ฉันกระตุกมือวาวาเบาๆ เพื่อบอกให้เธอหยุดโต้เถียงกับคนตรงหน้า ก่อนที่ร่างใหญ่จะเอ่ยถามขึ้น
“ในห้อง 6/6 ก็มีใครชื่อ พิง เหมือนยัยนี่บ้างล่ะ?” “………” “ถ้าไม่มี งั้นก็แปลว่า ยัยนี่เป็นเมียฉัน” “ห๊ะ?” ฉันอุทานออกมาเสียงดัง จนวาวาต้องรีบหันมอง ก่อนที่เธอจะเดินขึ้นมา เอาตัวบังร่างฉันไว้อย่างกล้าหาญ “นี่ กีต้าร์ ฉันว่านายต้องเข้าใจอะไรผิดแล้วแน่ๆ เลยว่ะ เมื่อก่อนนายไม่เคยแล สายตามอง ยัยพักพิง เลยด้วยซ้ำ แต่พอมาวันนี้ นายบอกว่า ยัยพักพิงเป็นเมียนาย สมองนายผิดปกติอะไรรึเปล่าเนี้ย?” “ช่างเถอะ กีต้าร์เขาพึ่งออกจากโรงพยาบาลนะ สติ สตัง คงยังไม่ค่อยกลับมาหรอก เรากลับบ้านกันเถอะ วาวา เดี๋ยวแม่ด่าฉันแย่เลย ถ้าฉันกลับค่ำน่ะ” “เดี๋ยวฉันจะไปส่ง ขึ้นรถเถอะ ฉันไม่ทำอะไรพวกเธอหรอก” แขนใหญ่กระชากแขนฉันอย่างแรง ก่อนจะรีบลากตัวฉันกับวาวาขึ้นรถ “โอ๊ย! กีต้าร์เราเจ็บ” ปึก! ประตูรถหรูปิดลงอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าฉันกับวาวาจะรีบวิ่งหนีออกจากรถไปอย่างไงอย่างงั้น “บ้านเธออยู่ไหน?” “บะ….บ้านฉันอยู่ ซอย 3 ถัดไปจากซอยนี้อีก 4 ซอย” “เค” ให้ตายเถอะ ฉันไม่รู้ว่าหัวใจฉันเต้นแรงเพราะอะไร เพราะเขาอาสามาส่ง ฉันที่บ้าน หรือเพราะฉันได้นั่งรถเขาครั้งแรก หรือเป็นเพราะฉันกลัวเขากันแน่ ในสมองฉันมันตีกันวุ่นวายไปหมด ราวกับว่าคำถามมากมายมันได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างไงอย่างงั้น ณ บ้านของพักพิง “ขอบคุณนะที่มาส่งพวกเรา?” “ไม่ต้องขอบคุณหรอก มันเป็นหน้าที่น่ะ” สายตาเฉียบคมจ้องมองฉัน อย่างเจ้าเล่ห์ แต่ก็ยังยกยิ้มขึ้นอำพรางสายตาดุดัน นั้นเอาไว้ เป็นกับดัก จนวาวาต้องถามขัดขึ้นมา ด้วยความสงสัย “นายนี่ก็พูดแปลกๆ หน้าที่อะไรของนาย?” “ก็หน้าที่ ของคนที่กำลังจะเป็นเจ้าบ่าวไง” ฉันชะงักไปกับคำพูดนั้น ราวกับว่าถูกต้องมนต์สะกด เพราะไม่คิดว่า ชายหนุ่มที่ฉันแอบชอบมานานแสนนาน จะเอ่ยคำนี้ออกมา “พักพิง มึงหน้าแดงหมดแล้ว ไป รีบเข้าบ้านเถอะ เดี๋ยวแม่ก็ได้ด่ามึงหรอก” “อ่อ อื้มๆ ได้” “เราเข้าบ้านก่อนนะ กีต้าร์ วาวา” “เออๆ เข้าบ้านไปเลยมึงอ่ะ” ร่างใหญ่ ยกมือขึ้นทำท่าทีโบกมือบ๊ายบายฉัน แต่สายตาเจ้าเล่ห์นั้น บ่งบอกเหมือนเขาจะยังไม่ยอมกลับง่ายๆ อย่างไงอย่างงั้น แต่แล้ว! เมื่อฉันเดินเข้าบ้านได้เพียง 10 นาที เสียงกริ่งของบ้านฉันก็ดังระรัว ราวกับต้องการให้ฉันรีบไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว ตริ่ง! ตริ่ง! ตริ่ง!!!!!!!!!!!!!! “ใครน่ะ ยัยพิง เล่นกดกริ่งรัวขนาดนี้ กลัวมาผิดบ้านรึไงกัน!” “ไม่เป็นไรค่ะแม่ เดี๋ยวหนูออกไปดูเองค่ะ” ฉันรีบวิ่งหน้าตั้ง ออกมาเปิดประตูรั้วหน้าบ้านอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เสียงกดกริ่งนั้นรีบหยุดไป แต่เมื่อฉันเปิดประตูรั้วออกมาแล้ว ฉันก็ถึงกับต้องผงะ เพราะไอ้คนที่กดกริ่งหน้าบ้านฉันรัวๆ เมื่อครู่ ก็คือ กีต้าร์ นั้นเอง “ทำไมมาเปิดประตูช้าจัง!” เสียงทุ้มตะเบ็งเสียงใส่ฉันอย่างดุดัน จนฉันสะดุ้งสุดตัว ด้วยความตกใจกับเสียงของคนตรงหน้า “เออ ฉันขอโทษ ฉันพึ่งออกจากโรงพยาบาลน่ะ อย่าถือสาฉันเลยนะ” น้ำเสียงเขาอ่อนลงแต่ทว่า กลับแฝงไปด้วยสายตาดุดันจนน่าขนลุก “เธออยู่บ้านกับใคร?” “ถามทำไมเหรอ?” ฉันย่นคิ้วลงเล็กน้อยด้วยความสงสัย ก่อนที่คนตัวใหญ่ จะเริ่มขยับตัวเข้ามาในพื้นที่บ้านของฉัน “อะไรของนายเนี้ย?” “นี่หน้าบ้านเธอเหรอ ฉันขอเข้าไปดูข้างในหน่อยนะ” “เฮ้ย!” เมื่อคนตัวใหญ่พูดขึ้น เขาก็รีบเดินตรงดิ่งไปยังในบ้านของฉันอย่างรวดเร็ว โดยที่ฉันยังไม่ทันได้ ตั้งตัวเลยสักนิด เมื่อร่างใหญ่ เปิดประตูจะเข้าบ้านฉันปุ๊บ เขาก็ถึงกับหยุดชะงักลง ตรงหน้าประตูบ้านในทันที ก่อนจะรีบเปลี่ยนท่าที เป็นนอบน้อมแทน “สวัสดีครับ คุณแม่” “หวัดดีจ้า” แม่ฉันรับไหว้ พร้อมกับเอ่ยสวัสดีตอบกลับไปแบบมึนงง ก่อนที่คนตัวใหญ่ จะรีบแนะนำตัวเพิ่มเติม “สวัสดีครับ ผมชื่อเปีย…เอ้ย! ….. ผมชื่อ กีต้าร์ครับ เป็นนักเรียนโรงเรียนเดียวกับพิงค์ และเป็นแฟนของพิงค์ครับ” “ฮะ!....กีต้าร์นายพูดอะไรออกมาน่ะ!” สายตาของแม่ เหลือบแลมองฉันอย่างรวดเร็ว ราวกับจะถามคำถามอะไรกับฉัน “อ่ะ…. งั้นเข้ามาก่อน มาดื่มน้ำดื่มท่าก่อนนะลูก” “ครับ คุณแม่” “แม่!!!!” ร่างใหญ่ เดินเข้าบ้านฉันอย่างนอบน้อม ก่อนจะนั่งลงบนโซฟา ในห้องโถงของบ้าน อย่างนิ่งเงียบ ฉันจึงรีบเดินไปเอาน้ำมาให้เขากับแม่ของฉัน อย่างไม่ค่อยพอใจนัก “ว่าไงเราอ่ะ พักพิงค์?” “มะ….แม่มันไม่ใช่นะ คือ กีต้าร์เขาเป็นแค่เพื่อน” ปากฉันเร่งพูดออกมา แต่ขาของฉันก็รีบตรงไปนั่ง กอดขาของผู้เป็นแม่อย่างรีบร้อน เพื่อให้ท่านเชื่อคำพูดของฉันเป็นความนัย “อะไรกัน! พักพิงค์ไหนเธอบอกว่า เธอจะแต่งงานกับฉัน เราจะเปิดตัวกันและกันไง” “กีต้าร์ มันจะมากไปแล้วนะ!” “เอาเถอะๆ! สรุป แกกับพ่อหนุ่มนี่คบกันนานหรือยัง?” “เราไม่ได้คบกันนะแม่!” “เราคบกันมาสักพักใหญ่แล้วครับ” ฉันย่นคิ้วลงด้วยความหงุดหงิดใจ ก่อนจะกัดฟันกรามจองมองใบหน้าหล่อเหลา ที่ยกยิ้มเยาะเย้ยฉัน อย่างภาคภูมิใจ “ที่ผมเข้ามาพบคุณแม่วันนี้ เพราะผมต้องการจะมาพูดเรื่องแต่งงานระหว่างผมกับพักพิงค์น่ะครับ” “หา?” “ครับผม” “แต่พ่อหนุ่ม เธอพึ่งมาพบฉันเองนะ” “ไม่เห็นเป็นไรเลยหนิครับ อย่างไงในอนาคตเราก็ต้องเจอกันบ่อยอยู่แล้ว ถ้าคุณแม่ไม่ว่าอะไร วันเสาร์นี้ ผมจะพาผู้ใหญ่มาสู่ขอพักพิงไว้เลยนะครับ” ฉันสะดุ้งสุดตัว เมื่อได้ยินร่างใหญ่พูดขอแม่ฉันออกมาอย่างไม่ลังเล จนแม่ฉันเองก็อึ้งไปด้วย เพราะอยู่ดีๆ ก็มีคนมาขอลูกสาวไปแบบนี้ “เอางั้นเลยเหรอ?” “แม่ ไม่นะ หนูไม่แต่งนะแม่” ฉันเขย่าขาของผู้เป็นแม่อย่างรีบร้อนใจ เพื่อขอให้ท่านช่วยฉัน แต่ก็นะ สายตาของชายตรงหน้ากลับแผ่รังสีความต้องการตัวฉัน จนเกินต้าน ส่งผ่านมายังตัวฉัน จนน่าขนลุก “เอาล่ะๆ พวกแกก็จบ ม.6 กันแล้ว เรื่องแบบนี้ แม่ว่าให้พวกแกคุยกันเองจะดีกว่า”#กีต้าร์"เป็นไงบ้าง พิงฟ้า""ก็เรื่อยๆ ตามประสาคนติดคุก""เราเอารูปลูกมาให้ ตอนนี้ลูกได้เรียนเต้นบรรเลย์ และ เล่นดนตรีด้วย ลูกเก่งมากเลยนะ เธอหัวดีมาก ""ขอบคุณนะ"ผมใช้มือแตะไปที่กระจกกั้นระหว่างผมกับพิงฟ้าด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ แต่ผมกลับได้เห็นสีหน้าเศร้าสลดของพิงฟ้า ที่มองมาทางผมแทนเสียอย่างนั้น"นะ....นาย""ว่าไง?""ฉันทำร้ายนาย ทำลายชีวิตนายถึงขนาดนี้ ทำไมนายถึงยังรักฉันอยู่ ทำไมถึงไม่หาแฟนใหม่ แล้วแต่งงานใหม่"ผมยกยิ้มขึ้นอย่างมีความหวัง ถึงแม้จะรู้ดีว่า พิงฟ้า ใช้ผมเป็นเครื่องมือสำหรับทุกอย่างเท่านั้น แต่ผมก็ยังรักเธอ"ก็เพราะ แม่ของน้องพราวมีแค่คนเดียวไง เราถึงไม่ให้ใครมาแทนแม่ของลูกเราได้""นะ...นายเป็นคนดีจริงๆ ดีจนฉันละอายแก่ใจ""พิงฟ้า เราจะรอเธอนะ รอวันที่เราจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง 3 คนพ่อแม่ลูก"10 ปีต่อมาศาลได้ยกคดีของพิงฟ้าขึ้นมาพูด
วินาทีนั้น ใจฉันกระตุกวูบ สับสนในความรู้สึกของตัวเองราวกับว่า มันเป็นอย่างที่กีต้าร์พูดจริงๆ"เกี่ยวก้อยกันนะ!""ห๊ะ?"เขาดึงมือฉันไปเกี่ยวก้อยอย่างเดียงสา จะว่าไปแล้ว กีต้าร์ก็ดูเหมือนเด็กน้อยอยู่เลยนะ หรืออาจเป็นเพราะเขาหลับไปนาน ตื่นขึ้นมาถึงได้ดูเหมือนเด็กน้อยแบบนี้ไปได้แต่ฉันก็ยิ้มรับเขาอย่างเอ็นดูนั่น อีกอย่างความคิดของฉันมันก็เปลี่ยนไป ราวกับได้ปลดปล่อยความรู้สึกที่ติดค้างในใจมาอย่างยาวนานเสียอย่างนั้น"ตอนเรียน นายมองเราอยู่ตลอดเลยเหรอ?""