“มันก็ไม่ใช่ฉี่เช่นนั้น มันออกมานิดเดียว ไม่ได้เปื้อนผ้าห่ม แต่ก็เปื้อนตามขาด้านใน จับต้องได้ เพราะมันเหนียวๆ ใสๆ” หลี่เฟิ่งเซียนหน้าทั้งร้อนทั้งแดง เรื่องน่าอายเช่นนี้นางไม่เคยพูดกับใคร แต่หากเป็นเช่นคืนนั้นอีก ตอนเขากำลังเข้าหอกับนาง นางไม่รู้ว่าจะรับมือเช่นไร สู้อับอายกับอาหงยังดีเสียกว่า อย่างน้อยนางข่มขู่อาหงได้
“หรือว่า..ที่จริงแล้วข้ากำลังป่วยอยู่” หลี่เฟิ่งเซียนพูดออกไปเมื่อคิดได้บางอย่าง นางเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา
“ห๊ะ! เอ่อ ไม่สิ ไม่ใช่ ให้ข้าถามก่อนเจ้าอย่าเพิ่งโวยวาย....ฉี่ที่เจ้าพูดนั้น มันใสๆ เหนียวเล็กน้อย และออกมาจากผลท้อของเจ้า เจ้า..เจ้าเคย..กับท่านเขยแล้วหรือ” อาหงพยายามสรรหาคำพูดที่ฟังแล้วไม่น่าเกลียดเกินไปมาถาม
“เคยอะไร ข้าไม่เคยสักครั้ง เราสองคนยังไม่เคยเข้าหอ หากเคยไปแล้วข้าจะมานั่งกลุ้มใจเช่นนี้หรือ” หลี่เฟิ่งเซียนตัดพ้อ
“เจ้าไม่เคยแล้วน้ำใสๆ นั่นจะออกมาได้อย่างไรกัน” อาหงขมวดคิ้วแน่น
“ก็นั่นสินะ ข้า ข้ากำลังป่วยใช่หรือไม่” หลี่เฟิ่งเซียนสลดยิ่งนัก
“แล้วน้ำนั่น ไหลมาตอนไหนหรือ” อาหงซักอย่างละเอียด
“ห๋า เอ่อ ก็ ..ก็หลังจากที่เขา ..เขา..เขากัด” หลี่เฟิ่งเซียนอธิบายไม่ถูก
“ห๊า” อาหงเอียงหัวไม่เข้าใจ
“ก็หลังจากที่เขา กอดอุ้มข้าไปนั่งบนตักเขาและกัดปากของข้า และ..และ...” หลี่เฟิ่งเซียนหน้าแดงจัด ยกมือขึ้นมาถูปลายหูไปมา ไม่แน่ใจว่าจะอธิบายความรู้สึกวันนั้นเช่นไรดี เพียงแค่นึกถึงก็รู้สึกราวกับมีหม้อต้มน้ำกำลังเดือดอยู่ในท้องน้อย
“อ๊ายยยยย ดีเช่นนั้นเลย แค่จูบเนี่ยนะ” อาหงร้องออกมา ยืนขึ้นทันที ยกสองมือขึ้นมาปิดแก้มราวกับกำลังเขินอาย
“อะไรคือดีเช่นนั้น” หลี่เฟิ่งเซียนตกใจกับท่าทางของอีกฝ่าย
“ก็จูบอย่างไรเล่า เจ้าหลั่งน้ำใสออกมาหลังจากพวกเจ้าจูบกัน ใช่หรือไม่” อาหงถาม นัยน์ตาเป็นประกายระยิบระยับ ราวกับกำลังได้รับรู้เรื่องราวสุดมหัศจรรย์เกินบรรยาย
“จะว่าอย่างนั้นก็ใช่..” หลี่เฟิ่งเซียนเอียงหัวทบทวนเรื่องราว
