“เสี่ยวเยว่...หรือว่า ไม่นะ! อย่า!” มู่เลี่ยงหรงหยัดกายหมายจะเข้าไปห้ามนาง แต่เยี่ยนหยางจงสกัดจุดหยุดการเคลื่อนไหวของเขาเอาไว้เสียก่อนริมฝีปากอิ่มสัมผัสกับขลุ่ยหยก ส่งกระแสเสียงแปลกประหลาดดังไปทั่วบริเวณ ท่วงทำนองหวีดหวิวแผ่กำจายแทรกลึกเข้าสู่โสต ทำให้ผู้ฟังดิ้นรนทุรนทุรายเพราะร่างกายกำลังต่อต้านไม่ให้ถูกควบคุมครั้นกระแสพลังจากบทเพลงขลุ่ยโลกันต์โอบล้อมทุกผู้ที่ได้ยินล้วนนิ่งสงบราวกับต้องมนต์ เยี่ยนเยว่ฉีจึงส่งสัญญาณให้พี่ชายคลายจุดให้ฉินอ๋อง“เชิญท่านอ๋องถามความจริงพวกเขาได้ตามสบาย” เยี่ยนหยางจงบอกเสียงค่อย“เจ้าใช้เพลงขลุ่ยโลกันต์ได้หรือ” มู่เลี่ยงหรงถามเสียงสั่น ให้ตายเถอะ นางใช้วิชามาร ซึ่งมีโทษหนักถึงประหารชีวิต แล้วตอนนี้เขาจะมีกะจิตกะใจไปสอบสวนเรื่องชู้สาวได้ยังไง“ท่านอ๋องรีบถามสิ่งที่อยากรู้ก่อนที่มนต์จะคลายสิ้นดีกว่า ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง” เยี่ยนเยว่ฉีที่ยังอ่อนแรงเอ่ยเร่งสามี “ท่านอย่าให้ข้าพลังไปเปล่าๆ สิ”ในเมื่อความจริงระหว่างถางซือเซนกับเฉิงหรูเหรินคือสิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้ มู่เลี่ยงหรงจึงตกลงทำตามคำแนะนำของเยี่ยนเยว่ฉี เขาหันไปมองหน้าสหาย แล้วเอ่ยถามเสียงเ
“เรียนใต้เท้า หลังจากไปถึงบ้านพักองครักษ์แล้ว ผู้น้อยก็ถูกวางยาสลบ พอฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตนเองอยู่ในห้องอันมืดมิดกับสตรีอีกนางหนึ่ง พอพยายามเพ่งมองก็จำได้ว่าเป็นซุนเหมย ผู้น้อยถามนางว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่นางพูดว่า ‘ช่วยไม่ได้ เจ้าเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น’ สิ้นคำนางก็กรีดร้องเสียงดังสนั่นไปทั้งห้อง จนกระทั่งองครักษ์ซิ่นมาถึงแล้วลงมือทำร้ายข้าด้วยความเข้าใจผิด ในขณะที่รอหวางเฟยมาช่วยย ผู้น้อยคิดทบทวนว่าเหตุใดถึงถูกปองร้าย ก็นึกถึงยาที่พบในตะกร้าของนางขึ้นมาได้ แต่ร้องเตือนไม่ไหวหมดสติไปเสียก่อน ส่วนบาดแผลที่ได้รับนั้นก็ร้ายแรงจนอาจถึงแก่ชีวิต ผู้น้อยสลบไสล หลับๆ ตื่นๆ อยู่หลายเดือน พอฟื้นตัวเต็มที่ก็พบว่าหวางเฟยอาการกำเริบแล้ว”“เจ้าเข้าใจว่านางกำนัลซุนสับเปลี่ยนยาบำรุงของหวางเฟยหรือ” ถางซือเซินสอบสวนต่อไป“ก่อนนั้นผู้น้อยยังไม่มั่นใจ จนกระทั้งได้ทดสอบนางเมื่อครู่ จึงได้รู้ว่านางใส่ร้ายลู่อิงซื่อทั้งสองด้วยเจ้าค่ะ”“ปล่อยตัวพระชายารองทั้งสองได้ แล้วส่งคนไปตรวจสอบยาบำรุงของหวางเฟยทั้งหมดด้วย” ถางซือเซินออกคำสั่งทันทีไม่นานนักองครักษ์ก็กลับมาพร้อมห่อยาที่ถูกสับเปลี่ยน ภายในมีส่วนผสมของสมุนไพร
