공유

บทที่ 3

ในจังหวะที่หนิงอันกำลังมองพิจารณาเด็กหนุ่มทั้งสองอยู่ “คุณหนู นายท่านเรียกหาเจ้าค่ะ” เด็กหญิงรับใช้วัยสิบสามปีกระซิบข้างหูผู้เป็นนายเสียงเบาเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูเรือน

หนิงอันพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหันหน้าไปสั่งพ่อบ้านวัยกลางคนอย่างสุภาพ “ท่านพ่อบ้านรุ่ยรถม้าทั้งสามคันในช่องลับให้แบ่งสิ่งของที่ข้าจัดเรียงไว้ใส่ลงไปเท่า ๆ กัน เรื่องนี้ท่านต้องเป็นผู้ตรวจสอบอย่าให้ตกหล่นนะเจ้าคะ”

“ข้าน้อยทราบแล้วขอรับ” พ่อบ้านวัยกลางคนรับคำ เนื่องจากเขารู้ดีว่าสิ่งที่คุณหนูจัดเตรียมไว้นั้นมีอะไรบ้าง

ของมีค่ามีอยู่ไม่มากหากเทียบกับหมึก กระดาษ ตำราของนายท่านที่ล้วนเป็นของมีค่าสำหรับบัณฑิต

ย้อนกลับไปในขณะที่หนิงอันปรึกษาคนในครอบครัวในการจัดเก็บข้าวของ

“ท่านแม่เจ้าคะ บ้านเรามีบ่าวรับใช้กี่คน มีทรัพย์สินอยู่เท่าไหร่” เด็กหญิงกางกระดาษเตรียมหมึกพู่กันเพื่อจดอย่างตั้งใจ

“มีบ่าวรับใช้ก็พ่อบ้านรุ่ย กวนมามา ไป๋หลาน มู่ตาน ป้าป๋าย ลุงย่วน ย่วนเฉา จวนเรามีคนเพียงเท่านี้แหละจ้ะ ส่วนทรัพย์สินนั้นก็มีไม่มาก

เจ้าก็น่าจะรู้ดีว่าพ่อของเจ้านั้นเป็นคนเช่นไร” หญิงสาวตอบลูกน้อยตามตรง แม้ว่าจะแปลกใจแต่นางเพียงแค่คิดว่าลูกน้อยอาจจะได้รับคำสั่งมาจากพ่อสามีจึงได้ถามเรื่องราวเหล่านี้

หลังจากหนิงอันได้ฟังนางก็ได้แต่ทอดถอนใจ ‘จะโทษใครได้ล่ะ เป็นเพราะข้านี่แหละที่เขียนให้ครอบครัวแม้จะเป็นขุนนางขั้นสองก็ยังยากจน

เพราะชายหนุ่มผู้เป็นพ่อนั้นยึดมั่นคุณธรรมเป็นหลัก แม้ได้ของพระราชทานมาก็ไม่รับ ฉันแต่งให้เขาเป็นคนดีเกินไปทำไมฟะ’ หนิงอันเอามือขยี้ผมยาวของตนที่มัดเอาไว้ลวก ๆ อย่างหงุดหงิด

“ลูกรัก ให้แม่มัดผมให้เจ้าใหม่เถอะ” ผู้เป็นแม่กล่าว หลังจากนั้นผมยาวของเด็กหญิงก็ได้เปลี่ยนเป็นทรงซาลาเปาคู่อย่างเรียบร้อย

กลับมายังสถาณการณ์ปัจจุบัน “เสี่ยวอัน การไปอยู่ชนบทอาจจะลำบากมาก พ่อต้องขอโทษลูกสำหรับเรื่องนี้ด้วย” หยูเจียงอุ้มเด็กหญิงขึ้นในอ้อมแขนกล่าวด้วยสีหน้ารู้สึกผิด

หนิงอันนำมือทั้งสองข้างของตนจับไปยังใบหน้าของบิดา “ท่านพ่อเจ้าคะ ในเมื่อเรายังมีสมอง สองมือ สองเท้า ดังนั้นไม่มีที่ใดลำบากหรอกเจ้าค่ะ” เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวปลอบ

“สมองอันใดของเจ้าอย่างนั้นเหรอ แล้วเจ้าไปเอาคำนี้มาจากไหน” ผู้เป็นบิดาย้อนถามสีหน้ามึนงง

“สมองคือตรงนี้เจ้าค่ะ ส่วนผู้ที่สอนลูกก็ท่านปู่อย่างไรเล่า ในความฝันท่านปู่สอนข้าเอาไว้หลายเรื่องเลยเอาไว้ข้าจะค่อย ๆ บอกท่านนะเจ้าคะ” อันอันตัวน้อยยกนิ้วชี้จิ้มมาที่หัวของตน จากนั้นนางก็กล่าวออกมาอย่างคล่องปาก

