เรื่องราวในคืนนั้น ความหอมหวานที่เขากอดกกนาง รสจูบ ความนุ่มนิ่มนุ่มนวล ทุกอย่างทำให้เขาไม่กล้าเดินไปที่เตียงนั่น แม้บนเตียงนั้นจะเปลี่ยนผ้าปูผ้าห่มใหม่ทั้งหมดแล้วก็ตาม เขายังคงรู้สึกว่ากลิ่นหอมหวานจากตัวนางยังคงติดอยู่ที่จมูก
'ตัวเจ้าหอมมาก' คำพูดของหลี่เฟิ่งเซียนลอยมา นางเคยพูดชมเขาเช่นนั้นหลายครั้งแล้ว เขาไม่แน่ใจว่านางได้กลิ่นอันใดทั้งที่บนตัวเขามีแต่กลิ่นยา เขาเองก็อยากจะบอกกับนางว่า
'ตัวเจ้าหอมน่ากินมาก'
เพราะบนตัวของนางมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายดอกไม้ผสมกลิ่นบางอย่างคล้ายหนิวหน่าย[1] ต้มผสมน้ำผึ้ง เป็นอาหารของชาวอิ่นตู้ที่เขาเคยได้ลิ้มลองเมื่อครั้งยังท่องเที่ยวไปทั่ว มันอร่อยและหอมติดจมูก ดังนั้นเมื่อเขาได้กลิ่นนี้จากตัวนาง เขาจึงรู้สึกน้ำลายสอ อยากจะกลืนกินครั้งแล้วครั้งเล่า เสียดายก็แต่เขาพูดออกไปเช่นนั้นไม่ได้
ในที่สุดลู่มู่เฉินก็ดึงผ้าห่มจากเตียงและลงไปนอนบนพื้นแทน เขาไม่รังเกียจที่จะนอนบนพื้นเพราะเขาเคยนอนในที่ที่ลำบากมากกว่านี้ พื้นแข็งๆที่ทำจากไม้ขัดมันอย่างดี ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการนอนหลับของเขา
ลู่มู่เฉินนอนหลับด้วยความยากเย็นเพราะมัวแต่คิดถึงนาง ในขณะที่หลี่เฟิ่งเซียนแทบไม่ได้นอนเพราะมัวแต่ศึกษาเรื่องเข้าหอร่วมรักเพื่อเอาใจเขา
วันต่อมาลู่มู่เฉินยังคงไปทำรักษาตัวแต่เช้าเช่นเดิม ในขณะที่อาหงยังคงตื่นไปฝึกมารยาทกับเหล่ามาม่าได้เป็นปกติ ไม่รู้ว่าอาหงใช้ชีวิตมาอย่างไรนางจึงหักห้ามตัวเองไม่ให้ขี้เกียจตื่นสายได้เช่นนั้น แต่หลี่เฟิ่งเซียนไม่ได้ตามไปดูสามีขึ้นรถม้าของสาวน้อยชุดขาว ไม่รู้ว่าอาหงตื่นไปเมื่อไหร่ เพราะนางแทบตื่นไม่ไหวจนกระทั่งเลยยามเว่ยไปแล้ว นางถึงตื่นขึ้นมาเรียกหายู่ยี่ ยู่ยี่เองก็ขี้เกียจพึ่งตื่นเช่นกัน เมื่อคืน นางก็ต้องนั่งรอจนสองสาวหลับคาโต๊ะนางถึงจะได้หลับ ช่างทรมานนางยิ่ง ตื่นมานางจึงบ่นคุณหนูใหญ่แทบจะตลอด
หลี่เฟิ่งเซียนตื่นมาด้วยความอ่อนเพลียและทรมาน นางนั่งกินข้าวไปด้วยก็ต้องฟังยู่ยี่บ่นไปด้วย นางพยายามไม่สนใจยกมือขึ้นเป็นเชิงไล่ แต่ยู่ยี่กลับยกอาหารที่เต็มไปด้วยยาบำรุงจานแล้วจานเล่าให้นาง อ้างว่าบำรุงนั่น บำรุงนี่ ต่อไปถึงเวลานอนคุณหนูใหญ่จะได้นอนหลับได้สบาย