ก็มองนะ ก็เธอโดดเด่นหนิ มีแต่เพื่อนๆ เข้าหา""ฮ่ะ ฮ่าๆ"ฉันพูดคุยกับกีต้าร์อย่างถูกคอเสียอย่างนั้น พอได้คุยกับเขาจริงๆ มันก็กลับกลายเป็นว่าเขาทำให้ฉันสบายใจขึ้นเยอะเลย นายนี่ไร้เดียงสาจริงๆ"นายไม่คิดจะหาแฟนใหม่เหรอ?""ไม่ล่ะ เราจะรอพิงฟ้าออกจากคุก อย่างไงเธอก็เป็นแม่ของลูกเรา เป็นแม่ของน้องพราว"แถมเขายังรักเดียวใจเดียวและมั่นคงในความรักอีกต่างหาก ทั้งๆ ที่ผู้หญิงคนนั้น ทำร้ายเขามาตั้งมากมายขนาดนั้
ห้องพักฟื้นฉันตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยหัวใจที่แตกสลายจนละเอียดไม่มีชิ้นดีข้างตัวยังมีสายน้ำเกลือและชายร่างใหญ่ นอนอยู่ข้างเตียง"อื้มม!""อ่ะ! ตื่นแล้วเหรอ เป็นไงบ้าง?""นาย!"ฉันพยายามมองร่างใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างเตียงอีกครั้งอย่างคิดพิเคราะห์ ถึงได้รู้ว่า คนที่นอนเฝ้าฉันอยู่ตรงนี้ คือ กีต้าร์ ไม่ใช่ เปียโน"เป็นไงบ้าง เวียนหัวอยู่ไหม เดี๋ยวฉันไปตามหมอมาให้ ""นาย!"ท่าทีลนลานแบบนี้ ไม่ใช่อี่ตาเปียโนอย่างแน่นอน เพราะอี่ตาเปียโนจะดูเย็นชาและใจเย็นมีสติกว่ากีต้าร์เยอะ แต่ก็ช่างเถอะ จะใครฉันก็ไม่สนใจแล้วสิ่งที่ฉันสนใจตอนนี้ คือร่างที่ไร้วิญญาณของแม็กทิวมากกว่า ถ้าฉันไม่ได้เห็นร่างของเขาอีกครั้ง ฉันคงคิดว่าตัวเองฝันไปอยู่แน่นอน"แม็กทิวอยู่ไหน?""เปียโน มันไปทำเรื่องเอาศพออกโรงพยาบาลอยู่น่ะ!"ฉันสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะพ่นออกมาด้วยแววตาที่เศร้าหมอง ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น แล้วเขาทำเป็นอะไรท
เพี้ยะ!ฉันตบเข้าหน้าคมอย่างจัง จนหันไปอีกทาง ด้วยความเดือดดาลจนยากจะเอ่ย กล้าดีอย่างไงกัน ถึงได้พาลูกๆ ของฉันไปจากอกของฉัน"เธอตบฉัน ทั้งที่ฉันยังหัวแตกอยู่เนี่ยนะ?""ใช่! ฉันเกลียดนาย และฉันก็เหนื่อยมากด้วย ที่จะต้องเห็นหน้านาย"พูดจบ เขาก็ดึงตัวฉันเข้าไปประกบจูบอย่างดุดัน แถมยังกดต้นคอฉันให้แนบชิดจนถอดฝีปากออกไม่ได้ปลายนิ้วมือฉันฟาดเข้าแก้มขาวย้ำๆ อยู่แบบนั้นถี่ๆ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าเขาจะยอมถอดริมฝีปากออกจากโพรงช่องปากฉันเลย มันยิ่งแนบแน่นขึ้นไปอีก จนฉันหายใจไม่ออก"อ้า!"แต่เมื่อฉันเริ่มนิ่ง เขาจึงยอมถอดริมฝีปากออก และลูบแก้มฉันอย่างอ่อนโยน พลางจูบลงบนแก้มขาว เพื่อบ่งบอกถึงการยินยอมฉันในทุกๆ อย่าง"ฉันรักเธอมากนะ ฉันยอมเธอได้ทุกอย่าง ถึงเธอจะทำร้ายฉันให้เจ็บปางตายฉันก็ยอม แต่ขอร้อง เราอย่าหย่ากันเลยนะ เพื่อลูกๆ เพื่อฉัน""..........""ฉันรู้ว่าฉันทำผิดต่อเธอมาตลอด แต่ฉันขอร้องได้ไหม อย่าทิ้งฉันไปไหนอีกเลย ชีวิตฉันต้องการเธอ บ้านก็ต้องการเธอ
