนท่าน ก็ยืนยันแทนข้าด้วยว่า ข้าได้ยาดีจากท่าน จึงรอดมาได้และอาการดีขึ้นมาก จากนี้ไปข้าจะค่อยๆ แจ้งให้ท่านรู้ว่าจะทำอะไรบ้าง อาจารย์ไม่ต้องห่วงหว่านชิง เชื่อเถอะว่าหว่านชิงทำดีทีุ่ดแล้ว”“ได้ ข้าเชื่อเจ้า” โม่ชิงเหยียนไม่ลังเลที่จะตอบตกลงพลางถอนหายใจยาว“แต่ตอนนี้...อาจารย์ ท่านช่วยแนะนำข้าก่อน คนจะทำใจให้สงบคนจะออกบวช ควรต้องทำตัวยังไง ต้องโกนหัว ใส่ช
ณ ตำหนักเหนือเมฆา หว่านชิงเขียนจดหมายลงบนกระดาษเนื้อดีด้วยลายมืออ่อนหวานสง่างาม…อาจารย์ ข้ามีเรื่องจะขอร้องเป็นการส่วนตัว ให้ท่านมาเยือนที่ตำหนักเหนือเมฆาตอนเย็น…ก่อนจะพับมันอย่างประณีต“ซื่อซื่อ” “เจ้าค่ะองค์หญิง”“เอาจดหมายนี่ไปส่งให้ท่านราชครูโม่” ซื่อซื่อรับจดหมายไปอย่างนอบน้อม ก่อนก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว หว่านชิงจึงเขียนอีกฉบับ…สีหน้านิ่งแต่แววตาเต็มไปด้วยแผนการลึกล้ำยามเย็น “องค์หญิงใหญ่…”เสียงเรียกทุ้มขรึมดังขึ้น หว่านชิงหันไปเห็นโม่ชิงเหยียนยืนอยู่ตรงหน้า แต่งกายเรียบง่ายตามธรรมเนียมราชครู หว่านชิงพยักหน้าเบาๆ อีกคนกัลบทำท่าทีเหมือนว่ารู้สึกอึดอัดที่ต้องมาพบกับหว่านชิง“ซื่อซื่อ ออกไปรอด้านนอก ปิดประตูให้แน่นหนาด้วย” โม่ชิงเหยียนลอบกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ“เจ้าค่ะ”เมื่อประตูปิดลง เสียงจากภายนอกถูกกลบด้วยความเงียบอันหนักแน่นของตำหนักชั้นในโม่ชิงเหยียนขมวดคิ้วมองหว่านชิงบนแท่นนอน กลืนน้ำลายลงคอช้าๆ อีกครั้งมือเย็นเฉียบทั้งที่โม่ชิงเหยียนฝึกฝนเรื่องการวางตัวมาอย่างดี“องค์หญิง...ท่านเรียกข้ามาเช่นนี้ เพราะเหตุใด อีกทั้งท่านยังบาดเจ็บหนักอยู่…หรือว่ารู้สึกไม่ดีตรงไหน”หว่านชิงยิ้ม
ตำหนักเหนือเมฆา องค์หญิงรองเยี่ยนอิงก้าวเข้ามาข้างในทรุดกายลงนั่งหลังตรง สีหน้าพยายามเรียบสงบ แต่ในอกยังคงสะท้านเบาๆ เมื่อมองใบหน้าขาวเนียนซีดเซียวของพี่หญิงตนเอง“เจ้ามาพอดีข้ากำลังเหงาหลายวันมานี้เจ้าก็ไม่มาหยางหลินก็ไม่มาข้าเหงาเหลือเกิน น้องพี่มานี่เถอะมานั่งกินขนมด้วยกัน” หว่านชิงเรียกเยี่ยนอิงพร้อมกับไอถี่ๆ แสดงละครมายังไม่หายจากอาการบาดเจ็บจากพิษร้าย เยี่ยนอิงไม่กล้าลุกเพราะคิดว่าหว่านชิงองค์หญิงใหญ่ที่ร้ายกาจกำลังจะแก้แค้นด้วยขนมที่เคลือบยาพิษเช่นกัน“พี่หญิงท่านดีกับข้าเสียจริง”“หือว่าอย่างไรนะไม่ดีกับเจ้าแล้วดีกับใครเจ้าเป็นน้องของพี่นะเยี่ยนอิง