กระทั่งฟ้ามืดอีกครั้ง เลยเข้าสู่ยามโหย่ว หลังจากไล่ยู่ยี่ให้ไปพักได้แล้ว หลี่เฟิ่งเซียนก็มานั่งหลบอยู่ชานเรือนแอบเฝ้ารอสามี เพราะคิดถึงเขาแต่ไม่กล้าไปรอที่ประตูหน้า นางเห็นพวกสาวใช้ต่างซุบซิบ ส่งเสียงวี้ดว้ายเบาๆกันอย่างสนุกสนาน และรีบวิ่งไปดูบางสิ่งอย่าง นางเกิดความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นจึงไปดูบ้าง
ที่หน้าประตูจวน รถม้าที่นางคุ้นเคยจอดรออยู่ด้านนอก แต่สาวน้อยในชุดขาวกำลังพยุงลู่มู่เฉินเข้ามาในจวน เข้าค้อมหลังคล้ายเดินตัวตรงไม่ได้ สาวน้อยผู้นั้นกระซิบบางอย่างที่ข้างหูของเขา ก่อนจะหันไปสั่งการพ่อบ้านจวนแม่ทัพอย่างสนิทสนม พูดไปชี้นิ้วไป พ่อบ้านก็ผงกหัวรับคำอย่างนอบน้อม
หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกโกรธอย่างไม่มีเหตุผล ไหน้ำส้มในใจนางถูกทุ่มแตกใบแล้วใบเล่า นางพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้วิ่งไปจิกหัวหญิงสาวผู้นั้น
“หลีกทาง” นางสั่งพวกสาวใช้ที่กำลังมุงดู
“ไม่มีสิ่งใดทำกันแล้วหรือถึงได้มาทำตัวเป็นสุนัขจับหนูอยู่ที่นี่” ฟังผิวเผินคล้ายหลี่เฟิ่งเซียนกำลังด่าเหล่าสาวใช้ แต่ในใจนางแล้วต้องการว่ากระทบหญิงแพศยาผู้นั้น
หลี่เฟิ่งเซียนเชิดหน้าขึ้น มองด้วยสายตาเรียบเฉยไปยังหญิงสาวชุดขาว
‘ภรรยาผู้อื่นยืนอยู่ตรงนี้ เจ้ายังประคองเขาราวกับไข่ในหิน ทั้งยังมาสั่งพ่อบ้านของจวนข้าราวกับสั่งคนในบ้านเจ้า เจ้าคิดจะเอาอย่างไร’ หลี่เฟิ่งเซียนก่นด่าในใจ ส่งสายตาไม่เป็นมิตร
อีกฝ่ายเมื่อเห็นหลี่เฟิ่งเซียนแล้วก็ใช่ว่าจะรู้สึกผิด แต่กลับจ้องตาหลี่เฟิ่งเซียนกลับไม่ได้หวาดกลัวนาง
“คงเป็นเจ้าสินะ คุณหนูใหญ่จวนแม่ทัพหลี่ผู้เลื่องลือ”
“ใช่ ข้าเอง เจ้าคือผู้ใด” หลี่เฟิ่งเซียนแทบจะกัดฟันตอบ
สาวน้อยในชุดขาวผลักลู่มู่เฉินจนเขาแทบล้ม ทั้งที่ก่อนหน้านั้นนางยังประคับประคองเขาอย่างดี โชคดีที่พ่อบ้านรีบไปรับตัวเขาเอาไว้ เขาจึงไม่ได้ล้มตรงนั้น แต่ลู่มู่เฉินก็เอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมมองสองสาว
หลี่เฟิ่งเซียนเห็นว่าอีกฝ่ายสูงไม่เท่านาง ทั้งที่หญิงแพศยานั่นเขย่งเท้าขึ้นมาเพื่อจ้องตานางแล้ว แต่นางยังต้องก้มหน้ามอง หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกชนะ ยิ้มมุมปากน้อยๆ หญิงสาวชุดขาวแสดงความไม่พอใจออกมาชัดเจน
