เช้าวันใหม่มาถึงคณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างรีบเร่งออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ จุดหมายคือเขตป่าชั้นกลางของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณ เนื่องจากบริเวณป่าชั้นนอกจะมีเพียงสัตว์อสูรทั่วไปหรือสัตว์อสูรปฐพีเท่านั้น หากเข้าสู่เขตป่าชั้นกลางเป็นต้นไปจึงจะพบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นต่ำหรือขั้นกลางและหากโชคดีมากพออาจได้พบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นสูงก็เป็นไปได้เช่นกัน
สำหรับสัตว์อสูรมายาขั้นต่ำเป็นต้นไป สัตว์อสูรเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีความนึกคิด อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่ง สามารถใช้ปราณธาตุของตนโจมตีผู้บุกรุกในอาณาเขตของตน อาจพบเห็นได้บ้างตามแนวรอยต่อของป่าชั้นกลางติดกับเขตป่าชั้นในกระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ ระหว่างทางพวกเขาต่างพบเจอกับสัตว์อสูรไปไม่น้อย แต่เพราะยังมีอายุที่ไม่เหมาะสม อีกครั้งความสามารถยังเข้าไม่ได้กับวิญญาณยุทธ์ของพวกเขาทั้งสอง เห็นได้ว่าการเสาะหากระดูกวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด อายุของสัตว์อสูรจะสังเกตได้จากสีของพลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมา จะเป็นสีเดียวกันกับพลังวิญญาณ แม้จะเป็นเผ่าพันธ์เดียวกันแต่มีอายุต่างกันไม่กี่ร้อยปี ย่อมส่งผลให้มีช่องว่างของคุณสมบัติที่โดดเด่นแตกต่างกันลิบลับ ดังนั้นจึงควรระวังในการเลือกกระดูกวิญญาณเป็นพิเศษ สำหรับเป้าหมายในการตามล่าสัตว์อสูรที่เทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณครั้งนี้ เป็นเพียงการเสาะหากระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรนภาที่มีอายุไม่เกินสองพันปี ถือว่าเป็นการฝึกฝนสร้างประสบการณ์แก่เด็กหนุ่มทั้งสองคนในเส้นทางวิถีของผู้ฝึกตน ดังนั้นหวังฮุ่ยจึงเลือกที่จะไม่ถึงเขตพื้นที่ส่วนชั้นกลางของเทือกเขาก็เพียงพอแล้ว การดูดซับกระดูกวิญญาณเพื่อได้มาซึ่งความแข็งแกร่งและความสามารถของสัตว์อสูรย่อมมีกฎเกณฑ์ที่ผู้ฝึกตนต้องรับทราบและควรปฏิบัติตาม นั่นคือผู้ฝึกตนในแต่ละระดับขั้นพลังวิญญาณจะสามารถดูดซับกระดูกวิญญาณจากสัตว์อสูรในช่วงอายุที่แตกต่างกันออกไป เนื่องจากร่างกายและพลังวิญญาณสามารถรองรับได้เพียงเท่านี้ในขณะนั้น “สัตว์อสูรที่เราต้องการไม่ใช่สัตว์อสูรทั่วไประดับต่ำ โดยปกติแล้วการดูดซับกระดูกวิญญาณจะต้องผันแปรไปในทิศทางเดียวกันกับพลังวิญญาณ” “ดังนั้นด้วยระดับขุนนางวิญญาณของทั้งสอง จำเป็นต้องดูดซับกระดูกวิญญาณแรกนี้ที่มีอายุไม่เกินสองพันปี ยิ่งสัตว์อสูรใช้เวลาในการบำเพ็ญตบะยิ่งนาน พลังที่แท้จริงก็ยิ่งแข็งแกร่ง ความสามารถจากกระดูกวิญญาณก็จะยิ่งสมบูรณ์…” “แล้วความแข็งแกร่ง