“ไม่ต้องกังวล หากเขารู้ว่าเขาเพียงจูบเจ้า ถึงกับทำให้เจ้าหลั่งน้ำใสออกมาได้ เขาคงดีใจจนบรรลุเป็นเซียนเดี๋ยวนั้น” อาหงพูดไป ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ล้อเลียนนางไปด้วย
“ข้าเห็นว่าท่านเขยของเจ้าหน้าตาซื่อๆ ไม่คิดว่าจะมีฝีมือปานนี้ เห็นทีครั้งหน้า ข้าต้องคารวะเขาเสียแล้ว ข้าเป็นคณิกามาหลายปี ยังไม่เคยพบผู้ใดทำให้ข้าหลั่งน้ำใสนี้ได้เลย” อาหงยังพูดต่อ
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าหมายความว่าอย่างไร แต่ห้ามพูดเรื่องนี้กับเขาเด็ดขาด” หลี่เฟิ่งเซียนพูด กำกระโปรงตัวเองไว้แน่น นางเริ่มไม่เข้าใจความเป็นไปที่อาหงพูดถึงตอนนี้แล้ว
“โธ่เอ๊ยเด็กโง่ เรื่องนี้ก็หมายความว่า เขาทำให้เจ้าพึงพอใจมาก ทำให้ร่างกายของเจ้าสุขสมถึงขั้นหลั่งน้ำพุแห่งความสุขออกมาอย่างไรเล่า” อาหงจีบปากจีบคอ
“อะ! อะไรนะ!!” ถึงคราวหลี่เฟิ่งเซียนยืนขึ้นตกใจบ้าง
“นี่เจ้า อยากจะอวดข้าหรือ” อาหงว่า
“ไม่ใช่เช่นนั้น จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ข้า..ข้าไม่รู้ ข้าต้องทำเช่นไร”
“บอกมู่เฉินของเจ้าไปเสียก็สิ้นเรื่อง”
“ห๊ะ!!!! เขาก็ยังไม่เคยเข้าหอนะ เขาจะรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร เจ้า เจ้าพูดอะไร” หลี่เฟิ่งเซียนตกตะลึง
“เขาเป็นท่านหมอ จะไม่รู้ได้หรือ”
หลี่เฟิ่งเซียนชะงักค้าง เช่นนั้นเขารู้ แต่ไม่บอกนางหรือ นางมีเรื่องให้ตกใจมากไป จึงนั่งลงและหายใจหอบเหนื่อย
“ข้าล้อเจ้าเล่น ท่าทางของเจ้าตลกดี ไม่ต้องบอกเขาก็ได้” อาหงหัวเราะท่าทางของคุณหนูใหญ่
อาหงยังคงสอนสั่งต่อไป ทั้งเรื่องกลิ่นที่เย้ายวน เรื่องเสื้อผ้า เรื่องความสะอาด หรือกระทั่งความสวยงามของผลท้อชมพู ต้องมีการตัดแต่ง หรือไม่ก็โกนทิ้งให้เหมือนของเด็กน้อยไปเลย
จากนั้นยังสอนเรื่องของท่าทางการร่วมรัก ว่ามีกี่แบบ ผู้ชายชอบส่วนไหนของร่างกายบ้าง หากไม่ต้องการให้เจ็บมากในการเข้าหอครั้งแรกควรทำเช่นไร ทำท่าทางอย่างไร อาหงยังบอกอีกว่าครั้งแรกอย่างไรก็เจ็บ แต่ต่อไปจะดีขึ้น กระทั่งการดูแลรักษาผลท้อให้หอมหวาน อาหารที่จะช่วยบำรุงร่างกายทั้งของฝ่ายชายฝ่ายหญิง คุณหนูใหญ่เรียนอย่างตั้งอกตั้งใจ
วันเวลาผ่านไปเนิ่นนาน กระทั่งผืนนภาสีดำปกคลุมแล้ว หลี่เฟิ่งเซียนก็ไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย สองสาวยังคงพูดคุยกันไม่จบสิ้น เดือดร้อนหยวนหยวนต้องเดินไปเตรียมขนมของว่างให้พวกนาง และคอยเดินจุดโคมตะเกียงให้ความสว่างไสว
ลู่มู่เฉินกลับมาวันนี้ไม่มีผู้ใดคอยเฝ้ารอเขา ถึงเขาจะรู้สึกแปลกๆ บ้าง แต่เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อวานที่เขาทิ้งให้นางอยู่คนเดียว หากนางจะโกรธเคืองจนวันนี้ไม่มารอรับเขาก็เป็นเรื่องปกติ
อย่างน้อยเมื่อลู่มู่เฉินกลับมาถึงในห้องนอน ข้าวของสัมภาระของเขายังไม่ถูกนำกลับมาวางที่เดิม ภรรยาของเขายังคงเก็บของพวกนั้นไว้ แม้เขาจะเดือดร้อนบ้างเล็กน้อยแต่ในหัวใจรู้สึกอบอุ่นที่นางยังไม่ตัดรอนเขามากถึงขั้นเอาข้าวของของเขามาทิ้งไว้หน้าเรือนพัก
ในห้องนอนว่างเปล่าของเขามีชุดใหม่ที่ทำจากผ้าฝ้ายอย่างดี เป็นของขวัญจากท่านย่า พ่อบ้านบอกเขาเมื่อครู่ก่อนที่เขาจะเข้ามาแล้ว ยังมีถุงเงินที่ใส่ก้อนเงินเอาไว้มากมาย
ใช่แล้วเขาไม่มีเงินติดตัวสักอีแปะ หลายเดือนมานี้ ตั้งแต่ที่เขาแต่งเข้าจวนแม่ทัพหลี่ เขาก็ไม่ต้องใช้เงิน กินอาหารมื้อใดหากไม่เก็บจากบัญชีของคุณหนูใหญ่ ก็มีพ่อบ้านคอยจ่ายให้ หรือไม่ก็มีคนคอยทำอาหารให้เขาเสมอ
ถึงเขาจะไม่ได้ซื้อสิ่งที่เขาอยากได้ แต่ของจำเป็นจำพวกยาสมุนไพร ขอเพียงเขาเอ่ยปาก ตอนอยู่ที่ชายแดนท่านแม่ทัพก็ซื้อให้ มาอยู่ที่นี่ท่านย่าก็เป็นผู้ซื้อให้ทั้งหมด เขารู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง เขาคิดหลายครั้งว่าจะทำอย่างไรถึงจะหาเงินเป็นของตัวเอง
ไม่นานมานี้เขาได้คุยเรื่องนี้กับท่านหมอหลวงอิ่น ท่านหมอแนะนำให้เขาไปสอบใบประกอบวิชาชีพหมอของเมืองหลวง และเปิดร้านของตัวเอง หรือไม่ก็สอบเข้าไปทำงานรับเงินเดือนกับท่านหมอหลวงอิ่น
ลู่มู่เฉินรู้ดีว่าสุขภาพของตัวเองเป็นอย่างไร เขาไม่มีเวลาทำเรื่องพวกนั้น เขาโยนเรื่องทุกข์ใจทิ้งออกไป เดินไปอาบน้ำล้างตัวและกลับมาเพื่อเข้านอนแต่เมื่อเขาเห็นเตียงหลังนั้นเข้ามาในม่านสายตา...
