ณ เรือนจื่อเถิง อันเป็นที่พำนักของสองคุณชายน้อยและคุณหนูน้อยแห่งจวนแม่ทัพ บรรยากาศยามเช้าแตกต่างจากเรือนอวี้ฮั่นโดยสิ้นเชิง แม้จะสะอาดสะอ้าน แต่ก็ขาดความหรูหราและกลิ่นอายของความมั่งคั่งไปหลายส่วน ลานเล็กๆหน้าเรือนมีต้นจื่อเถิงเลื้อยพันซุ้มไม้อยู่ต้นหนึ่ง แม้ยังไม่ถึงฤดูผลิดอก แต่กิ่งก้านที่แผ่ขยายก็ให้ร่มเงาและความสงบอย่างประหลาด
จางมามา บ่าวอาวุโสผู้มีใบหน้าใจดีแต่แฝงแววเหนื่อยล้า กำลังจัดสำรับอาหารเช้าให้เด็กทั้งสองด้วยความเคยชิน โจ๊กขาวสองถ้วย หมั่นโถวสี่ลูก และผักดองหนึ่งจานเล็กเพียงเท่านั้น แต่แล้วนางก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นบ่าวจากครัวหลักสองนางยกถาดอาหารขนาดใหญ่ตามหลังชุนเถาเข้ามา
"นี่มัน..." จางมามาเบิกตากว้าง มองอาหารเลิศรสที่ถูกจัดวางลงบนโต๊ะแทนที่สำรับเดิม ซุปไก่ตุ๋นยาจีนส่งกลิ่นหอมกรุ่น ไข่ตุ๋นเนื้อเนียนสีเหลืองอ่อน ปลานึ่งซีอิ๊วหน้าตาน่าทาน อาหารเหล่านี้ ปกติแล้วมีแต่ท่านแม่ทัพและฮูหยินเท่านั้นที่จะได้ลิ้มรส
"ฮูหยินสั่งมาให้คุณชายน้อยกับคุณหนูน้อยเป็นพิเศษเจ้าค่ะ" ชุนเถากล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ พยายามเก็บซ่อนความประหลาดใจของตนเองไว้ "บอกว่าอากาศเริ่มเย็นแล้ว ให้บำรุงร่างกายเสียหน่อยเจ้าค่ะ"
จวินซิงเฉินซึ่งกำลังจะยกชามโจ๊กขึ้นซด ชะงักค้างไป เขามองอาหารตรงหน้าด้วยแววตาเคลือบแคลงสงสัย "ท่านแม่... น่ะหรือ?" น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่เชื่อถือ
จวินเสวี่ยอันมองซุปไก่ตาแป๋ว กลิ่นหอมยั่วน้ำลายทำให้ท้องน้อยๆของนางร้องประท้วง แต่เมื่อนึกถึงผู้ที่สั่งอาหารเหล่านี้มาให้ ความอยากอาหารก็พลันหดหายไป ถูกแทนที่ด้วยความหวาดระแวง นางขยับเข้าไปชิดพี่ชายมากขึ้น
จางมามาเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน นางมองชุนเถาอย่างลังเล "นายหญิง... ไม่ได้มีประสงค์อื่นแอบแฝงหรอกหรือ?"
