“ท่านพ่อ ท่านไม่รู้จักต้นพวกนั้นหรือขอรับ” อี้หมิงถามเสียงใส มือก็ชี้ไปที่เหล่ากอหญ้าขนาดไม่ใหญ่นัก
“หมิงเอ๋อร์ พวกนั้นมันต้นหญ้าทั้งนั้น ไม่ใช่สมุนไพร ไม่ใช่อาหาร ไม่ใช่ผักป่าและยังไม่ใช่ดอกไม้ด้วย ไม่มีใครกินมัน กลิ่นมันเหม็นเขียวและฉุน พ่อขึ้นเขามาก็เห็นแบบนี้ตลอด”
“ท่านพ่อ มันคือต้นหญ้าหวาน มันให้รสหวานเหมือนน้ำตาลเลยขอรับ”
“รสหวานเหมือนน้ำตาลเช่นนั้นหรือ”
“ใช่แล้วขอรับ แต่ว่ามันต้องเอาไปตากแห้งก่อนแล้วนำไปต้มกับน้ำ มันจะกลายเป็นน้ำเชื่อม เราสามารถเอาไปทำอาหาร ทำขนม หรือชงดื่มเป็นชาได้ขอรับ ข้อดีอีกอย่างคือเก็บไว้ได้นาน” อี้หมิงเริ่มอธิบายอีกครั้ง “ท่านพ่อ น้ำตาลและเกลือในตลาดราคาเท่าไรหรือขอรับ”
“ถ้าพ่อจำไม่ผิด น้ำตาลราคาจินละสี่สิบอีแปะ เกลือแพงมาก ราคาประมาณจินละหกสิบห้าอีแปะ”
“แพงมากเลยขอรับ ท่านพ่อไปทำงานที่บ้านท่านลุงเย่ได้ค่าจ้างวันละยี่สิบอีแปะเท่านั้นเอง ข้าเข้าใจแล้วขอรับว่าเหตุใด บ้านเราถึงไม่มีเกลือหรือน้ำตาลกินเลย เพราะมันแพงเช่นนี้นี่เอง ถ้าข้าทำน้ำตาลผักออกมาขาย ท่านพ่อว่ามันจะขายได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเงยหน้าเอ่ยกับบิดา ดวงตามีไฟลุกวาวด้วยความตื่นเต้น
“น้ำตาลผักหรือหมิงเอ๋อร์” จางอี้เทานึกตรอง “พ่อก็บอกเจ้าไม่ได้เช่นกัน เพราะน้ำตาลผักที่เจ้าว่า ชาวบ้านหรือแม้แต่ตัวของพ่อเองยังไม่รู้จัก”
“ท่านพ่อ ข้าอยากทำน้ำตาลผักออกมาขายดู ข้าว่ามันต้องขายได้แน่นอน ขั้นตอนการทำไม่ยากเลยขอรับ อีกอย่างท่านพ่อดูนั่นสิ เรามีเจ้าต้นหญ้าหวานมากมายขนาดนี้ ทำขายไปอีกสิบปีก็ไม่หมด ที่สำคัญเราไม่ต้องลงทุนแม้แต่อีแปะเดียวขอรับ”
“เป็นเช่นนั้นหรือหมิงเอ๋อร์ น้ำตาลผักนี่ก็เป็นสิ่งที่ชาวสวรรค์กินกันเช่นนั้นหรือ”
“ใช่แล้วขอรับ น้ำตาลผักมีประโยชน์มากเลยนะขอรับ โดยเฉพาะท่านย่าที่แก่แล้ว” อี้หมิงพูดชักจูง หญ้าหวานพวกนี้มีมากมาย สามารถนำมาทำขายได้ตลอดโดยที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุน
“เช่นนั้นหมิงเอ๋อร์ลองบอกพ่อมาสิว่าพ่อต้องทำเช่นใดบ้าง”
“ท่านพ่อตัดเอากิ่งต้นหญ้าหวานใส่ตะกร้าเลยขอรับ เลือกเอากิ่งที่ไม่มีดอกสีขาวนะขอรับ เพราะพวกที่มีดอก มันจะทำให้มีรสขมและกลิ่นแรงมาก รสของมันหวานมากเลยขอรับ เราใช้ไม่เยอะ วันนี้เราตัดไปแค่พอทดลองทำก่อนก็ได้ขอรับ” เด็กน้อยพูดเจื้อยแจ้ว