แต่แล้ว เมื่อฉันคุยกับแม็กทิวจบ ใบหน้าของแม็กทิว ก็พยักหน้ารับราวกับส่งสารให้ใครบางคนอย่างน่าสงสัย นัยน์ตาของเขามีน้ำตาไหลออกมาก่อนที่เงาร่างกำยำ จะขยับตัวเข้าใกล้ฉันอย่างแผ่วเบา และใช้ผ้าสีขาวโปะเข้าจมูกฉันอย่างจัง มันกดจมูกฉันอย่างแรง จนร่างกายของฉันค่อยๆ อิดโรย และดับวูบไปเหลือไว้เพียงเสียงพูดคุยกันอย่างแผ่วเบา ที่ฟังไม่ได้ศัพท์จับไม่ได้ความ เหมือนมันพูดกันว่า จะพาฉันไปที่ไหนสักแห่ง แต่ยังไม่พากลับไทย อะไรประมาณนี้ปัง!แคร่ง!!!"ล่ามดีๆ ดิว่ะ! แม่งเดียวคุณชายก็ได้กระทืบเข้าให้หรอก""ว่าแต่ ไปเอาเมียเขามาไว้แบบนี้จะดีเหรอว่ะ?""หุบปากไป!"ฉันคืนสติมาแล้ว และได้ยินในสิ่งที่มันพูดกัน ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรมารัดอยู่ที่ข้อเท้าเลยแต่ฉันก็ไม่สามารถขยับตัวได้ หากขยับตัวไปมา พวกมันอาจจะรู้ตัวว่าฉันฟื้นแล้ว และอาจจะเอาไอ้ผ้านั่น มาโปะฉันอีกก็เป็นได้ฉันเป็นห่วงเด็กๆ จัง ป่านนี้จะเป็นอย่างไงบ้างนะ ทำไมมันถึงเป็นแบบ
แกร๊ก!"มาแล้วเหรอคะ ที่รัก"ฉันเดินไปต้อนรับแม็กทิว และน้องฮันน่าอย่างทุกครั้ง ที่ทำเป็นประจำ ก่อนจะโผตัวเข้าไปกอดแม็กทิวอย่างปกติแต่วันนี้มันแปลกไป แม็กทิวดูผอมลง แถมสีผิวก็ยังคล้ำลงด้วยอีกต่างหาก ราวกับว่า เขาไม่ได้พักผ่อนมาอย่างไงอย่างงั้นและด้านข้างของเขา มีกระเป๋าใบใหญ่สีชมพูน่ารัก คาดว่าน่าจะเป็นของน้องฮันน่าอย่างแน่นอน"เออคือ แม็กทิว ทำไมเอากระเป๋าของน้องฮันน่ามาด้วยละคะ ปกติก็ใส่ชุดของน้องพะเพลงได้อยู่แล้ว ไม่เห็นต้องเอามาให้ยุ่งยากเลย""เออคือ!"แม็กทิวเม้มปากลงเล็กน้อย ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องให้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้น"ไม่มีอะไรหรอกคับ ช่วงนี้ผมทำงานหนัก เลยไม่ได้พักเลย จึงอยากจะขอพักพิง ดูแลลูกสาวของผมหน่อย ในช่วงนี้ ผมอยากให้เธออยู่กับคุณตลอด เพื่อที่คุณกับเธอจะได้สนิทกันมากยิ่งขึ้น"ฉันไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่แม็กทิวพูดเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่อยากจะถามอะไรต่อให้มันเป็นประเด็น ฉันรู้ว่าตอนนี้เขาคงมีเรื่องเครียดอะไรบางอย่าง ที่บอกฉันไม่ได้ แต่ในสักวัน เขาคงกล้าที่