ชุนเถาฝืนยิ้ม "มามากล่าวเกินไปแล้ว นายหญิงเพียงแต่เป็นห่วงสุขภาพของคุณชายน้อยกับคุณหนูน้อยเท่านั้นเจ้าค่ะ เชิญทานเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะเย็นเสียหมด"
แม้จะยังไม่คลายความสงสัย แต่เมื่อเห็นว่าเป็นคำสั่งของนายหญิง จางมามาก็ไม่กล้าขัด นางตักซุปไก่ขึ้นมาลองชิมอย่างระมัดระวัง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ จึงตักแบ่งให้เด็กทั้งสอง "ทานเถอะเจ้าค่ะ คุณชายน้อย คุณหนูน้อย ซุปนี้บำรุงร่างกายได้ดีนัก"
จวินซิงเฉินยังคงนิ่งเฉยอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยอมตักซุปเข้าปากอย่างช้าๆ รสชาติกลมกล่อมและความอุ่นร้อนที่แผ่ซ่านทำให้ร่างกายรู้สึกสบายขึ้นอย่างประหลาด ส่วนจวินเสวี่ยอัน เมื่อเห็นพี่ชายทานแล้ว นางจึงค่อยๆตักไข่ตุ๋นเนื้อเนียนเข้าปากเล็กๆ ดวงตากลมโตเหลือบมองอาหารอื่นๆ สลับกับมองหน้าพี่ชายและจางมามาเป็นระยะ
กลับมาที่เรือนอวี้ฮั่น เหออวี้หลันดื่มชาไปเพียงสองสามจิบ ความคิดก็วนเวียนอยู่กับเด็กทั้งสอง นางรู้ดีว่าเพียงแค่ส่งอาหารไป ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้มากนัก นางต้องไปเผชิญหน้ากับพวกเขาด้วยตนเอง แม้จะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยก็ตาม
จะรอช้าไม่ได้! ยิ่งปล่อยไว้นาน กำแพงในใจพวกเขาก็จะยิ่งสูงขึ้น
นางตัดสินใจแน่วแน่ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง "ชุนเถา"
"เจ้าคะ นายหญิง?"
"ไปเรือนจื่อเถิงกัน" น้ำเสียงของนางสงบนิ่ง แต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว
ชุนเถาผงะไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยทัดทาน ได้แต่ก้มหน้ารับคำ "เจ้าค่ะ"
เหออวี้หลันไม่ได้หยิบฉวยสิ่งใดติดมือไป นางรู้ว่าการนำของกำนัลไปในตอนนี้ อาจยิ่งทำให้เด็กๆรู้สึกว่านางกำลังพยายามซื้อใจ ซึ่งจะยิ่งสร้างความเคลือบแคลงใจมากขึ้น สิ่งที่นางต้องการแสดงออกคือความจริงใจ แม้มันจะต้องใช้เวลาพิสูจน์ก็ตาม
ขบวนของนายหญิงคนใหม่ของจวนแม่ทัพเคลื่อนตัวไปยังเรือนจื่อเถิงอย่างเงียบๆ บ่าวไพร่ที่เดินสวนทางมาต่างหลีกทางและก้มหน้าให้ด้วยความนอบน้อมระคนแปลกใจ ไม่มีใครคาดคิดว่านายหญิงผู้เอาแต่ใจและไม่เคยเหลียวแลบุตรเลี้ยง จะเดินทางมายังเรือนเล็กอันเงียบสงบแห่งนี้ด้วยตนเอง
เมื่อขบวนมาถึงหน้าเรือนจื่อเถิง จางมามาซึ่งกำลังเก็บถ้วยชามอยู่ก็รีบวิ่งออกมารับหน้าด้วยความตื่นตระหนก นางทรุดกายลงคำนับอย่างรวดเร็ว "คารวะฮูหยินเจ้าค่ะ! มิทราบว่าฮูหยินมาถึงนี่ มีสิ่งใดให้บ่าวรับใช้หรือเจ้าคะ?"