“ใช่แล้วท่านพ่อ เราทำออกมาแล้วเอาไปให้ท่านลุงเย่ลองชิมดูเพื่อตอบแทนที่ท่านลุงเย่ให้เนื้อเรามาเมื่อวานนี้ ดีหรือไม่ขอรับ”
“ดีมากหมิงเอ๋อร์ ท่านลุงเย่ดีต่อครอบครัวเรามาก ถ้ามีโอกาสเราต้องตอบแทนบุญคุณครอบครัวซุนให้มาก รู้หรือไม่”
“ข้าทราบแล้วขอรับ”
สองพ่อลูกช่วยกันตัดเอากิ่งหญ้าหวานใส่จนเต็มตะกร้าด้านหลัง จางอี้เทาพาบุตรชายกลับขึ้นมาด้านบนเมื่อได้ในจำนวนที่มากพอ
“ท่านพ่อขอรับ อย่าลืมสถานที่ตรงนี้นะขอรับ เพราะต่อไปท่านพ่อต้องขึ้นเขามาเก็บเจ้าต้นหญ้าหวานเมื่อเราต้องทำน้ำตาลผักในอนาคต”
“หมิงเอ๋อร์ ไม่ต้องเป็นกังวล ที่ตรงนี้พ่อจำได้”
“ขอรับ”
“หมิงเอ๋อร์ พวกเราลองเดินลึกเข้าไปอีกหน่อยดีหรือไม่ ยังพอมีเวลา แถวนี้ไม่มีสมุนไพรหรือผักป่าให้พวกเราได้เก็บเลย”
“ข้าว่าเรากลับกันดีกว่าขอรับ ต้นหญ้าหวานต้องตากให้แห้งสักสามชั่วยาม ถ้าเรารีบกลับไปตอนนี้ คืนนี้ข้าจะทำน้ำตาลผักให้ท่านพ่อได้ชิม อีกอย่างที่บ้านมีผักบุ้งกับน้ำมันอยู่ พวกเรากินผัดผักบุ้งไปก่อนก็ได้ขอรับ”
“พ่อตามใจเจ้า หมิงเอ๋อร์”
เมื่อตกลงกันได้แล้ว สองพ่อลูกจึงพากันเดินลงเขา รีบตรงกลับบ้าน ระหว่างทางจางอี้เทาเดินจูงมือบุตรชายสอบถามพูดคุยถึงการสร้างบ้านดินที่เขาก็ให้ความสนใจไม่น้อย พรุ่งนี้เขาจะนำน้ำตาลผักที่บุตรชายบอกว่าเป็นอาหารสวรรค์ไปฝากบ้านพี่เย่และพูดคุยเรื่องการสร้างบ้านดิน
จางอี้เทากระชับมือบุตรชายแน่นขึ้นอีกนิด หลังจากฟื้นขึ้นมาจากความเจ็บไข้ ลูกชายของเขาก็กลายเป็นเทพบุตรตัวน้อยที่คอยปัดเป่าไล่ความโชคร้าย เฉลียวฉลาดเกินเด็กในวัยเดียวกันไปมาก อีกทั้งยังนำความโชคดีต่าง ๆ มาด้วย
ขอบคุณสวรรค์ยิ่งนักที่คืนบุตรชายเขากลับมา
เหตุการณ์เช่นนี้เป็นไปตามการคาดการณ์ของจางอี้หมิงทุกอย่าง กลยุทธ์นี้จางอี้หมิงอ่านเจอในนิทานพื้นบ้านท้องถิ่นของภาคอีสาน เขาจึงนำมาปรับใช้ในการแข่งขันในครั้งนี้ ด้วยลักษณะนิสัยของพ่อครัวหลวงนั้นเย่อหยิ่งและเขาจะต้องเร่งทำอาหารให้เสร็จโดยไว แล้วก็เป็นไปตามที่จางอี้ หมิงคาดไว้ เหลาอาหารเฟิงฟู่ทำปักษาล่องลมเสร็จตั้งแต่ต้นยามอู่ (11.00 – 12.59) ซึ่งคณะผู้ตัดสินต่างก็อิ่มอาหารจากที่บ้านมาก่อนแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงชิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจางอี้หมิงจึงให้พ่อครัวเหลาอาหารซิ่งฝูเตรียมวัตถุดิบทุกอย่างให้พร้อมในช่วงเวลานั้น