“เฮอะ” สาวน้อยคนนั้นส่งเสียงอย่างโกรธเคือง สะบัดหน้าหนี และรีบเดินออกไปจากจวนทันที หลี่เฟิ่งเซียนเห็นว่าหญิงแพศยานั่นยังดุคนขับรถม้าของนางไปหลายคำด้วย
“เฮอะ” หลี่เฟิ่งเซียนจึงส่งเสียงตอบกลับไปเช่นนั้นด้วย แต่พอนางหันมา กลับเห็นว่าลู่มู่เฉินส่ายหัวเล็กน้อย ก่อนจะหันไปบอกเสียงเบาให้พ่อบ้านพาเขาไปพักได้แล้ว ปล่อยให้นางตกใจชะงักตัวแข็งอยู่ที่นั่นคนเดียว
นางไม่แน่ใจว่าตัวเองเดินไปถึงห้องของท่านย่าได้อย่างไร รู้แต่ว่าเมื่อไปถึงแล้วนางก็ปล่อยน้ำตาไหลร้องไห้โฮเรากับเด็กน้อย ท่านย่าถามอย่างไรนางก็ตอบไม่ได้ เอาแต่ร้องไห้พูดไม่รู้เรื่อง
สุดท้ายท่านย่าได้รับรู้เรื่องราวจากสาวใช้แทน ท่านย่าเห็นว่าเรื่องนี้หลานสาวตัวดีทำไม่ถูก อย่างไรผู้มาก็เป็นแขก ทั้งยังอุตส่าห์ใจดีมาส่งลู่มู่เฉินที่กำลังป่วยให้ด้วย การด่าเขาว่าเป็นสุนัขไล่จับหนูออกจะแรงเกินไป ท่านย่าจึงสั่งให้หลี่เฟิ่งเซียนไปขอโทษลู่มู่เฉิน
หลี่เฟิ่งเซียนคราแรกไม่เต็มใจอย่างยิ่ง ทั้งยังน้อยใจที่ท่านย่าไม่เข้าข้างนาง ใจหนึ่งก็กลัวว่าเขาอาจต่อว่านางเช่นเดียวกับท่านย่า เพราะมีความเป็นไปได้สูงมากที่เขาจะชอบพอกับสตรีในชุดขาวผู้นั้น ในเมื่อเขายิ้มให้นางตั้งหลายครั้งแล้ว หลี่เฟิ่งเซียนไม่อยากช้ำใจมากไปกว่านี้ นางจึงตั้งใจจะไม่ไปคุยกับลู่มู่เฉิน
[1] นมวัวสด
เรื่องราวในคืนนั้น ความหอมหวานที่เขากอดกกนาง รสจูบ ความนุ่มนิ่มนุ่มนวล ทุกอย่างทำให้เขาไม่กล้าเดินไปที่เตียงนั่น แม้บนเตียงนั้นจะเปลี่ยนผ้าปูผ้าห่มใหม่ทั้งหมดแล้วก็ตาม เขายังคงรู้สึกว่ากลิ่นหอมหวานจากตัวนางยังคงติดอยู่ที่จมูก'ตัวเจ้าหอมมาก' คำพูดของหลี่เฟิ่งเซียนลอยมา นางเคยพูดชมเขาเช่นนั้นหลายครั้งแล้ว เขาไม่แน่ใจว่านางได้กลิ่นอันใดทั้งที่บนตัวเขามีแต่กลิ่นยา เขาเองก็อยากจะบอกกับนางว่า 'ตัวเจ้าหอมน่ากินมาก' เพราะบนตัวของนางมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายดอกไม้ผสมกลิ่นบางอย่างคล้ายหนิวหน่าย[1] ต้มผสมน้ำผึ้ง เป็นอาหารของชาวอิ่นตู้ที่เขาเคยได้ลิ้มลองเมื่อครั้งยังท่องเที่ยวไปทั่ว มันอร่อยและหอมติดจมูก ดังนั้นเมื่อเขาได้กลิ่นนี้จากตัวนาง เขาจึงรู้สึกน้ำลายสอ อยากจะกลืนกินครั้งแล้วครั้งเล่า