"ลุกขึ้นเถอะจางมามา" เหออวี้หลันกล่าวเสียงเรียบ "ข้าเพียงแวะมาดูว่าเด็กๆทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยดีหรือไม่"
นางก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปในเรือน สายตากวาดมองไปรอบๆอย่างรวดเร็ว ภายในเรือนแม้จะสะอาด แต่ก็ดูเรียบง่ายและค่อนข้างเก่าเมื่อเทียบกับเรือนหลักของนาง ไม่มีเครื่องประดับหรูหรา มีเพียงเครื่องเรือนเท่าที่จำเป็น
จวินซิงเฉินและจวินเสวี่ยอันกำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่าง จวินซิงเฉินดูเหมือนกำลังจะคัดตำรา ส่วนจวินเสวี่ยอันกำลังใช้เศษผ้าสีต่างๆร้อยเล่นอยู่ เมื่อเห็นนางเข้ามา สองพี่น้องก็ผุดลุกขึ้นยืนทันที จวินซิงเฉินดึงน้องสาวไปหลบอยู่ด้านหลังตามสัญชาตญาณ แววตาจับจ้องนางอย่างระแวดระวังเต็มที่
บรรยากาศพลันอึดอัดขึ้นมาทันที เหออวี้หลันรู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักๆจุกอยู่ในอก นางสูดหายใจลึก พยายามระงับความรู้สึกผิดที่ถาโถมเข้ามา
"อาหารเช้าถูกปากหรือไม่?" นางถามขึ้น ทำลายความเงียบงัน น้ำเสียงนุ่มนวลกว่าที่เคยเป็น
จวินซิงเฉินเม้มปากแน่น ไม่ยอมตอบ ส่วนจวินเสวี่ยอันซุกหน้าอยู่กับแผ่นหลังของพี่ชาย ตัวสั่นน้อยๆ
จางมามารีบเข้ามาแก้สถานการณ์ "เอ่อ... ถูกปากมากเจ้าค่ะ คุณชายน้อยกับคุณหนูน้อยทานไปเยอะทีเดียว ขอบพระคุณฮูหยินสำหรับความเมตตาเจ้าค่ะ"
เหออวี้หลันมองไปยังเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังตัวสั่น เห็นเศษผ้าสีแดงสดหลุดจากมือนางร่วงลงสู่พื้น ด้วยสัญชาตญาณ นางจึงก้าวเข้าไปหมายจะเก็บให้
"ว้าย!" จวินเสวี่ยอันร้องเสียงหลง สะดุ้งถอยหลังกรูดราวกับเห็นอสรพิษร้าย!
ร่างของเหออวี้หลันแข็งทื่อไปทันที นางชะงักค้างอยู่ท่านั้น มองดูเด็กน้อยที่เบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัวสุดขีด ภาพในอดีตฉายชัดขึ้นมาอีกครั้ง ภาพนางตวาดเสียงดัง ภาพนางผลักไสร่างเล็กๆนั้นอย่างไม่ไยดี
นางทำร้ายเด็กคนนี้ไปมากเพียงใด
ความเจ็บปวดแล่นริ้วขึ้นมาในอก นางค่อยๆลดมือลง ยืนนิ่งอยู่กับที่ "ข้า... ข้าทำให้เจ้าตกใจแล้ว ขอโทษด้วย" เสียงขอโทษหลุดออกมาจากริมฝีปากอย่างแผ่วเบา แต่มันคือความรู้สึกจากใจจริง
คำขอโทษนั้นทำให้ทั้งจางมามาและจวินซิงเฉินนิ่งอึ้งไป จวินซิงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย มองนางด้วยสายตาที่ยากจะอ่านออก "ท่านแม่มีธุระอันใดที่เรือนเล็กอันซอมซ่อนี้หรือขอรับ? หากไม่มีสิ่งใดแล้ว พวกข้าจะขอตัวไปอ่านหนังสือต่อ" ถ้อยคำสุภาพ แต่แฝงไว้ด้วยหนามแหลมคมและการขับไล่กลายๆ
เหออวี้หลันเข้าใจความหมายนั้นดี นางรู้ว่าการดันทุรังอยู่ต่อไปจะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง นางฝืนยิ้มบางๆ "ไม่มีอันใด ข้าเพียงผ่านมา... เห็นว่าพวกเจ้าทานอาหารเสร็จแล้วก็ดี ข้าไม่รบกวนแล้ว"
นางหมุนกายอย่างเชื่องช้า ก้าวออกจากเรือนจื่อเถิงไปเงียบๆ ทิ้งไว้เพียงความงุนงงและความรู้สึกซับซ้อนไว้เบื้องหลัง จวินซิงเฉินมองตามแผ่นหลังของนางไปจนลับสายตา แววตาครุ่นคิด จวินเสวี่ยอันค่อยๆโผล่หน้าออกมาจากด้านหลังพี่ชาย ดวงตายังคงมีแววหวาดกลัว แต่ก็เจือปนด้วยความสับสนเล็กน้อย เมื่อครู่ท่านแม่... ขอโทษหรือ?