คล้ายกับการขยับเวลาออกไป เมื่อเหลือเวลาหนึ่งชั่วยามสุดท้าย พวกเขาจึงเริ่มลงมือทำอาหาร ในชาติก่อนแค่เพียงไข่เจียวธรรมดา ถ้าต้องมาได้กลิ่นในยามที่หิวจัด กลิ่นของไข่เจียวก็หอม กระตุ้นต่อมอยากอาหารได้มากโข จางอี้หมิงจึงใช้ความจริงข้อนี้มาทำให้เกิดข้อได้เปรียบของเหลาซิ่งฝูแม้แต่แขกผู้สูงศักดิ์ที่ไม่เคยได้ลิ้มลองกับความอดอยาก พวกเขากินข้าววันละสามมื้อ แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมานานเสียจนเลยเวลามื้ออาหารกลางวันมาถึงยามเว่ยแล้ว ความหิวจึงมาเยือนได้ง่าย พอถูกกระตุ้นด้วยกลิ่นไข่เจียวร้อ
เมื่อเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม จางอี้หมิงจึงพยักหน้าส่งสัญญาณให้ท่านลุงอู๋เจ๋อเริ่มทำการปรุงอาหารของเหลาอาหารซิ่งฝูทันที โดยรายการอาหารที่จางอี้หมิงเลือกใช้ในการแข่งขันนี้คือไข่ม้วนข้าวผัดกุ้ง เนื่องจากอู๋เจ๋อฝึกการทำไข่ม้วนข้าวผัดกุ้งมาตลอดหนึ่งเดือนนี้จึงมั่นใจว่าตนทำได้ดี แต่เมื่อต้องมาทำต่อหน้าเหล่าชาวบ้านชาวเมือง เขาก็ได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเรียกกำลังใจให้กับตนเอง จางอี้หมิงเห็นดังนั้นจึงเอ่ยให้กำลังใจท่านลุงอู๋อีกที“ท่านลุงอู๋ ไม่ต้องตื่นเต้นนะขอรับ ทำตามที่เราฝึกกันมา ท่านลุงอู๋เก่งอยู่แล้ว ท่านทำได้แน่นอน”“หมิงหมิงน้อย การทำอาหารชนิดนี้มันยังไม่เคยมีมาก่อนนะ ข้ากลัวว่ามันจะสู้รายการอาหารของเหลาเฟิงฟู่ไม่ได้ ฝ่ายนั้นทำปักษาล่องลมเชียวนะ แล้วไข่ม้วนของเราจะสู้ได้หรือไม่”อู๋เจ๋อเปรยออกมาเบา ๆ หากเขาเป็นกรรมการก็คงให้รายการอาหารของเหลาเฟิงฟู่ชนะเช่นกัน“ท่านลุงอู๋มิเชื่อฝีมือข้าหรือขอรับ พวกเราต้องชนะแน่นอนขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยทั้งปลอบใจและให้กำลังใจไปด้วยในคราเดียวในการทำไข่ม้วนสิ่งสำคัญคือการม้วนไข่ไม่ให้ขาดและไม่ติดหม้อ หากเป็นในยุคปัจจุบันอี้หมิงจะไม่มีความกังวลเ
ผ่านไปครึ่งชั่วยามไก่นึ่งของทางเหลาอาหารเฟิ่งฟูก็สุกได้ที่ เล่อหยุนจึงทำการรมชาเป็นขั้นตอนสุดท้าย เมื่อคำนวณเวลาโดยประมาณแล้ว ฝั่งของเขาจะเสร็จก่อนเวลาที่กำหนดถึงหนึ่งชั่วยามการรมชาทำได้ไม่ยาก เพียงแต่ก่อนทำการรมชา เล่อหยุนนำน้ำผึ้งผสมด้วยซีอิ๊วมาทาลงไปบนตัวไก่ที่นึ่งสุกแล้วเพื่อให้ตัวไก่มีสีสันสวยงาม หลังจากนั้นจึงนำข้าวสาร