เจ้ากับหยางหลินเป็นน้องที่ดีนี่” หว่านชิงยิ้มกว้าง เยียนอิงกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ“ท่านไม่โกรธข้าหรือ” หว่านชิงเลิกคิ้วทำตาโต“โกรธเจ้าเรื่องอะไรพี่ไม่เข้าใจ” เยี่ยนอิงทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้นเหมือนคนที่ตั้งใจมาสารภาพ“พี่หว่านชิง...ข้าไม่รู้เรื่องจริงๆ เจ้าค่ะ ข้าไม่เคยคิดร้ายต่อพี่หว่านชิงเลยนะ ข้าเพียงแค่...แค่อยากส่งขนมให้ท่านแม่ทัพและท่าน เพื่อขอบคุณเท่านั้น...ไม่เคยคิดว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้” มาเพื่อแก้ตัวสินะ เสียงของเยี่ยนอิงเบา
แต่ประตูบานด้านหน้าถูกผลักออกเบาๆ“พี่หญิง...ข้ามาเยี่ยม....” เสียงหวานนุ่มขององค์หญิงรองเยี่ยนอิงดังขึ้น พร้อมกับภาพของนางในชุดคลุมชมพูอ่อน มือหิ้วตะกร้าผลไม้สด ดูน่ารักอ่อนโยน บอกกับหยางหลินว่าไม่ควรมาแต่เยียนอิงกลับกลับคำมาด้วยตัวเอง แต่ดวงตากลมหวานกลับเบิกกว้าง เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ท่านแม่ทัพไป๋เหวินหลงอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งยืน เสื้อคลุมเปิดอ้าเผยแผงอกแข็งแรง ข้างตัวมีองค์หญิงใหญ่ที่กำลังจับคอเสื้อเขาไว้ ดวงตาเงยขึ้นสบตาเขา...ราวกับเวลาหยุดลงชั่วครู่“ขะ...ข้ามาผิดเวลาเสียแล้วหรือเปล่า...” เยี่ยนอิงพูดเสียงเบา ดวงตาวาวขึ้นเล็กน้อย เหลือบตามองไป๋เหวินหลงสายตาของเยียนอิงแวบหนึ่งคล้ายตัดพ้อ และเศร้าสร้อยหว่านชิงกะพริบตาแล้วคลี่ยิ้มอย่างเฉื่อยชา“อา...เจ้ามาได้ถูกเวลาพอดีเลยล่ะ ข้ากำลังให้เขาสอนวิธี...ป้อนยาแบบเร่งด่วนอยู่พอดี ไม่มีไม่มีอะไรเสียหน่อยอย่าคิดไปเองสิข้ากับท่านแม่ทัพ อ่า อะพอดียาหกรดเสื้อของท่านแม่ทัพ ขะขะข้าก็แค่จะถอดเสื้อให้เขาไม่ไม่ไม่ ข้าแค่จะช่วยเขาถอดเสื้อก็เท่านั้น ไม่ได้คิดจะทำอะไรกันเสียหน่อยฮ่าาาา”ไป๋เหวินหลงสะอึกเบาๆ รีบหันหลังรวบเสื้อคลุมกลับสวม ใบหน้าแดงเร
ม่านราตรีคลี่คลุมทั่วฟ้าดิน ลมกลางคืนพัดกรูแรงราวกับกระซิบความลับของใครบางคน พื้นหินเย็นเฉียบในป่าร้างนอกเมืองหลวง เงาสองเงาปรากฏท่ามกลางไอหมอกจางจางสองคนในเสื้อคลุมสีดำยาวยืนประจันหน้า หนึ่งในนั้นมีผ้าคลุมปิดครึ่งหน้าทิ้งไว้เพียงดวงตาคมกริบ อีกคนหนึ่งแม้ไร้ผ้าปิดบัง แต่สีหน้าก็เคร่งเครียดไม่ต่างกัน“เจ้าว่า...พิษนั้น...ถ้ากระอักเลือดสดออกมาแล้วไม่เกินสามชั่วยาม...ต้องตายแน่นอนใช่หรือไม่” เสียงทุ้มต่ำของหญิงที่ไร้ผ้าคลุมหน้าดังขึ้นแผ่วเบาหญิงอีกคนพยักหน้า สีหน้าแน่นิ่งราวรูปสลัก“แน่นอน พิษนั้นข้าเป็นคนปรุงเองกับมือ หากเลือดออกจากปากและจมูกพร้อมกัน แปลว่าพิษทะลวงหัวใจแล้ว...ยังไงก็ไม่รอด”“แต่ นาง ยังมีชีวิตอยู่” คนแรกพูดเสียงเย็นชาขึ้น ดวงตาวาววับจ้องอีกฝ่ายเขม็ง “หว่านชิง...นังองค์หญิงใหญ่นั่น ยังไม่ตาย!ยังมีชีวิตอยู่ทำตัวน่าสงสารไปวันๆ”อีกคนเงียบไปครู่หนึ่ง...ก่อนพูดเสียงขุ่น“ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่”“หรือไม่...ก็ นางมียาถอนพิษในครอบครอง”คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศมืดมนยิ่งขึ้น ราวเมฆดำบดบังดวงจันทร์ หญิงอีกคนในผ้าคลุมหน้าแค่นหัวเราะเย็น“นางอ่อนแอแค่ไหน ใครๆ ก็เห็นกันทั้งวัง แต่บางค
หน้าตำหนักกุ้ยเฟย ใต้เงาต้นหลิว แสงจันทร์เริ่มไล้ขอบฟ้าแม่ทัพไป๋เหวินหลงเอ่ยลากุ้ยเฟยหยุนชินด้วยมารยาทงามตามธรรมเนียม แต่ก่อนจะก้าวเท้าออกจากตำหนัก เขาเหลือบไปเห็นองค์ชายหยางหลินที่ยังยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง จึงเอ่ยเรียกเสียงนิ่งทุ้ม“องค์ชาย...ออกมาส่งข้าหน่อย”หยางหลินที่กำลังว้าวุ่นใจเงยหน้าขึ้นนิดหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับ แล้วรีบก้าวตามท่านอาแม่ทัพออกมาสองเงาเคลื่อนผ่านเรือนเงียบสงบ พอพ้นจากสายตาผู้คน แม่ทัพไป๋เหวินหลงจึงหยุดเท้าใต้ต้นหลิว แสงจันทร์สีเงินลูบผ่านไหล่เสื้อคลุม ดวงตาคมเข้มหันมามองหลานชายตรงหน้า“หลินเอ๋อร์”เสียงเรียกที่แฝงแววกังวลเอ่ยขึ้น“เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องที่องค์หญิงรองพูดกับเจ้า?”หยางหลินชะงัก ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะกัดริมฝีปาก “ท่านอา ข้า…ไม่รู้จะคิดอย่างไรเหมือนกัน”แม่ทัพยังคงนิ่ง ไม่เร่งเร้าหยางหลินเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาแฝงทั้งความสงสัยและกลัว“พี่เยี่ยนอิงบอกว่า…มีคนเริ่มพูดกันว่าข้าปอกสาลี่ให้องค์หญิงใหญ่ แล้วพี่หญิงกระอักเลือด...พวกเขาอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเพราะข้าได้”เสียงเขาแผ่วเบากล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด“นางยังพูดอีกว่า...เ