เหออวี้หลันเดินกลับเรือนอวี้ฮั่นด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง ก้าวแรกของการเผชิญหน้ามันช่างยากเย็นและเจ็บปวดยิ่งกว่าที่นางคาดคิด แต่ถึงกระนั้นนางก็จะไม่ถอยเด็ดขาด!
เมื่อเหมันต์อันยาวนานและเยือกเย็นได้โบกมืออำลาไปอย่างแท้จริง วสันตฤดูอันแสนสดใสก็หวนกลับมาเยือนจวนแม่ทัพจวินอีกครั้ง คราวนี้มิใช่เพียงธรรมชาติภายนอกที่ผลิบาน แต่หัวใจของผู้อยู่อาศัยภายในจวนแห่งนี้ก็คล้ายจะเบ่งบานไปด้วยไอรักและความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนการดูแลเอาใจใส่ของจวินเหยียนซีในช่วงที่เหออวี้หลันล้มป่วยลงนั้น เปรียบเสมือนหยาดน้ำทิพย์สุดท้ายที่หลอมละลายกำแพงน้ำแข็งในใจของคนทั้งสองจนหมดสิ้น ความเคลือบแคลงสงสัย ความไม่เข้าใจ และความห่างเหินที่เคยมี บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความไว้วางใจ ความเข้าใจ และความรู้สึกผูกพันอันลึกซึ้งอย่างแท้จริงกิจวัตรประจำวันของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด การร่วมโต๊ะเสวยกลายเป็นเรื่องปกติที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและรอยยิ้ม การดื่มชายามค่ำคืนในศาลากลางสวนกลายเป็นช่วงเวลาของการแบ่งปันความคิดและความรู้สึกอย่างเปิดอกมากขึ้น พวกเขาเริ่มเรียนรู้ที่จะสื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมา และรับฟังซึ่งกันและกันด้วยหัวใจที่เปิดกว้างจวินเหยียนซีดูจะผ่อนคลายและแสดงความรู้สึกออกมามากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รอยยิ้มจางๆที่เคยหาได้ยากยิ่ง บัดนี้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคายนั้
ภายหลังจากค่ำคืนในการเผชิญหน้าอันตึงเครียดในโรงเก็บฟืนเก่า บรรยากาศภายในจวนแม่ทัพจวินก็คล้ายจะถูกแช่แข็งไว้ด้วยความเงียบงันอันน่าอึดอัดยิ่งกว่าเดิม แม้จวินเหยียนซีจะมิได้เอ่ยปากขับไล่ หรือแสดงท่าทีรังเกียจนางอย่างเปิดเผย แต่ความห่างเหินและสายตาที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและคำถามที่ไร้คำตอบของเขานั้น ก็เป็นดั่งกำแพงที่มองไม่เห็น แต่กลับสูงตระหง่านและเย็นเยียบยิ่งกว่าครั้งไหนๆเหออวี้หลันเข้าใจดีว่านางกำลังอยู่ในช่วงเวลาของการพิสูจน์ตนเองอีกครั้ง และครั้งนี้หนักหนากว่าเดิมหลายเท่านัก ความไว้วางใจที่เพิ่งจะเริ่มก่อตัวขึ้น บัดนี้ได้พังทลายลงไปแล้วด้วยความลับและการปิดบังของนางเอง คำพูดของเขาที่ว่า "ข้าจะตัดสินเจ้าจากการกระทำของเจ้าในปัจจุบันและอนาคต" คือโอกาสสุดท้ายที่นางได้รับ โอกาสสุดท้ายที่นางต้องรักษาไว้ให้จงได้นางทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดให้กับการทำหน้าที่ของตนเองยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา นางตื่นแต่เช้าตรู่ เข้านอนดึกดื่น ตรวจตราดูแลทุกซอกทุกมุมของจวนด้วยความใส่ใจและความละเอียดลออที่ไม่เคยมีใครเทียบได้ ตั้งแต่การจัดสรรเสบียงในคลัง การดูแลความเป็นอยู่ของบ่าวไพร่ การบริหารจัดการงบประมาณ ไปจนถึง