น้ำตาล และใบชาชั้นดีลงไปคั่วในหม้อจนน้ำตาลเริ่มละลาย เมื่อควันเริ่มลอยออกมาจึงนำหม้อนึ่งไก่ลงไปอบด้วย เขาใช้เวลาประมาณ 60 ลมหายใจ ก่อนจะยกหม้อลงจากเตาและทำการรมควันแบบนั้นไปอีกหนึ่งเค่อ เพียงเท่านี้ก็จะได้ปักษาล่องลมที่มีสีสันน่ากินและรสชาติล้ำเลิศแล้วเล่อหยุนตกแต่งอีกเพียงเล็กน้อย เขาทำการตัดชิ้นส่วนของปักษาล่องลมให้พอดีคำ ง่ายต่อการชิมของคณะผู้ตัดสิน นอกจากนำไปส่งให้กับคณะผู้ตัดสินแล้ว อาหารอีกหนึ่งชุดถูกนำไปขึ้นโต๊ะให้กับแขกผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายได้ทดลองชิมเช่นกัน“ไก่ชิ้นนี้อร่อย นุ่ม หอมกลิ่นชาเมื่อกินกับข้าวร้อน ๆ เข้ากันได้อย่างลงตัว”“ในเมืองหน้าด่านเช่นนี้ เพียงอาหารที่อร่อยและใช้วัตถุดิบน้อย ก็เป็นสิ่งที่พ่อครัวต้องคิดถึงเช่นกัน ปักษาล่องลม ถือว่าได้คุ
การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นทันทีที่เสียงประกาศจบลง บรรดาชาวบ้านที่มามุงดูการแข่งขันของสองเหลาอาหารชื่อดังต่างพากันเงียบเสียงเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนการปรุงอาหารของผู้แข่งขัน หนิงอ๋องแย้มรอยยิ้มให้กำลังใจจางอี้หมิงเมื่อเด็กน้อยเพียงหนึ่งเดียวก้มศีรษะคารวะทำความเคารพไปยังที่นั่งของแขกผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายอดีตพ่อครัวหลวงอย่างเล่อหยุนเองก็ยิ้มย่อง รายการอาหารที่เขาเลือกนำมาปรุงในวันนี้คือ ปักษาล่องลม หรือ ไก่รมชา นั่นเอง ขั้นตอนการปรุงปักษาล่องลมนั้นก็ไม่ยุ่งยากวัตถุดิบน้อยอย่างแต่กลับมีรสชาติที่น่าทึ่ง เล่อหยุนใช้ไก่ทั้งตัว ล้างทำความสะอาดและใช้ผ้าขาวซับน้ำให้ตัวไก่แห้งสนิท ตามด้วยสมุนไพรฮวาเจียว ขิง ต้นหอม ใส่ลงไปในตัวไก่เสร็จแล้วจึงกลัดด้วยไม้เสี้ยนเพื่อให้เครื่องเทศอยู่ในตัวไก่ไม่หลุดออกมาหลังจากนั้นใช้เกลือเม็ดมาทาทั่วทั้งตัวไก่แล้วตามด้วยพริกหอมฮวาเจียวอีกครั้ง ก่อนนำไปพักไว้ให้ตัวไก่ได้ดูดซับเอาเครื่องเทศเข้าไป ทางเหลาอาหารเฟิงฟู่ทำปักษาล่องลมทั้งหมด 5 ตัว ในระหว่างที่รอหมักไก่ให้เข้าที่ พ่อครัวหลายคนของเหลาเฟิงฟู่ก็เดินมายืนชมพ่อครัวเหลาอาหารซิ่งฝูพลางส่งเสียงเยาะเย้ยถากถางไม่หยุด“อา