ความสามารถที่ผู้ฝึกตนได้รับจากกระดูกวิญญาณจะปรากฎให้เห็นเป็นอย่างไรหรือขอรับ?” หนิงอ้ายแม้จะศึกษาเรื่องราวเหล่านี้มาไม่น้อย แต่ยังมีบางจุดที่ยังสงสัยอยู่บ้าง “กระดูกวิญญาณสามารถเพิ่มคุณสมบัติหรือพิเศษของวิญญาณยุทธ์ให้แก่ผู้ฝึกตนได้ อย่างเช่นวิญญาณยุทธ์ของคุณชายเป็นพัดหยกมีดบินปราณธาตุน้ำ หากประสานเข้ากับกระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรปราณธาตุน้ำไป การควบคุมบัญชาการก็จะมั่นคงขึ้นโดยไม่สิ้นเปลืองพลังลมปราณอีกด้วย…” “ความแข็งแกร่งของสัตว์อสูร หากไม่นับรวมไปถึงความพิเศษที่สืบทอดผ่านสายเลือดหรือเผ่าพันธ์ แน่นอนว่าจำนวนปีที่สัตว์อสูรบำเพ็ญตบะที่แตกต่างกันย่อมส่งผลไปถึงความแข็งแกร่งทั้งสิ้น…” “กระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรสี่พันปี ย่อมมีความแข็งแกร่งที่มากกว่ากระดูกวิญญาณอายุสองพันปี อย่างเห็นได้ชัดแม้จะเป็นสัตว์อสูรเผ่าพันธ์เดียวกันนั่นเอง...” หวังฮุ่ยอธิบายให้ได้เข้าใจมากขึ้น “มากไปกว่านั้น สัตว์อสูรที่ถูกสังหารจิตสุดท้ายย่อมมีความรู้สึกโกรธแค้นไม่ยินยอม หากมีพลังมากพอมันย่อมสามารถเลือกที่จะปลิดชีพตนเองเพื่อไม่ให้ถูกช่วงชิงกระดูกวิญญาณไปได้…”“…”
“ดังนั้นในการดูดซับกระดูกวิญญาณประสานเข้ากับร่างกาย ผู้ฝึกตนจึงควรพร้อมไปด้วยสติและพลังวิญญาณที่มากพอ สิ่งที่พึงกระทำคือไม่ควรดูดซับกระดูกวิญญาณข้ามขั้นระดับของตน เพราะหากกระทำโดยไม่คิดผลที่ตามหลังเช่นนี้ ร่างกายของผู้ฝึกตนย่อมไม่อาจรองรับพลังของกระดูกวิญญาณ บทสรุปสุดท้ายจะเป็นเช่นไรสุดจะหยั่งรู้ได้…”
“เข้าใจแล้วขอรับ!!” หนิงอ้ายกับลู่ซีพยักหน้ารับคำของหวังฮุ่ย หวังฮุ่ยตั้งใจพาหนิงอ้ายกับลู่ซีเสาะหากระดูกวิญญาณจากสัตว์อสูรที่เหมาะสมกับทั้งสองคนมากที่สุด ด้วยระดับขุนนางวิญญาณของทั้งสองคนแล้วสัตว์อสูรที่เหมาะสมคืออสูรนภาขั้นกลางหรือขั้นสูงที่มีอายุไม่เกินสองพันปี เมื่อสังหารสัตว์อสูรแล้วกระดูกวิญญาณจะปรากฎขึ้นรอบ ๆ ร่างไร้วิญญาณ หากไม่ถูกดูดซับหรือนำไปใช้ประโยชน์สิ่งอื่นเมื่อครบกำหนดเวลาก็จะซ่านสลายหายไปหลอมรวมเข้ากับปราณฟ้าดินอีกครั้งเป็นวัฏจักรหมุนเวียนไม่จบสิ้น… การเดินทางยังคงเป็นไปด้วยความระมัดระวัง หลังจากเดินเท้ามาได้เกือบหนึ่งชั่วยาม พวกเขาทั้งสี่คนได้เข้าสู่เขตป่าชั้นกลางของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณแล้ว สังเกตได้ว่ามีความหนาแน่นของลมปราณฟ้าดินบริสุทธิ์ที่เพิ่มขึ้นจากเขตป่าชั้นนอกหลายเท่า ต้นไม้สูงใหญ่ที่คาดว่ามีอายุหลายร้อยปีต่างปรากฏให้เห็นไปสุดสายตา กลุ่มหมอกสีขาวฟุ้งลอยละล่องหยอกล้อไปกับเถาวัลย์ที่ห้อยระย้าลงมา ให้ความรู้สึกที่งดงามแต่ทว่ายังคงแปลกตาในความรู้สึก