เหมันต์ยังคงทอดเงาทาบทับจวนแม่ทัพจวิน อากาศเย็นเยียบจับขั้วหัวใจแต่กลับมิอาจเทียบเท่าความหนาวเหน็บที่เกาะกุมจิตใจของเหออวี้หลันได้เลยนับตั้งแต่การปรากฏตัวของชิวเยว่ในอดีตชาติ แม้นางจะพยายามรักษาความสงบ ทำหน้าที่ฮูหยินและมารดาเลี้ยงอย่างมิได้ขาดตกบกพร่อง แต่ความหวาดระแวงและความกลัวก็กัดกินใจนางอยู่ทุกขณะลมหายใจนางเฝ้าสังเกตการณ์ชิวเยว่ผู้นั้นอย่างลับๆมาตลอด แต่สตรีผู้นั้นก็ยังคงทำงานของตนไปอย่างเงียบๆ ขยันขันแข็ง ไม่แสดงพิรุธใดๆออกมา ความสงบเสงี่ยมนั้นเองที่ยิ่งทำให้นางหวาดผวา มันเหมือนความเงียบก่อนพายุจะโหมกระหน่ำ หรือเหมือนอสรพิษที่ซ่อนตัวนิ่งรอจังหวะที่จะฉกกัดความอดทนของเหออวี้หลันใกล้จะถึงขีดสุด นางไม่อาจทนใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวเช่นนี้ได้อีกต่อไป นางต้องรู้ให้แน่ชัด... ว่าชิวเยว่ต้องการสิ่งใดกันแน่!จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่นางกำลังตรวจดูผ้าปูที่นอนที่เพิ่งซักเสร็จใหม่ๆในห้องเก็บผ้าใกล้โรงซักล้าง สายตาของนางก็พลันสะดุดเข้ากับบางสิ่ง ปมเชือกสีแดงเส้นเล็กๆที่ถูกผูกซ่อนไว้ในเนื้อผ้าอย่างแนบเนียน เป็นปมแบบเดียวกันกับที่นางเคยใช้ผูกของเล่นชิ้นโปรดของเสวี่ยอัน แล้วโยนทิ้งไปด้วยคว
เหมันตฤดูยังคงดำเนินไปอย่างเนิบนาบ วันคืนผ่านไปอย่างเชื่องช้าภายใต้ท้องฟ้าสีเทาหม่น เหออวี้หลันพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยและความเป็นปกติสุขภายในจวนแม่ทัพไว้ให้มั่นคงที่สุด แต่นางก็รู้ดีว่าภายใต้ความสงบนั้นมีพายุร้ายกำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ... พายุที่มาจากอดีตของนางเองชิวเยว่ในชาติก่อนยังคงทำงานอยู่ในส่วนซักล้างและงานจิปาถะอื่นๆ อย่างขยันขันแข็งและดูเหมือนจะไม่มีพิษมีภัยใดๆ นางพูดน้อย ยิ้มยาก และมักจะก้มหน้าก้มตาทำงานของตนไปเงียบๆไม่สุงสิงกับผู้ใดเป็นพิเศษ แต่ยิ่งนางดูสงบเสงี่ยมมากเท่าใด เหออวี้หลันก็ยิ่งรู้สึกหวาดระแวงมากขึ้นเท่านั้น สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนอยู่ภายในว่าสตรีผู้นี้มิได้มาที่นี่โดยบังเอิญอย่างแน่นอนความหวาดระแวงนั้นได้รับการยืนยันในเวลาต่อมา...วันหนึ่งหลี่มามา บ่าวอาวุโสผู้รับใช้ตระกูลจวินมานานได้เข้ามาพบเหออวี้หลันเป็นการส่วนตัวด้วยสีหน้าที่ดูครุ่นคิดเล็กน้อย "เรียนฮูหยินเจ้าคะ บ่าวมีเรื่องประหลาดใจเล็กน้อยจะเรียนให้ทราบ""เรื่องอันใดหรือหลี่มามา?" เหออวี้หลันถาม พยายามควบคุมไม่ให้หัวใจเต้นแรงจนผิดสังเกต"คือ... ชิวเยว่ คนงานใหม่ในโรงซักล้างน่ะเจ้า