ดั่งสายลมพัดผ่าน สายน้ำมิเคยไหลกลับ กาลเวลาเคลื่อนคล้อยตามที่ควรจะเป็น เช้าวันนี้ในเมืองไห่ถังต่างคราคร่ำไปด้วยผู้คนทั้งชาวบ้าน คหบดี หรือข้าราชสำนัก ไม่ว่าจะเป็นชาวเมืองไห่ถังเองหรือชาวเมืองใกล้เคียงบรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน สมกับเป็นงานรื่นเริงประจำเมืองที่จะจัดขึ้นในทุกๆ ปีมีกลุ่มคนบางคนรับทายผลการพนันว่าเหลาอาหารไหนจะได้ตำแหน่งไปครอบครอง ถึงแม้ว่าจะมีการรับพนันแบบลับๆ ก็ตาม โดยเหลาอาหารเฟิงฟู่ยังคงเป็นที่นิยมของชาวเมือง เนื่องจากข่าวที่เหลาอาหารเฟิงฟู่ได้อดีตพ่อครัวหลวงมาเป็นพ่อครัวในการลงแข่งขันนั้นถูกกระพือออกไปให้รู้กันถ้วนหน้า ในส่วนของเหลาอาหารซิ่งฝูถึงแม้ว่าระยะเวลาหนึ่งปีมานี้จะมีลูกค้าหนาแน่น อาหารน่ากินและแปลกใหม่ก็ตาม แต่ก็เหมือนการแบ่งแยกชนชั้นว่าเป็นเหลาอาหารของชาวบ้านมากกว่า จึงยังคงเป็นรองเหลาอาหารเฟิงฟู่อยู่ขั้นหนึ่งณ ลานกลางเมือง ซึ่งเป็นสถานที่ในการจัดการแข่งขันการทำอาหาร บัดนี้ถูกแบ่งพื้นที่เป็นสองฝั่ง เจ้าเมืองได้เดินทางมาเป็นประจักษ์พยาน นอกจากนั้นยังมีหนิงอ๋อง อ๋องน้อยหนิงเทียน อาจารย์เทียน และพ่อครัวหลวงบางคนที่ท่านเจ้าเมืองได้เชิญมาเพื่อเป็นเกียรติแก่
วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็วสำหรับครอบครัวจางที่มีงานรัดตัว อีกเพียงสามวันก็จะถึงวันแข่งขันทำอาหารเพื่อชิงตำแหน่งเหลาอาหารอันดับหนึ่ง บรรดาเหลาอาหารเล็กๆต่างพากันถอนตัวออกไปมาก ด้วยพวกเขาทราบกันว่าพ่อครัวของเหลาอาหารเฟิงฟู่เป็นถึงอดีตพ่อครัวหลวง ผู้ซึ่งเคยประกอบสำรับถวายฮ่องเต้แคว้นฉินมาแล้ว หากดึงดันลงแข่งไปก็หาทางเอาชนะได้ยาก ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือเพียงเหลาอาหารเฟิงฟู่และเหลาอาหารซิ่งฝูเท่านั้นในการจับไม้สั้นไม้ยาว เหลาอาหารเฟิงฟู่จะได้ทำอาหารก่อนและตามด้วยเหลาอาหารซิ่งฝู ผลการแข่งขันจะมาจากการให้คะแนนของชาวเมืองไห่ถังหนึ่งส่วน โดยให้ชาวเมืองนำเงินไปหย่อนลงในกล่อง หนึ่งอีแปะเท่ากับหนึ่งคะแนน เมื่อสิ้นสุดการแข่งขันแล้ว เงินจำนวนนี้จะนำไปช่วยเหลือชาวบ้านที่เจ็บป่วยไม่มีเงินหาหมอต่อไปและอีกหนึ่งส่วนเป็นการให้คะแนนจากพ่อครัวจากเหลาอาหารในเมืองหลวง จำนวน 5 ท่าน เมื่อนำคะแนนมารวมกันแล้วเหลาอาหารใดได้คะแนนมากที่สุด จะได้ขึ้นป้ายเป็นเหลาอาหารอันดับหนึ่งของเมืองไห่ถังต่อไปเกณฑ์การนับคะแนน สถานที่แข่งขัน และวันเวลาในการแข่งขัน ล้วนถูกประกาศออกไปทั้งหมดแล้ว ชาวเมืองต่างพากันอดใจรอไม่ไหวที่