แต่ถึงอย่างไรด้วยสัญญาติญาณอันลึกล้ำของผู้ฝึกตนพวกเขาต่างเฝ้าระวังอย่างเต็มที่ไม่อาจประมาทได้เลยแม้แต่น้อยหนิงอ้ายเก็บเกี่ยวสมุนไพรไปหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรระดับต้นที่เก็บได้ตั้งแต่เขตป่าชั้นนอกแล้ว ยังได้สมุนไพรระดับกลางรวมไปถึงสมุนไพรระดับสูงอีกจำนวนไม่น้อยที่ขึ้นอยู่มากมายในเขตป่าชั้นกลางเช่นกัน กล่าวได้ว่าเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณนอกจากจะเต็มไปด้วยสัตว์อสูรหลากหลายเผ่าพันธุ์แล้ว ยังมีความอุดมสมบูรณ์ที่ส่งผลให้มีสมุนไพรระดับต่าง ๆ ขึ้นอยู่อย่างมากมาย ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสมุนไพรล้วนเป็นหนิงอ้ายคนเก่าที่ชื่นชอบในการศึกษาตำราที่เกี่ยวข้องเหล่านี้ทั้งสิ้น
ในฐานะที่หนิงอ้ายครอบครองความสามารถประเภทจิตวิญญาณหยั่งรู้ที่หาได้ยากดังเช่นเนตรแห่งสวรรค์แล้ว ประสาทสัมผัสการรับรู้จึงมีความแข็งแกร่งในการสัมผัสถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างไม่ยากนัก เขาที่ฝึกหนักตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้เพียงเพื่อใช้ประโยชน์วันนี้
ตู้ม!
โฮก!
เสียงของการต่อสู้และเสียงคำรามที่ดังขึ้นของสัตว์อสูรได้เรียกความสนใจของทุกคนในที่นี้ หวังฮุ่ยส่งสัญญาณให้รีบติดตามไปยังจุดดังกล่าวเนื่องจากว่าอยู่ไม่ไกลไปจากพวกเขามากนัก หนิงอ้ายรู้สึกได้ว่าเลือดกำลังเดือดพล่านพร้อมกับสัญชาติญาณที่ถูกเร่งเร้าออกมาอย่างเต็มที่ พวกเขาทั้งหมดต่างเร่งฝีเท้ามุ่งตรงไปในทันที “ระวังตัวด้วย!!” หวังฮุ่ยเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วง ด้วยเพราะไม่รู้ว่าสัตว์อสูรตรงหน้าเป็นเผ่าพันธ์ใด“วิญญาณยุทธ์จอมราชันย์หมาป่าเดียวดาย สถิตร่าง!!!”หวังฮุ่ยเอ่ยขึ้นพร้อมกับเรียกวิญญาณยุทธ์ของตนออกมา ปรากฎเป็นวงแหวนสีเขียวน้ำตาลอันเป็นสัญลักษณ์ของผู้ฝึกตนปราณธาตุลม ก่อนจะปรากฎบางสิ่งที่ถูกเรียกออกมาที่มีรูปร่างคล้ายกับหมาป่าขนสีเทาเงินรูปร่างขนาดใหญ่สองถึงสามเมตร ก่อนที่ชั่วครู่จะหดตัวจนมีขนาดตามปกติ ดวงตาสีเขียวหม่นรับกับขนสีเทาดำสลับลวดลายที่เข้ากันอย่างน่าประหลาด จากนั้นกลิ่นอายของสัตว์อสูรได้แผ่ปกคลุมร่างของพวกเข้าทั้งสี่คนในที่สุด
“นี่คือวิญญาณยุทธ์ของข้า เป็นประเภทสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุลม คุณสมบัติพิเศษอีกอย่างของมันคือการลบตัวตน…” “นำทางพวกข้าไปได้แล้ว!!” ทันทีที่ได้ยินคำสั่ง หมาป่าขนสีเงินเทาตรงหน้าได้มุ่งตรงไปยังทิศทางของเสียงเมื่อครู่อย่างไม่รีรอเมื่อไปถึงก็เห็นเป็นราชสีห์สีน้ำตาลครามสองตัวที่มีขนาดสูงใหญ่ประมาณสองเมตร ลำตัวมีขนปกคลุมไปทั่ว ดวงตาสีดำขลับ พร้อมกับกรงเล็บที่แหลมคม เขี้ยวของสัตว์อสูรทั้งสองต่างโผล่พ้นจากปากกว้างที่เปียกชุ่มไปด้วยของเหลวสีแดง ก่อนที่จะส่งเสียงคำรามต่ำพร้อมกับกระทืบขาหลังอย่างแรง และกระโจนเข้าหาต่อสู้กันอยู่อย่างดุเดือด บริเวณโดยรอบในรัศมี1ลี้ล้วนถูกทำลายไปสิ้น
เนตรแห่งสวรรค์!