มู่เลี่ยงหรงมองสองนายบ่าวด้วยแววตาอันโกรธเกรี้ยว โทสะที่มีพวยพุ่งอย่างแรง อยากจะสับคนทั้งสองเป็นหมื่นชิ้นให้สาสมกับความผิดอันไม่มีทางให้อภัย ยามนี้เขาต้องการระบายความเดือดดาลเหลือเกิน“จิกหัวแล้วลากมันทั้งสองมาตรงนี้สิ” มู่เลี่ยงหรงออกเอ่ยเสียงเหี้ยมเกรียม องครักษ์ที่คุมตัวสตรีทั้งสองรีบทำตามคำสั่ง มือหยาบคว้าลงไปบนเส้นผม จากนั้นก็ออกแรงกระชากจนร่างบางล้มลงกับพื้นก่อนจะถูกลากตัวมายังเบื้องหน้าฉินอ๋อง“ท่านอ๋อง จื่อหรูไม่รู้เรื่องนะเพคะ” นางร้องไห้อ้อนวอนเขา“หากเปิ่นหวางไม่ได้ถาม อย่าได้บังอาจขยับปากพูดอะไรออกมาอีกเป็นอันขาด” นัยน์ตาสีนิลฉาบไว้ด้วยน้ำแข็ง น้ำเสียงแสดงความเย็นชาห่างเหินจนเฉิงจื่อหรูหนาวเหน็บไปทั้งใจ นางก้มหน้าร้องไห้เงียบๆ อย่างน่าสงสารเวลาผ่านไปไม่นาน อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายก็เดินมาถึง เขาเหลือบมองเฉิงจื่อหรูที่นั่งอยู่บนพื้นผมเผ้ากระเซอะกระเซิง หัวใจพลันหนักอึ้งขึ้นมา เขาภาวนาขอให้เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนางสายตาห่วงหาอาทรสื่อออกไปโดยไม่รู้ตัว บุรุษที่นั่งอยู่เริ่มสงสัยความสัมพันธ์ของคนทั้งสองขึ้นมา‘ให้ตายเถอะ อย่าบอกนะว่าพวกเขา...สวมหมวกเขียว[1] ให้ข้า’แต่มู่เลี่ยงหรงต
“ซูจิ้ง ไม่นะ ออกไปนะ ไม่...ไม่ อย่าเข้ามา...” ซุนเหมยกระถดตัวหนีเมื่อเงาร่างเบื้องหน้าเริ่มเคลื่อนเข้ามาใกล้“เจ้าวางแผนทำร้ายข้า เจ้าต้องชดใช้” เสียงยานคางเยียบเย็นยิ่งทำให้นางกำนัลตัวสั่นเทา“ไม่นะ ข้าไม่ไป ข้าไม่ไป...”“บอกมาสิ ว่าทำไมจึงคิดร้ายต่อข้า ทั้งๆ ที่เราไม่เคยมีเรื่องหมางใจกันมาก่อน”“กะ...ก็เจ้าดันเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น ข้าเลยจำเป็นต้องทำ”“เจ้ามันเลว วางแผนทำร้ายหวางเฟยกับซื่อจื่อ หนำซ้ำยังใส่ร้ายลู่อิงซื่อทั้งสองอีกด้วย”“นั่นมันเป็นเพราะนายของเจ้าเอาแต่ยั่วยวน คิดแต่จะเก็บท่านอ๋องเอาไว้คนเดียว ส่วนพี่น้องสกุลลู่ก็เป็นพวกประจบสอพลอ พอเฉิงหรูเหรินถูกท่านอ๋องหมางเมิน พวกนางก็ไปเสนอหน้ากับหวางเฟย พวกนางทำให้นายของข้าต้องเสียใจ ก็สมควรแล้วที่ต้องถูกลงโทษ”“ต่ำช้ายิ่งนัก เจ้าจะต้องไปสารภาพกับท่านอ๋องเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจะหักคอเจ้าให้ตายตกตามกันไป” วิญญาณของซูจิ้งถลึงตาใส่อย่างเดือดดาลแล้วปราดเข้าไปใกล้ซุนเหมย“ไม่!!! อย่าเข้ามานะ”ซุนเหมยตกใจนึกว่าจะถูกผีซูจิ้งบีบคอจึงรีบคลานหนีอย่างทุลักทุเลไปทางเฉลียงด้านหลังหวังพึ่งนายสาวให้ช่วยเหลือตนจากผีร้าย นางจึงร้องตะโกนเสียงด
เยี่ยนเยว่ฉีซุกตัวเข้าหาความอบอุ่นดั่งอ้อมกอดนี้คือรังไหมที่ห่อหุ้มนางเอาไว้ให้ห่างไกลอันตราย ไม่นานความอ่อนเพลียก็นำเข้าสู่นิทราอีกครั้งเมื่อลมหายใจคนในอ้อมอกดังสม่ำเสมอ มู่เลี่ยงหรงจึงค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้วสาวเท้าออกไปจากห้องอย่างเงียบเชียบ ครั้นมาถึงหน้าประตูก็เห็นพ่อบ้านใหญ่รีบรุดมาหาเขาอย่างร้อนรนจนผิดวิสัย หากจะส่งคนอื่นมารายงานก็ย่อมได้ เหตุใดเขาต้องมาด้วยตนเอง“จิวจื่อเจ้ามีอะไรถึงได้รีบร้อนนัก” มู่เลี่ยงหรงเอ่ยถามออกไป“ท่านแม่ทัพน้อยเยี่ยนกับผู้ติดตามมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” จิวจื่อพูดพลางมองซ้ายมองขวาเหมือนหวาดกลัวบางสิ่ง“เจ้าพาพวกเขาไปพบข้าที่ห้องหนังสือก็แล้วกัน”“พ่ะย่ะค่ะ” จิวจื่อรับคำแล้วรีบสาวเท้าจากไปทันทีมู่เลี่ยงหรงขมวดคิ้ว สงสัยท่าทีของพ่อบ้านใหญ่ยิ่งนัก ดูเหมือนอีกฝ่ายกำลังตัวสั่นด้วยความกลัว แต่เขาไม่มีเวลาจะใส่ใจความรู้สึกของใครอีก เพราะยามนี้เรื่องน่าปวดหัวก็มีมากพอแรง อีกทั้งหากเกินกำลังจิวจื่อคงเอ่ยปากให้เขาช่วยเหลือไปแล้วเมื่อรับตำแหน่งแม่ทัพแล้วเยี่ยนหยางจงก็ยังคงทำงานในกองทัพอยู่ดี เพียงแต่ย้ายกองมาควบคุมในส่วนของกองกำลังที่ขึ้นตรงต่อฉินอ๋อง กิจกา
“ท่านอ๋องปรีชายิ่ง ต้องมีคนเลววางแผนใส่ร้ายพวกเราพี่น้องให้รับเคราะห์แทนแน่แล้ว” ลู่เหมยหลันพูดพลางพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย “แล้วนี่อะไร!” มู่เลี่ยงหรงตวาดแล้วโยนห่อกระดาษสีน้ำตาลกับผ้าขาวที่ห่อกากยาซึ่งต้มแล้วลงไปตรงหน้าของทั้งสองคน“หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ” ลู่เหมยหลันยืนยันเสียงแข็ง “มันไม่ใช่ของพวกเรานะเพคะ” ลู่เหมยหลินพูดต่อแทบจะทันที“บังอาจ! ของเหล่านี้ค้นเจอในเรือนดอกเหมย อีกทั้งขนมบัวลอยที่พวกเจ้าทำไปให้หวางเฟยวันนี้ ข้าตรวจสอบแล้วพบว่าผสมอู่ลิงจือ ”“พวกเราถูกใส่ความ ท่านอ๋องได้โปรดให้ความเป็นธรรมกับพวกเราด้วยเพคะ” สองพี่น้องพูดออกมาพร้อมกัน และเริ่มร้องห่มร้องไห้ “สวรรค์เป็นพยาน พวกเราไม่เคยไม่คิดร้ายต่อหวางเฟยกับทายาทของท่านอ๋อง”“ยังไม่สำนึกอีก ข้าผิดหวังในตัวพวกเจ้าเสียจริง” มู่เลี่ยงหรงส่งสายตารังเกียจอย่างเห็นได้ชัดไปให้สตรีทั้งสอง เขาไม่ฆ่าพวกนางเดี๋ยวนี้ก็นับว่าดีแล้ว “เอาพวกนางไปขัง รอการตัดสินโทษจากข้า”เสียงร้องไห้ขอความเป็นธรรมดังกึกก้อง หญิงสาวทั้งสองพยายามอ้อนวอนผู้เป็นสามีสุดชีวิต จนกระทั่งองครักษ์พาพวกนางออกไปไกลแล้วบรรยากาศจึงกลับมาเงียบสงบ“พวกเจ้าที่เหลืออย่