“ข้าเป็นผู้ชายเหตุใดจะมองไม่ออกว่าเขาหวั่นไหวกับท่านแทบแย่ แต่พยายามเก็บอาการ ข้าไม่รู้ว่าท่านกับเขาผิดใจอันใดกัน แต่ลองพูดคุยกับเขาตรงๆ เขาย่อมต้องเข้าใจท่านอยู่แล้ว” จ้าวเหลียงให้คำแนะนำหลี่เฟิ่งเซียนหัวใจระส่ำไม่เป็นจังหวะ นางทำเรื่องเลวร้ายไปมากมายเช่นนั้น ยังจะมีเรื่องเข้าใจผิดอันใดอีก แต่หากเป็นดั่งที่จ้าวเหลียงพูดจริง นางควรทำเช่นไรดี อยากลองพูดคุยจริงจังกับเขาสักครั้ง แต่ก็กลัวว่าหากเขาตอบว่าชื่นชอบหญิงในชุดขาวผู้นั้น นางควรทำอย่างไร แต่หากเขาชอบนางอย่างที่จ้าวเหลียงพูดจริงๆ และนางปล่อยไปเช่นนี้ ดีแล้วแน่หรือ“ข้าต้องไปก่อนนะ” พูดแล้วหลี่เฟิ่งเซียนก็เดินออกจากห้องพักของจ้าวเหลียงทันที อยากรีบไปหาสามีของตัวเองเพื่อพูดคุยให้รู้เรื่องนางไปรอเขาที่หน้าประตูจวน เพียงไม่นานก็เห็นรถม้ากำลังใกล้เข้ามา นางรอจนกระทั่งรถม้าจอด เขาเปิดประตูออกมา นางคล้ายว่าไม่ได้เห็นเขามาหลายวันมาก คิดถึงเขาจนอยากวิ่งเข้าไปกอด แต่นางไม่กล้าหลี่เฟิ่งเซียนพบว่าเขากำลังมองมาที่นางเช่นกัน คล้ายว่าเขาจะขมวดคิ้วและทำหน้าโกรธ จู่ๆ นางก็กลัวที่จะเข้าไปหาเขา จึงเลือกที่จะหนีออกมาอย่างรวดเร็วลู่มู่เฉินรู้สึกเจ็
หลี่เฟิ่งเซียนเดินออกไปจากห้องนานแล้ว แต่เขายังคงนั่งมองมือซ้ายของเขา เขาเริ่มรู้สึกเสียใจที่วันนั้นตัดสินใจหักมือข้างนั้น คิดอีกที หากเขาไม่ทำเช่นนั้นคงไม่สามารถรอดมามีความสุขเช่นนี้ได้ แต่ความสุขเช่นนี้ดีแน่แล้วหรือ เขาคิดกลับไปกลับมาอยู่เช่นนั้นทั้งคืน บ่าวชายที่มาช่วยเขาเช็ดตัว เขาก็จำหน้าไม่ได้หลังจากเรื่องวันนั้น หลี่เฟิ่งเซียนก็หลบหน้าเขา แต่มีหยวนหยวนส่งน้ำแกงปลาและน้ำแกงไก่มาให้เขาทุกเช้า เขาเองแม้จะเริ่มคิดถึงนางมากแต่ไม่กล้าไปหานางที่ห้อง เพราะความอับอายที่ลูกผู้ชายคนหนึ่งต้องถูกจู่โจมอย่างสิ้นท่า ไร้การต่อต้านแม้นางจะพูดว่านางเป็นคนผิด แต่เขารู้ดีว่าไม่ใช่ หากวันนั้นเขาไม่ยินยอมจริงๆ นางตัวเล็กเพียงนั้นจะถึงขั้นขืนใจเขาได้หรือ เขาประเมินความต้องการของเขาผิดไป ไม่นึกว่าจะต้องการนางมากถึงขั้นขาดสติ ปล่อยให้เรื่องราวเช่นนั้นเกิดขึ้นต่อมาลู่มู่เฉินยังได้ยินพ่อบ้านพูดว่านายหญิงผู้เฒ่าร้อนใจจนทำอะไรไม่ถูก เพราะจู่ๆ หลี่เฟิ่งเซียนก็กลับไปเที่ยวหอเข่อซินอีกแล้ว ท่านพ่อบ้านขอให้เขาช่วยพูดกับคุณหนูใหญ่ว่าไม่ควรไปเที่ยวสถานที่เช่นนั้นอีกเพราะนางแต่งงานแล้วแต่เมื่อเขาเดินไปถึงหน้า