หยูเจียงผู้เป็นบัณฑิตอันดับหนึ่งมองใบหน้าเล็กของบุตรสาวที่กำลังพูดจ้อใบหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอย่างเอ็นดู

“เจ้าสองพ่อลูกจะสนทนากันอีกนานหรือไม่ พ่อบ้านรุ่ยมาบอกว่าขนสิ่งของขึ้นรถม้าเรียบร้อยแล้ว ส่วนบ่าวพวกนี้ก็ยินดีติดตามเราไปทั้งหมด มีกันแค่นี้แม่ก็เห็นด้วย

จะให้ทิ้งขว้างแม่ก็เศร้าใจ เจ้าคงไม่ว่ากระไรนะ” หญิงชราส่งเสียงบอกบุตรชาย ในขณะเดียวกันก็กล่าวถึงเรื่องของคนรับใช้ออกมาพร้อมกันด้วย

“แล้วแต่ท่านแม่เห็นควรเถอะขอรับ แต่การที่เรากลับไปอยู่ชนบทนั้นค่อนข้างกันดารยิ่ง พวกเจ้ารับได้อย่างนั้นหรือ” ประโยคแรกชายหนุ่มตอบแม่ผู้ชรา ประโยคหลังเขาหันไปกล่าวกับบ่าวรับใช้ที่กำลังนั่งคุกเข่าก้มหน้าอย่างจริงใจ

“พวกข้าน้อยยินดีขอรับ/เจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้ทั้งคนแก่และเด็กส่งเสียงตอบออกมาพร้อมกัน

เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเจ้านายเรือนนี้ต่างมีเมตตาไม่มีใครคิดดูถูกหรือรังแกพวกเขาเลยสักคน

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปด้วยกัน” หยูเจียงกล่าวออกมาอีกครั้งในขณะที่ยังอุ้มลูกสาวตัวน้อยอยู่

ดังนั้นการเดินทางกลับบ้านเดิมของท่านปู่จึงได้เริ่มต้นขึ้น บ้านชนบทหลังนั้นหนิงอันไม่ได้บรรยายอะไรไว้

เพราะเธอได้ให้คนครอบครัวนี้ประสบเหตุระหว่างทาง จากนั้นก็ไม่ได้กล่าวถึงอีกเลย

ในระหว่างการเดินทางเด็กหญิงตัวน้อยจึงได้มีใบหน้าซีดเผือด ‘ซวยแล้วอันอัน ต้องรีบหาวิธีเดี๋ยวนี้’

‘คิดสิคิดว่าจะทำยังไง ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ นึกว่าในตอนนั้นเราเขียนบรรยายฉากนี้ออกมายังไง’ “ใช่แล้ว!” อันอันเผลอตะโกนออกมาหลังจากคิดออก

“เกิดอะไรขึ้นหรือลูก” หยวนฟานยกมือตบอกเอ่ยถามบุตรสาวออกมาอย่างตกใจ

หนิงอันทำหน้าเหลอหลา “เมื่อชั่วครู่นี้จู่ ๆ เจ้าก็พูดโพล่งออกมาทำให้แม่ของเจ้าเอ่ยถามอย่างไรเล่า ย่าเองก็ว่าจะถามอยู่เหมือนกัน” ย่าผู้ชราอธิบายอย่างเนิบช้าให้หลานสาวเข้าใจ

หนิงอันจึงได้ส่งยิ้มแหยไปทางมารดากล่าวแก้ตัว “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ เพียงแต่ข้านึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้เพียงเท่านั้น”

“เรื่องอะไรอย่างนั้นเหรอ เจ้าถึงได้ตะโกนซะเสียงดังจนพ่อต้องขี่ม้าเข้ามาถามนี่แหละ” ชายหนุ่มผู้อยู่ในชุดเดินทางธรรมดาส่งเสียงถามผ่านทางหน้าต่างรถม้า

“ท่านพ่อมาก็ดีแล้วเจ้าค่ะ ข้ามีเรื่องจะปรึกษากับท่านอยู่พอดี” หนิงอันพูดขึ้นหลังจากเลิกผ้าม่านหน้าต่างของตัวรถ

สายลมปะทะเข้าใบหน้าทำให้รู้สึกชาแม้ม้าจะวิ่งไม่ได้เร็วมากนัก เนื่องจากต้องระวังครรภ์ของมารดาก็ตาม

“ตอนนี้เราอยู่ที่ไหนกันหรือเจ้าคะ ห่างจากศาลาเอ้อเทียนมากน้อยเพียงใด” เด็กหญิงเอ่ยถามออกไป ซึ่งคำพูดของเธอได้ทำให้หยูเจียงรู้สึกสงสัยไม่น้อย