เพียงแค่บัญชาการในใจพร้อมกับถ่ายเทพลังวิญญาณไป ข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์อสูรตรงหน้าล้วนปรากฏให้หนิงอ้ายรับรู้ทั้งสิ้น ในสภาวะการสัมผัสสองลี้ของเขา ทำให้ทุกสิ่งล้วนตกอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ
“นี่คือสัตว์อสูรนภาขั้นกลางที่มีนามว่าราชสีห์สัตตะโลหิตสีคราม ขึ้นชื่อถึงความว่องไวในการโจมตีรวมไปถึงกรงเล็บที่แหลมคมไม่ต่างไปจากศาสตรวุธระดับสูง เส้นขนที่ปกคลุมตัวก็มีความทนทานเป็นอย่างมาก ดูไปแล้วน่าจะมีอายุราว ๆ เกือบสองพันปีได้...”
“สังเกตจากร่องรอยของการต่อสู้นี้พอรู้ได้ว่านี่คงเป็นการแย่งชิงพื้นที่ปกครองของเป็นแน่ อสูรราชสีห์สัตตะโลหิตสีครามขึ้นชื่อในเรื่องการหวงถิ่นเป็นอย่างมาก อีกไม่นานการต่อสู้นี้คงจบลงด้วยผลที่ว่าสัตว์ทั้งสองล้วนตกตายไปทั้งคู่อย่างแน่นอน...” หวังฮุ่ยเอ่ยเสริมออกมาพรึบ! “ข้าจะช่วยให้เรื่องราวจบลงอย่างไม่ยุ่งยากเองขอรับ!!” หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับทะยานตัวเข้าไปในการต่อสู้ของสัตว์อสูรทั้งสองในทันที “ผู้อาวุโสข้าขอไปช่วยคุณชายนะขอรับ!” ลู่ซีพูดออกมาพร้อมกับพุ่งทะยานตามหนิงอ้ายมาด้วยความรวดเร็วปัง!โฮก! ฝ่ามือที่เต็มไปด้วยความรุนแรงมากกว่าห้าส่วนของลู่ซีได้ฟาดไปยังส่วนลำตัวของอสูรราชสีห์สัตตะโลหิตสีครามอย่างแม่นยำจนมันร้องเสียงดังออกมาด้วยความเจ็บปวด เนื่องจากการเสริมพลังปราณของลู่ซีเมื่อครู่จึงทำให้ฝ่ามือที่ฟาดไปเกิดเป็นการโจมตีที่แรงมาก แต่ถึงอย่างไรอสูรราชสีห์สัตตะโลหิตสีครามก็หาใช่เป็นลูกพลับนิ่มที่สามารถบีบเล่นได้โดยง่าย ตรงลำตัวที่ถูกฝ่ามือฟาดไปนั้นเกิดเป็นรอยยุบลงไปพียงเล็กน้อยเห็นได้ว่าความทนทานของขนที่ปกคลุมตัวนั้นคือเรื่องจริง จากนั้นอสูรราชสีห์สัตตะโลหิตสีครามตัวดังกล่าวได้พุ่งเข้าโจมตีกลับลู่ซีด้วยความรวดเร็วหลังจากที่ราชาราชสีห์พลาดการโจมตีไปถึงสองครั้งติดกัน ดูเหมือนว่ามันจะโกรธจัดเข้าเสียแล้ว ร่างกายใหญ่โตที่เต็มไปด้วยมวลกล้ามเนื้อที่แข็งแก่รง พร้อมกับส่งการโจมตีออกไปอีกครั้ง เกิดเป็นลูกไฟสีขาวพุ่งตรงไปจุดที่ลู่ซียืนอยู่ด้วยความรวดเร็ว