เหมันตฤดูแผ่ปกคลุมจวนแม่ทัพจวินด้วยไอเย็นยะเยือก หิมะโปรยปรายลงมาเป็นครั้งคราว แต่งแต้มให้หลังคาและกิ่งก้านของต้นไม้กลายเป็นสีขาวโพลน ชีวิตภายในจวนดำเนินไปอย่างอบอุ่นและสงบสุขภายใต้การดูแลของเหออวี้หลันและจวินเหยียนซี ความสัมพันธ์ของทั้งสองแน่นแฟ้นขึ้นตามลำดับ ความรักและความเข้าใจค่อยๆถักทอสายใยอันมั่นคงขึ้นมาแทนที่ความเย็นชาในอดีต เด็กทั้งสองเติบโตขึ้นอย่างร่าเริงและมั่นคงภายใต้ร่มเงาแห่งความรักของครอบครัวทว่าความสงบสุขที่ดูเหมือนจะยั่งยืนนี้ กลับมีอันต้องสั่นคลอน... เมื่ออดีตที่ไม่คาดฝันได้หวนกลับมาทวงถามเนื่องด้วยขนาดของจวนที่กว้างขวางและจำนวนบ่าวไพร่ที่มีอยู่เดิมเริ่มไม่เพียงพอ ประกอบกับมีบ่าวบางส่วนลาออกหรือถึงวัยเกษียณ พ่อบ้านเฉียนจึงได้นำเสนอเรื่องการว่าจ้างบ่าวรับใช้ระดับล่างเพิ่มเติมสองสามตำแหน่ง เช่น คนงานในโรงซักล้าง หรือคนสวนชั้นผู้น้อย เขาได้คัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเบื้องต้นเหมาะสมมาหลายคน และนำรายชื่อพร้อมประวัติย่อมาให้เหออวี้หลันในฐานะฮูหยินเป็นผู้พิจารณาอนุมัติขั้นสุดท้าย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในการบริหารจัดการจวนเหออวี้หลันรับรายชื่อมาตรวจดูอย่างละเอียดตามปกติ นาง
ค่ำคืนงานเลี้ยงรับรองมาถึง จวนแม่ทัพจวินสว่างไสวไปด้วยแสงไฟจากโคมไฟนับร้อยดวง บรรยากาศโอ่อ่าสง่างามสมเกียรติ แขกเหรื่อผู้ทรงเกียรติ ทั้งขุนนางผู้ใหญ่ นายทหารระดับสูง และฮูหยินต่างทยอยเดินทางมาถึงด้วยรถม้าคันหรูจวินเหยียนซีและเหออวี้หลันยืนรอต้อนรับแขกอยู่ที่โถงทางเข้าหลัก เคียงข้างกันอย่างสง่างาม เขาสวมชุดขุนนางเต็มยศสีน้ำเงินเข้มดูน่าเกรงขาม ส่วนนางอยู่ในชุดสีทองอ่อนอันงดงาม ขับเน้นความงามอันสุขุมและสูงศักดิ์ ทั้งสองเป็นดั่งหยกคู่งามที่เปล่งประกาย สร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาเยือนตั้งแต่แรกเห็นเหออวี้หลันทำหน้าที่เจ้าบ้านได้อย่างไร้ที่ติ นางกล่าวต้อนรับแขกแต่ละคนด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นและเป็นมิตร สามารถจดจำชื่อและตำแหน่งของทุกคนได้อย่างแม่นยำ สนทนาด้วยถ้อยคำที่เหมาะสมและแสดงความใส่ใจทำให้นางได้รับคำชื่นชมในความอ่อนน้อมและความเฉลียวฉลาดจากเหล่าแขกเหรื่อ โดยเฉพาะบรรดาฮูหยินทั้งหลายที่เคยมีอคติต่อนางมาก่อนส่วนจวินเหยียนซีนั้นเขารับหน้าที่ดูแลต้อนรับแขกฝ่ายชาย สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเหล่าขุนนางและนายทหารด้วยท่าทีที่สุขุมและน่าเชื่อถือ เขาสังเกตการณ์ปฏิกิริยาและท่าทีของแขกแต่ละคนอย่