“อีกหนึ่งร้อยลี้ ว่าแต่เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเราจะต้องผ่านจุดพักม้าตรงนั้น” พ่อของเด็กหญิงถามออกมาอย่างสงสัย

“ท่านปู่บอกมาเจ้าค่ะ และท่านยังบอกเรื่องสำคัญกับข้ามาด้วย พอถึงจุดพักม้าข้างหน้าข้าจะเล่าให้ท่านฟัง”คำตอบของบุตรสาวช่างเป็นไปตามที่เขาคาด

แต่ที่หยูเจียงไม่รู้ก็คือบิดาของตนมีเรื่องอะไรอีกนี่สิ “ท่านพ่อได้โปรดอย่านำเรื่องยุ่งยากมาให้ข้าเลยนะขอรับ” ชายหนุ่มพึมพำเสียงเบา

เมื่อถึงจุดพักม้าในช่วงเย็น ยงเผยกับศิษย์ทั้งสองรวมถึงบ่าวชายของครอบครัวหยูต่างเดินเข้าป่าข้างทางเพื่อไปหาฟืนมาก่อกองไฟสำหรับทำอาหาร

หนิงอันมองซ้ายมองขวาเธอจึงได้ใช้ขาสั้น ๆ ของตนเดินมาทางบิดาหนุ่มเพื่อบอกเรื่องสำคัญ

“ท่านพ่อเรื่องนี้สำคัญมากถึงขั้นคอขาดบาดตายเลยทีเดียวนะเจ้าคะ ท่านจงเร่งหาวิธีหลังจากฟังจบก็แล้วกัน” เด็กหญิงตัวเล็กป้องปากกระซิบกระซาบข้างหูบิดา

หยูเจียงเริ่มนั่งไม่ติดใบหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือดหลังฟังในสิ่งที่บุตรสาวตัวเล็กถ่ายทอดออกมา

“ปู่ของเจ้าบอกออกมาอย่างนี้จริงเหรอมันค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวนะ อีกอย่างพวกเราจำเป็นต้องเดินผ่านทางสายนั้นเสียด้วย” หยูเจียงไม่ใช่ไม่เชื่อแต่ทว่าในตอนนี้บ้านเมืองค่อนข้างสงบสุขเหตุใดจึงมีโจรภูเขาได้กัน

“ในตอนนั้นข้าเองก็กลัวมากเมื่อท่านปู่เอ่ยถึงเรื่องนี้เพราะขึ้นชื่อว่าโจรขนาดข้าอายุเท่านี้ยังรู้เลยว่าพวกเขาย่อมไม่ใช่คนดี ท่านรีบหาทางเถอะ” หนิงอันกล่าวเสียงสั่นน้ำตาคลอในขณะเดียวกันก็โถมตัวกอดบิดาแน่น

หยูเจียงกระชับร่างกายเล็กของบุตรสาวในอ้อมกอดกล่าวปลอบโยนแม้สีหน้าจะหนักใจ

ทว่าเขาจำต้องหาวิธีให้จงได้ อย่างน้อยหากเป็นตามที่ท่านพ่อว่ามาคนในขบวนคาราวานน่าจะเป็นผู้ช่วยที่ดี ตอนนี้ลูกเมียและบ่าวอีกหลายชีวิตต่างอยู่ในมือตน

ดังนั้นหลังจากกินอาหารมื้อเย็นเรียบร้อยชายหนุ่มจึงตัดสินใจเรียกพ่อบ้านรุ่ยมาปรึกษา

“เป็นเรื่องจริงหรือขอรับนายท่าน” รุ่ยเชากล่าวเสียงดังอย่างตกใจใบหน้าไม่ต่างจากผู้เป็นนายหลังจากได้ยินเรื่องนี้

“เจ้าคิดว่าท่านพ่อจะกล้าเอาเรื่องนี้มาล้อเล่นหรืออย่างไร” หยูเจียงถอนใจกล่าวอย่างเหนื่อยอ่อน

“ข้าว่าเรื่องนี้แค่เราสองคนไม่อาจทำได้แน่ กระนั้นข้าจึงคิดว่าไหน ๆ ท่านเผยก็ร่วมเดินทางมากับเราแล้วให้เขามาช่วยคิดอีกคนดีหรือไม่ขอรับ” พ่อบ้านวัยกลางคนออกความเห็น

ผู้เป็นนายนิ่งคิดอยู่สักพักจึงได้พยักหน้าลง จากนั้นเขาจึงเอ่ยปากบอกพ่อบ้านเสียงเบา

“ เอาเป็นว่าเจ้าไปบอกเขาเช่นนี้ก็แล้วกันว่าก่อนข้าลาออกจากราชสำนักได้รับคำเตือนมาจากมิตรสหายว่าบริเวณจุดพักม้าเอ้อเทียนนั้นเป็นที่อยู่ของโจรภูเขา

ซึ่งพวกเขากำลังคิดจะหาวิธีจัดการอยู่ ทว่าโจรเหล่านี้ไปมาว่องไวยิ่งจึงทำให้ยังไม่อาจสืบหาที่อยู่ได้อย่างแน่ชัด” หยูเจียงจำต้องกุเรื่องเช่นนี้ออกมาเพื่อปกป้องลูกสาว

‘เอาไว้เมื่อไหร่ที่ชายคนนั้นยินยอมพร้อมใจรับใช้บุตรตัวน้อยแต่โดยดีค่อยว่ากัน เพราะดูแล้วหน่วยก้านอีกทั้งน้ำมิตรก็จัดว่าน่าคบหาทีเดียว’ บัณฑิตหนุ่มคิด
이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   บทที่ 373

    ส่วนเด็กหญิงผู้ปลอมตัวเป็นเด็กชายก็ได้อาศัยจังหวะนี้ หนีออกไปจากกลุ่มของผู้คนอย่างว่องไว กระนั้นก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาคมดุจเหยี่ยวของคนผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในวัยสิบห้าปี กงล้อแห่งโชคชะตาของนาง ผู้ที่เคยลิขิตให้ผู้อื่นได้เริ่มต้นขึ้นกับตนบ้างแล้ว สองเท้าของคนตัวเล็กวิ่งไปทางซ้าย ทะลุซ

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   บทที่ 372

    เมื่อชายชราเห็นศิษย์คนโปรดถูกพี่ชายต่อว่าอย่างเย็นชา เขาจึงได้เอ่ยปากแทน เพื่ออธิบายให้คนผู้นี้ได้รับรู้ถึงเรื่องราวแต่หนหลังในโทษของเด็กหญิง “นางได้รับโทษแล้ว จากการฝ่าฝืนกฎของสวรรค์ นางจึงได้รับโทษลงทัณฑ์ด้วยการรับสายฟ้าเป็นจำนวนสามครั้ง ตอนนี้ร่างกายของนางกำลังจะสลาย อีกไม่นานดวงจิตขอ

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   บทที่ 371

    หลายปีผ่านไปหมิงหมิงผู้อยู่ในวัยชรา กำลังนอนอยู่บนเตียงโดยมีลูกหลานรายล้อม เสียงร้องไห้ของคนเหล่านั้นทำให้เจ้าตัวอดที่จะเอ่ยปากตำหนิออกมาไม่ได้ “ร้องทำไม ทุกชีวิตมีเกิดย่อมมีดับ เรื่องนี้ไม่มีใครหลีกหนีข้าเองก็เป็นเช่นเดียวกัน สำหรับตัวข้านั้นดีใจมากกว่าที่จะได้เดินทางไปพบกับพี่สาว” น้ำเ

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   บทที่ 370

    มู่เทาจึงได้นำเงินที่ตัวเองมีพาบุคคลที่ตนช่วยเอาไว้ไปรักษา จือฉีนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงหมอถึงสามวันเต็มอาการของเขาจึงได้ทุเลา และเมื่อรู้ว่าใครได้ช่วยเหลือตนเองเอาไว้ คนทั้งคู่ก็ทำความรู้จักและหลังจากทราบเรื่องราวของกันและกันต่างคนก็เห็นว่าชะตาชีวิตของพวกเขานั้นช่างอาภัพเหมือนกันไม่มีผิด

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   บทที่ 369

    ย้อนกลับไปยังครั้งอดีต ได้มีเด็กชายตัวน้อยในห่อผ้าเก่าสีซีดที่ไม่อาจทราบสีเดิมของมันได้ว่าเป็นสีอะไร ใบหน้าซีดเหลืองของเด็กคนนั้นพร้อมกับน้ำตาปริ่มบริเวณหางตา ทำให้ชายวัยกลางคนผู้มีสติไม่ค่อยสมประดีได้เกิดความรู้สึกสงสารหรืออาจจะสมเพชก็สุดจะทราบได้ เจ้าตัวจึงได้อุ้มเด็กน้อยขึ

  • ข้าเกิดใหม่เป็นคุณหนูตกอับตระกูลบัณฑิต   บทที่ 368

    “เรียนนายท่านผู้สูงส่ง เผื่อท่านลืมข้ามีหนังสือตัดขาดออกจากตระกูลอยู่ในมือ อีกทั้งข้าได้ละทิ้งแซ่ของท่านไปนานแล้วนับตั้งแต่วันที่ข้าออกจากจวนหลังนั้นชีวิตข้าก็ถือว่าได้ตายตกลงไปแล้ว คนที่ยืนอยู่ตรงนี้หาได้มีแซ่ใด ๆ และมีความเกี่ยวข้องกับท่านไม่ ข้าคงมีเพียงชื่อที่มารดาตั้งให้เพียงเท่านั้นลาก่อน” คำ

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status