หวังฮุ่ยแม้ว่าจะเป็นห่วงลู่ซีไม่น้อย แต่ทว่าประสบการณ์จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากคนผู้นั้นไม่ได้ลงมือกระทำด้วยตนเอง ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะไม่เข้าไปยุ่งการสังหารครั้งนี้ ด้วยเพราะเชื่อว่าด้วยพลังลมปราณของขุนนางวิญญาณระดับที่25 ย่อมไม่ตกเป็นรองอสูรราชสีห์สัตตะโลหิตสีครามที่เป็นเพียงสัตว์อสูรระดับนภาขั้นกลาง เพราะก่อนหน้ามันก็ได้รับบาดเจ็บไปไม่น้อยลู่ซีใช้จังหวะนี้เคลื่อนไหวด้วยเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้เบี่ยงตัวหลบการโจมตีดังกล่าว ก่อนที่จะส่งพุ่งทะยานลักลอบเข้าฟาดช่วงลำคอจากทางด้านหลังทันที การโจมตีทีเผลอนี้ส่งผลให้ร่างใหญ่โตของมันกระแทกพื้นไปไกล แต่นั่นยังคงไม่อาจจะหยุดยั้งมันได้ เมื่อตั้งตัวได้และเร่งเร้าความเร็วถึงขีดสุด มันก็พุ่งกระโจนเข้าโจมตีลู่ซีอีกครั้ง
โฮก!ตู้ม! หลังจากที่ลู่ซีได้ดึงความสนใจสัตว์อสูรราชสีห์สัตตะโลหิตสีครามให้เข้าโจมตีตัวเองแล้ว ทางฝั่งของหนิงอ้ายได้ตั้งท่ารับมือด้วยความไม่ประมาท เนตรแห่งสวรรค์ทำให้รู้ได้ว่าสัตว์อสูรที่อยู่ตรงหน้านเป็นอส๔รนภาขั้นกลางที่อีกเพียงก้าวเดียวก็จะเลื่อนขั้นเป็นขั้นสูงแล้วด้วยพลังลมปราณขุนนางวิญญาณระดับที่29 ของหนิงอ้ายในตอนนี้ถือได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนขุนนางวิญญาณขั้นสูงคนหนึ่ง จึงไม่เกิดความเสียเปรียบใดกับอสูรราชสีห์สัตตะโลหิตสีครามที่มีพลังเทียบเท่าระดับขุนนางวิญญาณขั้นสูงเช่นเดียวกัน ในช่วงเวลาที่สำคัญนี้ แม้ว่าบรรยากาศจะเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารอันเข้มข้นของสัตว์อสูรตรงหน้า แต่หนิงอ้ายยังจ้องมองอีกฝ่ายไร้ซึ่งความหวั่นไหว และมองดูการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายด้วยความสนใจ
โฮก!ฟิ้ว! อสูรราชสีห์สัตตะโลหิตสีครามไม่รอช้าพุ่งเข้าโจมตีหนิงอ้ายด้วยความเร็ว แน่นอนว่าทุกการคลื่อนไหวทุกสรรพสิ่งในรัศมีสองลี้ล้วนตกอยู่ในการรับรู้ของหนิงอ้ายทั้งสิ้น เด็กหนุ่มสามารถหลบหลีกได้อย่างเชี่ยวชาญพร้อมกับส่งการโจมตีทางร่างกายกลับไปไม่น้อย เนตรแห่งสวรรค์ถูกเรียกใช้ออกมาด้วยความรวดเร็วด้วยความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณดวงตาสีฟ้าดุจอัญมณีในยามปกติได้แปรเปลี่ยนเป็นสีทองไปชั่ววูบ ก่อนที่จะหยุดการเคลื่อนไหวของอสูรราชสีห์สัตตะโลหิตให้สูญเสียจังหวะ เพราะในตอนนี้เนตรแห่งสวรรค์ของเขาสามารถหยุดการเคลื่อนไหวหรือสิ่งมีชีวิตหรือไร้ชีวิตได้ หากว่าสิ่งนั้นมีพลังจิตที่อ่อนด้อยไปมากกว่าตน ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้จึงไม่ใช่เรื่องยากเลยแม้เพียงนิด
