เมื่อสาวน้อยสกุลเฉินทั้งสามไปถึงโถงกลางก็พบว่าแขกที่มาไม่ได้มีแค่เพียงคนสกุลหยวนแต่กลับมีองค์รัชทายาทนั่งดื่มนำ้ชาด้วยท่าทีสงบนิ่งอีกฝั่งหนึ่งด้วย เฉินเจียวเจียวนิ่งงันไปครู่หนึ่งแต่เฉินเจียวเหม่ยกลับรีบรั้งนางให้ก้าวเท้าเข้าไปในห้องโถงพร้อมกัน
“ถวายพระพรองค์รัชทายาทเพคะ” ทั้งสามคารวะพร้อมกันอย่างงดงาม องค์รัชทายาทเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มออกมา
“พวกเจ้าไม่ต้องมากพิธี” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้พวกนางก็ก้มหน้าลงแล้วหันไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนและหยวนอี้ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ภาพสตรีรุ่นเยาว์ทั้งสามที่รู้มารยาทและงดงามสมวัยทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนอดยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจไม่ได้ ส่วนหยวนอี้นั้นเขาไม่กล้ามองสตรีทั้งสามเท่าใดนักไม่ว่าอย่างไรการเข้ามาในเรือนชั้นในของผู้อื่นเช่นนี้ก็ออกจะเป็นเรื่องที่ขัดต่อธรรมเนียมมากเกินพอแล้ว เพียงแต่เมื่อเด็กสาวทั้งสาวเดินไปนั่งลงข้างกายของผู้อาวุโสของตนเองแล้ว เขาก็อดจ้องมองไปทางข้างกายของฮูหยินสามของสกุลเฉินครู่หนึ่งไม่ได้
สีหน้าที่ทั้งขัดเขินและพึงพอใจของหยวนอี้ไม่ได้รอดพ้นไปจากการสังเกตของฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนและองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลง สองยายหลานหันไปสบตากันครู่หนึ่งแล้วฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนก็เอ่ยขึ้น
“ที่ข้าตั้งใจมาในวันนี้นอกจากตั้งใจจะมาขอขมาและแก้ไขความเข้าใจผิดแล้ว ข้ายังตั้งใจนำของขวัญมาขอบคุณคุณหนูทั้งสองอีกด้วย” เมื่อหยวนฮูหยินเอ่ยเช่นนี้สาวใช้ที่ยืนทางด้านหลังก็ถือถาดใส่กล่องของขวัญหลายกล่องไปวางลงตรงหน้าของเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวเหม่ย ส่วนเฉินเจียวมี่นั้นฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนถอดกำไลข้อมือที่สวมใส่อยู่สองวงวางลงไปบนถาดแล้วให้สาวใช้นำไปมอบให้
“นี่คือของขวัญแรกพบหน้าสำหรับคุณหนูสาม ด้วยก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ว่าที่จวนแห่งนี้ยังมีคุณหนูตัวน้อยที่งดงามอีกคนก็เลยไม่ได้เตรียมของขวัญมาให้เจ้า หวังว่าเจ้าจะไม่รังเกียจของขวัญชิ้นนี้นะ” ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนเอ่ยด้วยสีหน้ามีเมตตา
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ กำไลคู่นี้งดงามมากเจ้าค่ะ” เฉินเจียวมี่เอ่ยพลางหยิบกำไลขึ้นมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพลางเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ทำให้ฮูหยินสกุลหยวนอดชื่นชมจวนผิงกั๋วกงแห่งนี้ไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นจวนขุนนางบู๊และคนในจวนจะมีจำนวนน้อยแต่การอบรมเลี้ยงดูสตรีภายในจวนกลับเป็นไปอย่างเข้มงวด ไม่เสียทีที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสกุลใหญ่ควบคุมกองกำลังนับแสนนาย แม้แต่ฝ่าบาทยังต้องหวั่นเกรง
ที่น่าเสียดายก็คือพระสนมเต๋อเฟยทรงจัดการได้ไม่ดีปล่อยให้โซ่วอ๋องทำลายความสัมพันธ์กับคุณหนูใหญ่สกุลเฉิน ไม่เช่นนั้นยามนี้สกุลเฉินกับราชวงศ์น่าจะได้มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นต่อกันมากขึ้น นางคิดพลางหันไปมองหลานยายผู้สูงศักดิ์ของนางแล้วก็อดคาดหวังเรื่องการผูกวาสนาของหลานชายกับคุณหนูใหญ่สกุลเฉินไม่ได้
แม้ว่าจะแอบคาดหวังแต่นางกลับไม่กล้าคิดมากจนเกินไปกว่านั้น ไม่ว่าจะด้วยตำแหน่งหรือบาดแผลภายในใจของหลานชายล้วนไม่สามารถมอบความสงบสุขให้แก่คู่ครองได้เป็นแน่ นางก็ไม่อาจจะเห็นแก่ตัวด้วยการดึงแม่นางน้อยที่ทั้งจิตใจดีและมีน่ารักสดใสเช่นนี้ไปผูกมัดกับหลานชายผู้นี้ได้ ที่สำคัญนางเป็นเพียงท่านยายของเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะไปจัดการเรื่องแต่งงานของเขาได้อยู่แล้ว
หยวนฮูหยินนั่งพูดคุยกับคนสกุลเฉินด้วยน้ำเสียงสุภาพและเป็นกันเองอยู่ชั่วระยะหนึ่ง โดยมีหลานยายและหลานย่าทั้งสองนั่งฟังอยู่ด้วยความสุภาพเรียบร้อย เฉินเจียวเจียวไม่เคยเห็นหลี่ไท่หลงมีสีหน้าอ่อนโยนและสงบนิ่งเช่นนี้มากก่อนเลย รอยยิ้มที่ส่งออกมาก็ล้วนมาจากข้างในไม่เสแสร้งและไม่มีร่องรอยเย้ยหยันผู้ใด ซึ่งอันที่จริงเขาที่เป็นเช่นนี้สามารถลดทอนรัศมีความน่ากลัวและความสูงศักดิ์ที่วนเวียนอยู่รอบกายลงไปได้ไม่น้อย
“นี่ก็สมควรแก่เวลาแล้วพวกข้าต้องขอตัวก่อน ขอบคุณท่านมากที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี” ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเฉินด้วยสีหน้านอบน้อม
“ย่อมต้องต้อนรับเป็นอย่างดี อีกไม่นานพวกเราสองสกุลก็จะเกี่ยวดองกันแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยออกไปตามตรงส่วนสองหนุ่มสาวที่ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถึงนั้นต่างฝ่ายก็ต่างก้มหน้าลงเพื่อปิดบังความขัดเขิน จวบจนส่งแขกไปแล้วฮูหยินผู้เฒ่าจึงได้หันมาเอ่ยกับหลานสาวคนรองด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
“เดิมทีข้าก็อดกังวลใจเรื่องคู่ครองของเจ้าไม่ได้ แต่ยามนี้ข้ารู้สึกวางใจแล้ว คุณชายหยวนแม้ว่าจะดูอ่อนแอไปบ้างแต่ก็ดูเหมาะสมกับคนห้าวหาญดุดันเช่นเจ้า วาสนาคู่ครองนี้เจ้าเป็นคนลงมือผูกด้วยตนเองข้าก็ได้แต่หวังว่าเจ้าจะดูแลประคับประคองไปจนตลอดรอดฝั่ง”
“ท่านย่าวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะทะนุถนอมเขาประดุจไข่ในหินไม่ทำเขาตื่นตระหนกจนต้องหนีการแต่งงานไปอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” เฉินเจียวเหม่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงยั่วเย้าจนถูกฮูหยินผู้เฒ่าเคาะศีรษะไปหนึ่งที นางจึงได้โอดครวญเสียงเบา
“ข้าก็แค่ล้อเล่นเพียงเท่านั้น ท่านย่าวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้าไม่ทำให้เสียชื่อบุตรสาวจากสกุลเฉินหรอกเจ้าค่ะ” เมื่อเฉินเจียวเหม่ยเอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็หัวเราะออกมาเสียงเบา ทำให้คนที่นั่งอยู่บริเวณนั้นพลอยหัวเราะตามนางไปด้วย เฉินเจียวเจียวจ้องมองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขของทุกคนแล้วก็ยิ้มออกมา นางได้แต่หวังว่ารอยยิ้มเช่นนี้จะยังอยู่เคียงคู่จวนผิงกั๋วกงแห่งนี้ตลอดไป
ยามค่ำหลังจากที่กินอาหารมื้อค่ำกับครอบครัวแล้วเฉินเจียวเจียวก็เดินเล่นอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงคิดได้ว่านางไม่ได้เขียนจดหมายไปหาบิดาและพี่ชายมานานแล้ว ทุกคนต่างตกลงกันว่าเรื่องการหมั้นหมายที่ยกเลิกไปแล้วของนางจะยังไม่ส่งข่าวไปที่ชายแดน ด้วยเกรงว่าผิงกั๋วกงผู้เป็นบิดาของนางจะโมโหจนรีบกลับมาเมืองหลวงเมื่อถึงยามนั้นคงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ นางจึงไม่ได้เขียนจดหมายไปถึงพวกเขา
แต่ยามนี้เมื่อเฉินเจียวเหม่ยมีสัญญาหมั้นหมายแล้วทั้งอาสะใภ้สามและท่านย่าขอนางจะต้องส่งจดหมายไปเล่าเรื่องคู่หมั้นของเฉินเจียวเหม่ยเป็นแน่ หากมีจดหมายจากคนอื่นภายในจวนส่งไปแต่ยังคงไม่มีจดหมายจากนางทั้งบิดาและพี่ชายจะต้องรู้สึกว้าวุ่นใจเป็นแน่ นางจึงได้รีบกลับเรือนแล้วลงมือเขียนจดหมายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม แน่นอนว่าสิ่งที่นางเขียนมีเพียงการไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ และเล่าเรื่องราวภายในจวนอย่างคร่าวๆ เพียงแต่เรื่องที่นางยกเลิกการหมั้นหมายกับโซ่วอ๋องแล้วนางจงใจไม่เอ่ยถึงและคิดว่าท่านย่าและอาสะใภ้สามของนางก็ไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องนี้เช่นกันเมื่อเขียนจบแล้วจึงได้คิดถึงเฉียวซื่อผู้เป็นมารดาเลี้ยงนางจึงได้ถือจดหมายของตนเองเดินไปที่เรือนของเฉียวซื่อ
“ท่านแม่เจ้าคะ ข้าจะส่งจดหมายไปหาท่านพ่อและพี่ใหญ่ ท่านเองก็เขียนถึงท่านพ่อสักฉบับสิเจ้าคะ” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉียวซื่อก็ขมวดคิ้ว
“นี่เจ้ามาหาแม่ยามดึกเช่นนี้ก็แค่เพียงอยากให้แม่เขียนจดหมายไปหาท่านพ่อของเจ้านี่นะ” เมื่อเฉียวซื่อเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“ไม่ว่าอย่างไรยามนี้ก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว ส่งจดหมายบอกเล่าเรื่องราวและถามข่าวคราวกันเสียหน่อยย่อมจะต้องสามารถสร้างความรู้สึกดีๆ ต่อกันได้แน่ เมื่อท่านพ่อกลับมาข้าจะได้มีความหวังเรื่องน้องชายกับเขาได้บ้าง” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉียวซื่อก็พลันขัดเขินจนอดดุลูกเลี้ยงไม่ได้
“เจ้านี่นะ ช่างเถิดๆ เช่นนั้นแม่จะเขียนจดหมายสักฉบับก็แล้วกัน” เฉียวซื่อเอ่ยพลางชักชวนเฉินเจียวเจียวเข้าไปนั่งเล่นในห้องหนังสือด้วยกัน
เฉียวซื่อใช้เวลาเขียนจดหมายเพียงครู่เดียวก็เสร็จแล้วหลังจากนั้นพวกนางสองแม่ลูกก็นั่งดื่มชาผลไม้และพูดคุยกันต่อ แน่นอนว่าทั้งในเนื้อหาจดหมายและบทสนทนาที่นางเอ่ยกับลูกเลี้ยงนั้นนางไม่เอ่ยถึงเรื่องการหมั้นหมายที่ถูกยกเลิกไปเลยสักคำ ยิ่งวันนี้ได้เห็นว่าเฉินเจียวเหม่ยกำลังจะได้หมั้นหมายกับบุรุษที่น่าจะเป็นคู่ครองที่ดีนางก็อดรู้สึกปวดใจแทนลูกเลี้ยงของตนไม่ได้
ในใจของนางก็ได้แต่คิดอย่างแค้นเคืองว่าในเมื่อโซ่วอ๋องไม่เห็นว่าลูกเลี้ยงของนางดีพอ นางก็จะทำให้เขารู้ว่าเด็กสาวที่นางเลี้ยงดูผู้นี้คือสตรีที่ล้ำค่ามากที่สุดที่ต่อให้วันหน้าเขาอยากจะคว้าก็ไม่มีหนทางที่จะคว้าได้อีกแล้ว
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