เสียดายก็แต่เขาพูดออกไปเช่นนั้นไม่ได้ ในที่สุดลู่มู่เฉินก็ดึงผ้าห่มจากเตียงและลงไปนอนบนพื้นแทน เขาไม่รังเกียจที่จะนอนบนพื้นเพราะเขาเคยนอนในที่ที่ลำบากมากกว่านี้ พื้นแข็งๆที่ทำจากไม้ขัดมันอย่างดี ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการนอนหลับของเขาลู่มู่เฉินนอนหลับด้วยความยากเย็นเพราะมัวแต่คิดถึงนาง ในขณะที่หลี่เฟิ่งเซียนแทบ
“มันก็ไม่ใช่ฉี่เช่นนั้น มันออกมานิดเดียว ไม่ได้เปื้อนผ้าห่ม แต่ก็เปื้อนตามขาด้านใน จับต้องได้ เพราะมันเหนียวๆ ใสๆ” หลี่เฟิ่งเซียนหน้าทั้งร้อนทั้งแดง เรื่องน่าอายเช่นนี้นางไม่เคยพูดกับใคร แต่หากเป็นเช่นคืนนั้นอีก ตอนเขากำลังเข้าหอกับนาง นางไม่รู้ว่าจะรับมือเช่นไร สู้อับอายกับอาหงยังดีเสียกว่า อย่างน้อยนางข่มขู่อาหงได้“หรือว่า..ที่จริงแล้วข้ากำลังป่วยอยู่” หลี่เฟิ่งเซียนพูดออกไปเมื่อคิดได้บางอย่าง นางเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา“ห๊ะ! เอ่อ ไม่สิ ไม่ใช่ ให้ข้าถามก่อนเจ้าอย่าเพิ่งโวยวาย....ฉี่ที่เจ้าพูดนั้น มันใสๆ เหนียวเล็กน้อย และออกมาจากผลท้อของเจ้า เจ้า..เจ้าเคย..กับท่านเขยแล้วหรือ” อาหงพยายามสรรหาคำพูดที่ฟังแล้วไม่น่าเกลียดเกินไปมาถาม“เคยอะไร ข้าไม่เคยสักครั้ง เราสองคนยังไม่เคยเข้าหอ หากเคยไปแล้วข้าจะมานั่งกลุ้มใจเช่นนี้หรือ” หลี่เฟิ่งเซียนตัดพ้อ“เจ้าไม่เคยแล้วน้ำใสๆ นั่นจะออกมาได้อย่างไรกัน” อาหงขมวดคิ้วแน่น“ก็นั่นสินะ ข้า ข้ากำลังป่วยใช่หรือไม่” หลี่เฟิ่งเซียนสลดยิ่งนัก“แล้วน้ำนั่น ไหลมาตอนไหนหรือ” อาหงซักอย่างละเอียด“ห๋า เอ่อ ก็ ..ก็หลังจากที่เขา ..เขา..เขากัด” หลี่เฟิ่งเซียนอธิบาย
เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเขาพูดครั้งเดียวยาวๆเช่นนี้ หลี่เฟิ่งเซียนพูดไม่ออกได้แต่นิ่งฟัง“ที่ท่านย่าไม่ชอบข้า นั่นก็เพราะนางรักเจ้ามาก อยากให้เจ้าได้แต่งงานกับผู้ที่จะดูแลเจ้าได้ ผู้ที่จะสามารถแบกตระกูลหลี่ไว้บนบ่า แต่เจ้ากลับคว้าเอาใครไม่รู้เช่นข้ามาแต่งงาน ทั้งอัปลักษณ์ ทั้งพิการ นางเพียงกลัวว่าภายภาคหน้าเจ้าจะลำบาก หากว่าท่านแม่ทัพไม่อยู่แล้ว” ลู่มู่เฉินเข้าใจความคิดของท่านย่าเป็นอย่างดี และไม่โทษผู้ใดที่เขามีชีวิตเช่นนี้ “แต่ว่า..เจ้าจะเจ็บมือหากอยู่ในที่เย็นๆ” นางยังคงเป็นห่วงเขา แม้จะเริ่มเข้าใจสิ่งที่เขาพูด“ไม่ต้องห่วง ข้ามีกล่องเข็มของเจ้าช่วยชีวิตแล้ว เวลาที่รู้สึกเจ็บ ข้าสามารถฝังเข็มที่มือบรรเทาความเจ็บได้” เขาตอบอย่างอ่อนโยน“เจ้า พูดจริงหรือ เจ้าย้ายไปอยู่ในห้องดีๆก็ได้ จวนของข้าสามารถดูแลเจ้าได้ ไม่จำเป็นต้องประหยัดเพียงนั้น เจ้า ..ข้าไม่ได้รังเกียจเจ้า” หลี่เฟิ่งเซียนยังดื้อดึง คำพูดท้ายๆนางไม่กล้าสบตาเขาเพราะความเขินอาย จึงก้มหน้าลงบิดมือไปมา“อย่าเหลวไหล ถึงจวนของเจ้าจะมีเงินมากมาย แต่ก็ต้องรู้จักรักษา และหามาเพิ่ม พรุ่งนี้เจ้าควรไปขอโทษท่านย่าด้วย เข้าใจหรือไม่” เข
“รีบลุกขึ้นมา เจ้าไม่สบายอยู่ เดี๋ยวจะอาการหนักกว่าเก่า” หลี่เฟิ่งเซียนเป็นห่วงสามี“อย่าเหลวไหล ท่านย่าทำโทษเจ้าอยู่ อย่างไรข้าย่อมต้องรับโทษแทนเจ้า เจ้าอย่าทำให้ท่านโกรธอีก” ลู่มู่เฉินดุนาง หลี่เฟิ่งเซียนก็เงียบตามเขาพูด นั่งลงข้างๆเขา“เจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้ มีข้ารับโทษแทนเจ้าแล้ว เมื่อวานเจ้าเหนื่อยทั้งคืน หากยังต้องมานั่งคุกเข่าตากอากาศเย็นตอนกลางคืน เจ้าจะไม่สบายได้” เขาพูดอย่างอ่อนโยนกับนางลู่มู่เฉินพูดถึงเรื่องที่นางชกต่อยจนชายชาตินักรบผู้หนึ่งอย่างจ้าวเหลียงต้องนอนรักษาตัวลุกไม่ขึ้น แต่หลี่เฟิ่งเซียนกลับนึกไปถึงเรื่องที่เขาทำให้นางอ่อนระทวยจนไม่มีแม้แต่แรงขยับตัว นางรู้สึกแก้มสองข้างร้อนๆ กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เพราะมืดแล้ว สาวใช้ที่ยืนรอบๆต่างไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของคุณหนูใหญ่ แต่ไม่ใช่ลู่มู่เฉิน เขารับรู้ถึงความเขินอายของนางได้ คราแรกเขาไม่แน่ใจว่าเหตุใดจู่ๆนางจึงเขินอาย แต่เมื่อนึกย้อนทบทวนคำพูดของตัวเองแล้ว เขารู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อยในความชวนให้เข้าใจผิดของคำพูดนั้น สองสามีภรรยาโง่งมต่างเขินอายโดยไม่มีผู้ใดรับรู้เพล้ง!! เสียงถ้วยกระเบื้องแตกดังออกมาจากเรือนของ
หลี่เฟิ่งเซียนรีบร้อนไปรับยู่ยี่กลับมา แต่พอไปถึงที่พักของคนใช้นอกจวน นางก็ได้รับรู้ว่ายู่ยี่ไม่ได้อยู่ในที่พักนี้ ยู่ยี่ถูกบังคับให้ไปเช่าบ้านอยู่ และวันนี้นางก็ต้องไปซักผ้าที่แม่น้ำ หลี่เฟิ่งเซียนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางยิ่งรู้สึกผิดต่อยู่ยี่ที่พามาลำบากอยู่ในเมืองหลวง หลี่เฟิ่งเซียนสัญญากับตัวเองว่าหากพานางมาได้แล้วจะดูแลนางให้ดีขึ้นเรื่องนี้ หรือเรื่องสามี ทั้งสองเรื่องผิดที่ตัวนาง นางเป็นคนพาพวกเขามาแต่ไม่ดูแลพวกเขา คิดว่าท่านย่ารักนางอย่างไรก็จะดูแลคนของนางให้ดี ที่ไหนได้ท่านย่ากลับเห็นคนไม่เท่ากัน บ่าวก็ยังเป็นบ่าว บ่าวก็ยังแบ่งกันเป็นหลายชั้น สูงต่ำกันไปตามมารยาทที่ได้รับฝึกสอนอีก ส่วนเขยของจวนแม่ทัพอย่างลู่มู่เฉิน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าท่านย่ารังเกียจเขาเพียงใด บังคับให้เขาอยู่ในห้องมืดๆ ผนังไม่ดี ลมเย็นพัดเข้ามาได้ตลอดคืน ผ้าห่มฟู่ปูนอนก็เป็นของเก่า ทั้งที่นางก็บอกไปแล้วว่าเขาป่วยอยู่ในห้องที่มีอากาศเย็นนานๆไม่ได้ นางไม่อาจไม่รับความผิดนี้ นางจะชดเชยให้พวกเขาหลี่เฟิ่งเซียนควบขี่ม้าไปรับยู่ยี่ที่แม่น้ำ ทันทีที่นางเห็นคุณหนูใหญ่ ยู่ยี่ก็ร้องไห้ออกมายกใหญ่ ทั้งด่าทั้งบ่นคุณหนูใหญ่
มือเย็นยะเยือกที่ไร้เนื้อหนัง บนหลังมือยังเต็มไปด้วยตุ่มใส เล็บยาวสีแดงน่ากลัว คืบคลานเข้าหาตัวนางทีละเล็กทีละน้อย มือข้างนั้นดึงเสื้อผ้าของนางขาดจนไม่เหลือชิ้นดี หลี่เฟิ่งเซียนตัวแข็งทื่อคล้ายโดนพิษขยับไม่ได้มือที่มีเพียงกระดูกนั้นผลักนางด้วยความแรงชนิดที่นางคิดไม่ถึง ตัวนางล้มลงไปบนกองฟางเปียกชื้น มันทั้งเหม็นทั้งคัน นอกจากกองฟางนั้นแล้วรอบๆ มีแต่สิ่งปฏิกูล นางร้องขอความช่วยเหลือแต่อ้าปากไม่ได้ ทั้งห้องอับชื้นมีเพียงแสงสว่างสายหนึ่งส่องเข้ามาจากด้านบนนางรู้สึกได้ถึงริมฝีปากที่งับเบาๆ แถวปลายคาง ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปตามผิวเนื้อวิ่งตรงไปที่ท้องน้อยของนาง ก่อนจะทำให้ผลท้อชมพูของนางสั่นระริกราวกับโดนไฟลวก สองมือที่มีแต่กระดูกตระกองกอดนาง บีบบังคับให้นางต้องแอ่นอกไปชิดโครงร่างผอมแห้ง ลิ้นชื้นแฉะเลียไปตามคอระหง วกกลับไปดูดริมฝีปากล่างของนางเบาๆ แต่นางยังรู้สึกเจ็บมากหลี่เฟิ่งเซียนกลัวจับใจ แต่ร่างนั้นยังคงกอดกัดนางต่อไป มันกัดริมฝีปากของนางจนเปื่อยก่อนจะผลักนางล้ม ฉีกกระชากตู้โตวของนาง ก่อนจะทาบทับลงไปบนหน้าอก นางรู้สึกถึงยอดถันชมพูที่กำลังเสียดสีกับโครงกระดูก ก่อนที่โครงกระดูกจะโน้มตัว