เพียงเสี้ยววินาทีสั้น ๆ หนิงอ้ายสามารถช่วงชิงความได้เปรียบนี้มาอย่างง่ายดาย อาวุธลับเข็มเงินไร้เงาจำนวนทั้งหมดเก้าเล่มได้ถูกพลังลมปราณของหนิงอ้ายควบคุมให้เคลื่อนไหวไปทั่วด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะถูกบัญชาการพุ่งเข้าโจมตีสัตว์อสูรตรงหน้าโดยไร้ซึ่งความปราณีโดยไม่ลืมแฝงปราณธาตุน้ำที่มีพิษไปด้วย เข็มเงินพิษทั้งเก้าได้พุ่งเข้าตรงจุดชีพจรสำคัญด้วยความแม่นยำก่อนจะทะลุร่างที่ถูกปกคลุมด้วยขนที่แข็งแรงทนทานไปได้อย่างง่ายดาย เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นแสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดที่ได้รับถึงขีดสุดจะพรรณณา อสูรราชสีห์สัตตะโลหิตสีครามล้มตัวนอนดิ้นกับพื้นแต่ยังไม่ตายในทันที เพราะหนิงอ้ายใช้ปริมาณของพิษไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดวงตาสีแดงฉานของมันมองไปยังเด็กหนุ่มด้วยความโกรธเกรี้ยวที่อีกฝ่ายเป็นเพียงผู้ฝึกตนตัวน้อยแต่กลับสามารถทำให้มันอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้ หนิงอ้ายไม่รู้สึกเห็นใจหรือสงสารเลยแม้แต่น้อย ในโลกยุทธภพทุกคนต่างล้วนทราบกันดีอยู่แล้วถึงกฎเกณฑ์ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ดังนั้นหนิงอ้ายจึงใช้โอกาสนี้ฟาดเข้าซ้ำตรงไปส่วนหัวของสัตว์อสูรจนในที่สุดก็แน่นิ่งไร้ซึ่งลมหายใจไปในที่สุด เหนือร่างไร้วิญญาณของอสูรราชสีห์สัตตะโลหิตสีครามไร้ซึ่งวงแหวนวิญญาณปรากฎ นั่นหมายความว่าแม้สัตว์อสูรตัวนี้จะถึงระดับนภาขั้นกลางแล้วก็จริง แต่ไม่อาจมีความพิเศษจนสามารถมีวงแหวนวิญญาณได้ นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่หนิงอ้ายเคยได้ศึกษาเรียนรู้ในก่อนหน้า เพราะใช้ว่าการสังหารสัตว์อสูรทุกครั้งจะสามารถพบเจอวงแหวนวิญญาณได้ แต่ถึงอย่างไรแล้วก็สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อื่นเพิ่มเติมได้ เพราะร่างกายของสัตว์อสูรล้วนใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน เมื่อเห็นว่าสัตว์อสูรตรงหน้าไร้ซึ่งกระดูกวิญญาณแล้ว หนิงอ้ายจึงเก็บซากร่างดังกล่าวไว้ในแหวนมิติของตนเนื่องจากสามารถนำไปให้เจียวซิ่นภายหลัง จากนั้นไม่ลืมเรียกเก็บเข็มเงินทั้งเก้าของตนที่พุ่งเข้าปักต้นไม้ด้านหลัง ก่อนที่จะใช้พลังวิญญาณสลายพิษที่แฝงอยู่ก่อนจะเก็บไว้ในช่องลับของตน ก่อนที่หนิงอ้ายจะกลับไปรวมตัวกับหวังฮุ่ยโดยไร้ซึ่งรอยบาดแผลใดทั้งสิ้น