หลี่เฟิ่งเซียนหันไปมองแท่งหยกที่นางกำไม่มิดนั้น กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ตัดสินใจยกก้นขึ้นและจับท่อนหยกร้อนของเขาถูไปมา ยามนี้ผลท้อของนางเต็มไปด้วยน้ำแห่งความสุขแล้ว‘เพียงลูบคลำเจ้านี่ ข้าก็สามารถหลั่งน้ำแห่งความสุขได้แล้วหรือ’ นางสงสัย จำได้อาหงบอกว่าเช่นนี้นางจะเจ็บน้อยลงลู่มู่เฉินรู้ทันทีว่านางคิดจะทำอะไร ถึงเขาจะอยากให้นางทำ และต้องการมากเพียงใด แต่มโนสำนึกของเขาและความตั้งใจของเขายังคงทำให้เขามีแรงจะดึงสติกลับมาได้“อย่า อย่าทำเช่นนี้” เขาขอร้องอย่างร้อนรน“เจ้าไม่อยากเสียใจภายหลังหรอกนะ เชื่อข้าเถิด เฟิ่งเอ๋อร์” เขาอ้อนวอนนาง แต่หลี่เฟิ่งเซียนใช้มือข้างหนึ่งยันเขาไว้ บังคับไม่ให้เขาลุกขึ้นหนีไปไหน มืออีกข้างของนางก็จับแท่งหยกร้อนนั่นถูไปมาที่ร่องกลีบดอกไม้ของนาง ก่อนที่นางจะออกแรงดันตัวเองลงไป หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกได้ถึงความดุดันของท่อนหยางร้อนลวกของเขาที่กำลังดุนดันเข้าไปในร่องกลีบดอกท้อ“พอแล้ว ขอร้อง อย่าทำเช่นนี้ อย่า” เสียงต่ำแหบพร่าของเขาขอร้องให้นางหยุด ในขณะที่อีกใจหนึ่งของเขากำลังรอให้นางดันตัวลงมากอดรัดเอ็นอุ่นนั้นไว้ เพียงแค่นางถูไถโลมเล้าเคล้าคลึงไปมา ความนุ่มลื่
เขาพลิกตัวอยากจะกระโดดหนีลงไปด้านล่าง แต่เพียงแค่เขาเอียงตัวนางก็ใช้เท้าเล็กๆของนางเหยียบลงมาที่ไหล่ของเขา ดันให้เขาพลิกตัวประชันหน้ากับนางตรงๆ เขาอยากมีแรงมากกว่านี้เพื่อดันเท้านั้นให้หลุด น่าเสียดายที่วันนี้เขาอ่อนแอมากกว่าทุกที เขายังได้รับบาดเจ็บจากการทดลองยาอยู่ และภาพภรรยาตัวเปลือยเปล่า งดงามจนเขาตกตะลึง ลืมว่าต้องหนีสองมือถูกมัดไว้พ่ายหลัง ยิ่งดันให้ช่วงสะโพกแอ่นขึ้น ท่อนหยกร้อนของเขาชูชันแสดงตัวอย่างกับต้องการบอกให้นางรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร มันชูชันสูงใหญ่ดั่งเสาค้ำสวรรค์ก็ไม่ปาน หลี่เฟิ่งเซียนตาโต จ้องมองหัวใจสั่นไหว ลู่มู่เฉินงอขาและพยายามหนีบเจ้านั่นเอาไว้ แต่ยามนี้มันขยายใหญ่จนปิดไม่มิด ภาพที่นางอ้าขาเหยียบไหล่เขาเอาไว้ แม้งดงามจนเขาถอนสายตาไม่ได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาในฐานะบุรุษผู้หนึ่ง อย่างไรเขาก็ไม่อาจรับตัวเองได้ เขาอ้าปากเพื่อหายใจ หลับตาแน่นเพื่อลดทอนความอับอายในใจหลี่เฟิ่งเซียนมองดูเจ้าสิ่งนั้นแล้วตกใจไม่น้อย ในใจนางนึกถึงตอนเขาป่วยและนางเช็ดตัวให้เขา มันยังเล็กมากเท่านิ้วเท้าหัวแม่โป้ง แต่ยามนี้มันชูชันจนแทบจะใหญ่เท่าข้อมือของนาง! หลี่เฟิ่งเซียนเริ่มหายใจไม
แต่ครั้งเข้าไปในห้องของตัวเองและเห็นพวกรูปต่างๆ ที่อาหงวาดขึ้นเพื่อการเรียนรู้เหล่านั้น ในใจนางเกิดความรู้สึกหึงหวงอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมเข้าหอกับนาง เพราะหญิงแพศยานั่น!!...พวกเขาไปถึงไหนกันแล้ว!! มิน่าเขาถึงได้เชี่ยวชาญมาก เพียงจูบก็ทำให้นางสามารถหลั่งน้ำแห่งความสุขได้ เขาอาจจะเคยทำกับผู้อื่นมาก่อน เขาถึงทำเช่นนั้นได้อย่างเชี่ยวชาญ นางยอมไม่ได้ นางต้องรีบรวบหัวรวบหางเขา!! ทนรอให้เขายินยอมด้วยตัวเองไม่ได้แล้ว!!หลี่เฟิ่งเซียนวิ่งไปถึงหน้าห้องของเขา เห็นว่าด้านในยังมีแสงไฟอยู่ นางผลักประตูเข้าไปไม่บอกกล่าวไม่เคาะประตู“เจ้า เจ้าเข้ามาได้อย่างไร” ลู่มู่เฉินเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เขากำลังใส่เสื้อผ้า นางก็ผลีผลามเข้ามา เขาตกใจ รีบร้อนใส่เสื้อให้เรียบร้อย แต่เชือกผูกเอวอยู่บนโต๊ะ เขายืนอยู่ใกล้เตียงนอน จึงทำได้เพียงใช้มือจับสาบเสื้อคลุมตัวยาวเอาไว้หลี่เฟิ่งเซียนเห็นว่าเขายังแต่งตัวไม่เรียบร้อย แผนในใจของนางผุดขึ้นมาเป็นร้อยแผน คำพูดของอาหงดังก้องอยู่ในหู‘หากเจ้าทำให้เขาภูมิใจมากพอ เขาจะเอ็นดูเจ้ามากขึ้น’นางหันไปปิดประตูลงกลอน ยังเดินไปปิดหน้าต่างที่เขาแง้มเอาไว้รับลมด้วย“เจ้า เจ้า
เรื่องราวในคืนนั้น ความหอมหวานที่เขากอดกกนาง รสจูบ ความนุ่มนิ่มนุ่มนวล ทุกอย่างทำให้เขาไม่กล้าเดินไปที่เตียงนั่น แม้บนเตียงนั้นจะเปลี่ยนผ้าปูผ้าห่มใหม่ทั้งหมดแล้วก็ตาม เขายังคงรู้สึกว่ากลิ่นหอมหวานจากตัวนางยังคงติดอยู่ที่จมูก'ตัวเจ้าหอมมาก' คำพูดของหลี่เฟิ่งเซียนลอยมา นางเคยพูดชมเขาเช่นนั้นหลายครั้งแล้ว เขาไม่แน่ใจว่านางได้กลิ่นอันใดทั้งที่บนตัวเขามีแต่กลิ่นยา เขาเองก็อยากจะบอกกับนางว่า 'ตัวเจ้าหอมน่ากินมาก' เพราะบนตัวของนางมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายดอกไม้ผสมกลิ่นบางอย่างคล้ายหนิวหน่าย[1] ต้มผสมน้ำผึ้ง เป็นอาหารของชาวอิ่นตู้ที่เขาเคยได้ลิ้มลองเมื่อครั้งยังท่องเที่ยวไปทั่ว มันอร่อยและหอมติดจมูก ดังนั้นเมื่อเขาได้กลิ่นนี้จากตัวนาง เขาจึงรู้สึกน้ำลายสอ อยากจะกลืนกินครั้งแล้วครั้งเล่า เสียดายก็แต่เขาพูดออกไปเช่นนั้นไม่ได้ ในที่สุดลู่มู่เฉินก็ดึงผ้าห่มจากเตียงและลงไปนอนบนพื้นแทน เขาไม่รังเกียจที่จะนอนบนพื้นเพราะเขาเคยนอนในที่ที่ลำบากมากกว่านี้ พื้นแข็งๆที่ทำจากไม้ขัดมันอย่างดี ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการนอนหลับของเขาลู่มู่เฉินนอนหลับด้วยความยากเย็นเพราะมัวแต่คิดถึงนาง ในขณะที่หลี่เฟิ่งเซียนแทบ