เห็นได้ว่าในเวลาไล่เลี่ยกันลู่ซีก็สามารถจัดการอสูรราชสีห์สัตตะโลหิตสีครามได้ในที่สุด แต่นั่นก็แลกมาด้วยบาดแผลตามตัวเล็กน้อยเพราะลู่ซีถึงกับต้องเรียกใช้กระบี่ออกมาเลยทีเดียวในการสังหาร ท้ายที่สุดก็เป็นลู่ซีที่เป็นฝ่ายชนะในครั้งนี้ ร่างไร้วิญญาณที่นอนแน่นิ่งได้ปรากฎเป็นกระดูกวิญญาณสีเขียวที่บ่งบอกได้ถึงอายุของกระดูกวิญญาณสองพันปีกระดูกวิญญาณเป็นสิ่งที่จำเป็นไม่น้อยที่เป็นส่วนสำคัญในการเลื่อนระดับเขตขั้นต่อไปสำหรับผู้ฝึกตน แต่ถึงอย่างไรกระดูกวิญญาณบางชิ้นก็ไม่เหมาะสมที่จะดูดซับประสานเข้ากับร่างกาย มีเพียงกระดูกวิญาณที่มีความเข้ากันได้สูงกับวิญญาณยุทธ์ของผู้ฝึกตนแต่ละราชทินนามเท่านั้นที่จะสามารถดูดซับเพื่อให้ได้มาถึงทักษะความสามารถที่เพิ่มขึ้นในที่สุด
ความแข็งแกร่งของกระดูกวิญญาณขึ้นอยู่กับจำนวนปีที่สัตว์อสูรได้ฝึกฝนมา ยิ่งกระดูกวิญญาณมีความล้ำค่าเท่าไหร่ ทักษะวิญญาณที่ผู้ฝึกตนได้มาจะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
กระดูกวิญญาณสีเขียวที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าย่อมเกิดจากสัตว์อสูรที่มีอายุไม่เกินสองพันปีเป็นแน่
“น่าเสียดายที่สัตว์อสูรที่คุณชายได้ไปไม่มีกระดูกวิญญาณนะขอรับ...” หวังฮุ่ยเอ่ยขึ้น “แต่นับว่าการลงแรงครั้งนี้ไม่ไร้ประโยชน์ เพราะกระดูกวิญญาณยังปรากฏเหนือร่างสัตว์อสูรที่ลู่ซีสังหารนะขอรับ…” หนิงอ้ายตอบกลับไป “คุณชายได้รับบาดเจ็บตรงที่ใดบ้างหรือไม่?” ลู่ซีที่เก็บกระดูกวิญญาณพร้อมกับร่างของสัตว์อสูรแล้ว จึงเดินเข้ามารวมกลุ่มพร้อมกับถามหนิงอ้ายไปด้วยความเป็นห่วง “เจ้าไม่ห่วงข้าหรอก ท่านลุงฮุ่ยมีโอสถรักษามาด้วยหรือไม่ขอรับ??” หนิงอ้ายตอบกลับลู่ซีไปพร้อมกับหันไปถามหวังฮุ่ย ก่อนที่อีกฝ่ายจะมอบโอสถให้กับลู่ซีทันที"ลู่ซีเจ้ารีบกินโอสถรักษานี้เสีย การต่อสู้เมื่อครู่รวมไปถึงกลิ่นคาวเลือดของสัตว์อสูรนภาเช่นนี้อาจจะเรียกสัตว์อสูรระดับสูงมาที่ได้ เจ้ารีบเก็บกระดูกวิญญาณนี้เสีย แล้วค่อยหาเวลาดูดซับประสานเข้ากับร่างกายอีกครั้ง" หวังฮุ่ยเอ่ยแนะนำขึ้น
หลังจากที่ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว คณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนจึงพุ่งทะยานออกไปจากบริเวณนี้ทันที ก่อนที่ผ่านไปหนึ่งชั่วยามจึงเลือกพักตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ติดลำธาร เพื่อให้ลู่ซีได้จัดการกับกระดูกวิญญาณที่ได้มาเสียที
"กระดูกวิญญาณของราชสีห์สัตตะโลหิตสีครามที่ลู่ซีได้มานั้นมีอายุราว ๆ เกือบสองพันปี และเป็นสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุลมที่แข็งแกร่งอีกเผ่าพันธ์หนึ่ง ไม่รู้ว่าเมื่อประสานเข้ากับร่างกายแล้วจะเกิดเป็นทักษะวิญญาณแบบใด?" หวังฮุ่ยนั่งคุยกับหนิงอ้าย โดยที่ไม่ไกลไปนั้นลู่ซีกำลังจัดการกับกระดูกวิญญาณ
"หากได้รับทักษะการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วคงจะดีไม่น้อยนะขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไป ก่อนที่จะพูดคุยในเรื่องอื่น
เป็นเวลาเกือบสองชั่วยามที่ลู่ซีใช้ไปกับการดูดซับประสานกระดูกวิญญาณอายุสองพันปีนี้เข้ากับร่างกายของตน ทันใดนั้นกระดูกวิญญาณสีเขียวได้ปรากฏขึ้นตรงด้านหลังของลู่ซี เป็นดั่งสัญลักษณ์ให้รับรู้ได้ว่าในตอนนี้เขาเป็นราชทินนามขุนนางวิญญาณ ที่มีกระดูกวิญญาณวงแรกอายุสองพันปีนั่นเอง
"สำเร็จแล้ว" หวังฮุ่ยเอ่ยขึ้นเบา ๆ ด้วยความโล่งใจ
"ขอบคุณทุกท่านในที่นี้ขอรับ..." ลู่ซีลืมตาขึ้นพร้อมกับประสานมือคำนับขอบคุณทุกคน หลังจากที่เขาได้ดูดซับกระดูกวิญญาณนี้ไปรู้สึกว่าร่างกายนี้แข็งแรงเป็นอย่างมาก
"เจ้าได้ทักษะวิญญาณใดมาอย่างนั้นรึ?" หวังฮุ่ยถามกลับเด็กหนุ่มไป
ลู่ซีไม่ได้ตอบกลับคำถามนี้ ก่อนที่เขาจะแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ได้รับมาเมื่อครู่ กระดูกสีเขียวเรืองแสงเป็นประกายตรงด้านหลัง นับว่าเป็นภาพที่งดงามยิ่ง
"ทักษะวิญญาณที่หนึ่งของข้ามีนามว่า มหาวังวนราชสีห์คลั่ง ความสามารถคือทักษะวิญญาณนี้จะเพิ่มความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวยามใช้ทักษะนี้สองสามเท่า อีกทั้งยังส่งพายุกระบี่นับสิบเล่มเข้าโจมตีโดยพร้อมกันได้"
"ดูเหมือนว่าทักษะวิญญาณนี้ได้เสริมความรุนแรงในการโจมตีของเจ้าด้วยใช่หรือไม่?"
"เป็นเช่นนั้นขอรับผู้อาวุโส..." ลู่ซีตอบกลับไป
"เรายังเหลือเวลาอีกหนึ่งวันในการเสาะหากระดูกวิญญาณให้กับคุณชาย เนื่องจากวันมะรืนนี้จะเป็นวันครบรอบสวมกวานแล้ว อีกหนึ่งชั่วยามพวกเราจะเดินทางต่อในทันที!!" หวังฮุ่ยเอ่ยย้ำอีกครั้ง ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วยในความคิดนี้ก่อนที่จะแยกย้ายกันนั่งดูดซับปราณฟ้าดินเพื่อเตรียมความพร้อมให้ได้มากที่สุด...
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต