Home / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่22 อักขระเวทย์โบราณ

Share

บทที่22 อักขระเวทย์โบราณ

หลังจากในคืนที่ผ่านมาหนิงอ้ายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แล้วจึงตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกตื่นตัวไม่มีร่องรอยความเมื่อยล้าจากการเดินทางเมื่อวานปรากฏให้เห็น หลังจากจัดการล้างหน้าเเปรงฟันเสร็จแล้วตัวเขาจึงออกกำลังฝึกฝนวรยุทธตามความคุ้นชินตั้งเเต่ยามอยู่เรือนเล็กท้ายจวนตระกูลจาง แม้ว่าในยามปกตินั้นเขาจะวิ่งรอบจวนสักสิบรอบเสียก่อนจึงจะฝึกฝนวรยุทธการต่อสู้ต่าง ๆ

สำหรับเช้าของวันนี้ท่านตาหวังจิ่งหลงจะทำการสั่งสอนอีกทั้งถ่ายทอดบทเวทย์ที่เป็นเคล็ดวิชาลับของตระกูลหวังให้แก่เขากับลู่ซี พวกเขาทั้งสองขึ้นชื่อว่าเป็นลูกหลานของตระกูลหวังสายหลักของแคว้นเต่าดำเเล้ว เหลือเพียงกระทำให้ถูกต้องตามประเพณีที่ศาลบรรพชนของตระกูล อันเป็นสถานที่ต้องข้ามที่จะต้องมีวาระสำคัญเท่านั้นจึงจะมีการจัดทำพิธีที่ศาลบรรพชนดังกล่าวได้

''หนิงอ้าย ก่อนหน้านี้หลานได้ศึกษาบทเวทย์โดยที่ยังไม่ได้เรียนรู้อักษรเวทย์พื้นฐานใช่หรือไม่?'' หวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้น โดยที่พวกเขาทั้งสามคนได้ปลีกตัวกันมายังศาลากลางจวน โดยที่ที่นั่งด้านข้างหนิงอ้ายมีลู่ซีนั่งอยู่ติดกันไม่ห่างไปนัก

''ขอรับท่านตา ก่อนหน้านี้ข้าได้ศึกษาเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาเป็นบทเวทย์เเรก ก่อนที่หลังจากนั้นจะได้ศึกษาบทเวทย์ต่างๆ ขอรับ...'' หนิงอ้ายยอมรับด้วยความเขินอาย

''เเล้วเจ้าละลู่ซี หลานเคยได้ศึกษาอักษรเวทย์มาก่อนบ้างหรือไม่?'' หวังจิ่งหลงถามเด็กหนุ่มผู้เป็นหลานบุญธรรมของตนด้วยคำถามเดียวกัน

''ก่อนหน้านี้ข้าพอได้ศึกษามาบ้างขอรับท่านตา เพียงแต่อาจยังไม่ได้เชี่ยวชาญเท่าไหร่นักขอรับ...'' ลู่ซีตอบไปด้วยใบหน้าที่เขินอายเช่นกัน

''ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร พวกเจ้าอย่างพึ่งกดดันจนเกินไป ตาจะสอนเรื่องราวพื้นฐานเหล่านี้ให้กับพวกเจ้าเอง... ''

''บทเวทย์เเต่ละประเภทไม่ว่าจะเป็น บทเวทย์โจมตี บทเวทย์ป้องกันหรือบทเวทย์รักษา ล้วนต่างมีความเเข็งแกร่งรวมไปถึงมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้บทเวทย์จะบัญชาการเรียกใช้ในสถานการณ์ไหนหรือจะนำมาปรับใช้ให้เข้ากับความสามารถของตนได้เพียงใด...''

''แน่นอนว่าการที่ผู้ฝึกตนจะสามารถใช้บทเวทย์ และดึงเอาศักยภาพของบทเวทย์เหล่านั้นออกมาใช้ให้ได้มากที่สุดย่อมขึ้นอยู่กับความเข้าใจในพื้นฐานของบทเวทย์เช่นกัน เพราะนอกจากบทเวทย์จะมีถึงสามประเภท สามรูปแบบเเล้ว ระดับของบทเวทย์ที่แบ่งออกเป็นทั้งหมดเจ็ดเขตขั้น นั่นคือ ระดับต่ำ ระดับกลาง ระดับสูง ระดับเทวะ ระดับสวรรค์ ระดับเซียนและระดับบรรพกาล (ตำนาน) อันเป็นเขตขั้นสุงสุดของสรรพบทเวทย์... ''

''เพราะการใช้บทเวทย์ในแต่ละครั้งจะเป็นการสอดประสานเข้ากับปราณธาตุของผู้ฝึกตนเป็นหลัก ดังนั้นการเรียนรู้อักษรเวทย์พื้นฐานจึงนับได้ว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะการศึกษาบทเวทย์ต่าง ๆ ให้เข้าใจอย่างถ่องเเท้จะสามารถดึงเอาศักยภาพของบทเวทย์เหล่านั้นออกมาใช้ให้ได้มากที่สุด อย่างไรสิ่งเหล่านี้ตาจะให้ความรู้เกี่ยวกับอักษรบทเวทย์ให้ ลู่ซี หลานพอมีความรู้พื้นฐานอยู่บ้าง อย่างไรก็ทบทวนไปพร้อมกับหนิงเอ๋อร์ด้วยเลยเล่า…''

''ขอรับท่านตา'' หนิงอ้ายกับลู่ซีเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

''อักษรเวทย์นั้นว่ากันว่าเเต่เดิมมีมากถึงถึงหนึ่งพันตัวอักษรเเต่ในปัจจุบันนี้นั้นอักษรเวทย์ที่ใช้กันอย่างเเพร่หลายจะอยู่เหลือเพียงสองร้อยห้าสิบตัวอักษรเท่านั้นทั้งนี้เกิดจากที่ตัวอักษรโบราณมีน้อยคนนักที่จะเชี่ยวชาญอีกทั้งยังยากต่อการจดจำเเละการใช้งาน...'' หวังจิ่งหลงอธิบายให้ทั้งสองคนได้มีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น

โดยพื้นฐานแล้วก่อนที่นทีจะเข้ามาอยู่ในร่างของหวังหนิงอ้าย เขาเป็นอีกคนที่ชื่นชอบเรียนรู้ในด้านของภาษา วัฒนธรรมต่าง ๆ มีหลายครั้งที่เขาเลือกเดินทางไปต่างประเทศเพื่อสัมผัสชีวิตในมุมมองใหม่ อีกทั้งการทำธุรกิจในโลกเดิมของเขากลุ่มเป้าหมายคือกลุ่มลูกค้าต่างชาติไม่ว่าจะทั้งในฝั่งยุโรปอเมริกาและทางเอเชีย โดยเฉพาะกับกลุ่มนักธุรกิจชาวจีนนั้นเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มนักลงทุนที่มีความใจกล้าและมีมุมมองทางด้านธุรกิจที่ตรงกันหลายอย่าง

ดังนั้นนอกจากภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศสเเล้ว ภาษาจีนเขาก็ได้มีการศึกษาเช่นกัน จนถึงขั้นที่ว่าหลงไหลเป็นอย่างมากเกี่ยวกับตัวอักษรจีนโบราณและตัวอักษรจีนที่ใช้ในปัจจุบันรวมถึงการฝึกเขียนโดยใช้หมึกและพู่กัน เพราะว่าต้นกำเนิดของตัวอักษรจีนนั้นเกิดจากการลอกเลียนเเบบรูปร่างต่างๆ นั่นเอง...

จากการสังเกตและศึกษามานั้นรูปแบบการวาดอักษรบทเวทย์ต่าง ๆ ทำให้หนิงอ้ายได้ค้นพบว่าแทบไม่มีความแตกต่างกันกับตัวอักษรจีนโบราณที่ตนเคยได้ศึกษามาก่อนหน้าในโลกเดิม เพียงเเต่ว่าอักษรบทเวทย์ต่าง ๆ จะมีรายละเอียดมากกว่าเล็กน้อย สิ่งที่เพิ่มมานั้นจะเป็นการเพิ่มพลังอำนาจของอักษรเวทย์โดยการหยิบยืมพลังจากธรรมชาติ ดังนั้นบทเวทย์เเต่ละบทจะมีอักษรเวทย์ที่แตกต่างขึ้นอยู่กับว่าต้องการเน้นเสริมเป็นพลังปราณธาตุใด

หวังจิ่งหลงได้มอบตำราเกี่ยวกับอักษรเวทย์โบราณอันเป็นตำราของท่านบรรพบุรุษตระกูลหวังให้แก่หนิงอ้ายได้ศึกษาด้วยเพราะการใช้บทเวทย์นั้นจำเป็นต้องมีความรอบรู้เกี่ยวกับอักษรเวทย์ให้แตกฉานให้ได้มากที่สุด แม้ว่าอักษรเวทย์ที่ยังมีการใช้กันอย่างเเพร่หลายในปัจจุบันนี้ถือได้ว่าเป็นตัวอักษรที่มีพลังเเล้วก็จริง เเต่หากเทียบกับอักษรเวทย์โบราณแล้วย่อมมีความแตกต่างกันในเรื่องของพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน

''หนิงเอ๋อร์ หลานแน่ใจนะว่าไม่เคยเรียนอักษรเวทย์มาก่อนหน้านี้?'' หวังจิ่งหลงถามขึ้นด้วยความแปลกใจ

หนิงอ้ายสามารถเรียนรู้อักษรเวทย์ได้อย่างรวดเร็ว สามารถเข้าใจได้ราวกับว่าตำราอักษรเวทย์โบราณที่พึ่งได้รับมานั้น เด็กหนุ่มสามารถศึกษาได้อย่างง่ายดายคล้ายกับเป็นสิ่งที่คุ้นเคยหรือศึกษามาก่อนหน้านี้หรือเคยเห็นผ่านตามาแล้วทั้งสิ้น ท่าทางของหนิงอ้ายไม่เหมือนกับผู้ที่เริ่มศึกษาเป็นครั้งเเรก เหมือนกับในตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังทำความเข้าใจหรือเพียงเเค่ทบทวนความจำเพียงแค่นั้น

''ข้าไม่เคยเรียนอักษรเวทย์มาก่อนขอรับท่านตา เพียงเเต่ว่าข้านั้นชื่นชอบสังเกตุเป็นพิเศษจึงทำให้เห็นความแตกต่างของอักษรเวทย์โบราณกับอักษรเวทย์ที่พวกเราต่างใช้ในปัจจุบัน เพราะว่าอักษรเวทย์โบราณจะมีรายละเอียดเพิ่มขึ้นมาบางส่วนเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์..."

"จริงอยู่ที่ว่าบางตัวอักษรจะมีความใกล้เคียงกับอักษรเวทย์โบราณก็จริง เเต่จุดสังเกตุนั่นคือรายละเอียดจำนวนขีดที่เพิ่มขึ้นมาเเทนที่ แม้ว่าจะเป็นตัวอักษรเวทย์ที่มีรูปแบบคล้ายกับว่าเป็นตัวอักษรเดียวกันก็จริง เเต่หากเพียงเเค่เพิ่มไปเพียงเเค่หนึ่งขีดเท่านั้นความหมายและรูปแบบพลังจะแตกต่างกันในทันทีขอรับ..."

"ที่สำคัญคืออักษรเวทย์ต่าง ๆ จะมีการวาดขึ้นเป็นการวาดเลียนแบบธรรมชาติหรือสิ่งอื่นหรือหากต้องการจำง่าย ๆ ให้คิดว่าคล้ายกับการวาดภาพต่าง ๆ ด้วยพู่กันที่มีการลงรายละเอียดในจุดใหม่ เมื่อข้าสังเกตและเเยกตัวอักษรเวทย์ได้แล้วเช่นนั้น ข้าได้วาดภาพตัวอักษรดังกล่าวในหัวก่อนที่จะร่ายบทเวทย์ดังกล่าว ด้วยวิธีนี้ทำให้ข้านั้นสามารถจดจำได้รวดเร็วขึ้นขอรับ...'' หนิงอ้ายสรุปตอบไปตามความเข้าใจ

''ยอดเยี่ยมนักหนิงอ้าย ความสามารถพนสวรรค์เช่นนี้นับได้ว่าเป็นอัจฉริยะในรอบหลายร้อยปีเลยรู้ตัวหรือไม่? เจ้าใช้เวลาเเค่ปีกว่าเท่านั้นเเต่กลับถึงพร้อมด้วยราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญ อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกตนพลังปราณสุริยะธาตุเช่นเดียวกันกับท่านบรรพบุรุษตระกูลหวังของเราอีกด้วย..."

"มากไปกว่านั้น หลานยังมีพรสวรรค์ทางด้านอักษรเวทย์อย่างเเท้จริง ไม่เพียงเเต่สามารถเข้าใจและจดจำได้ในเวลาอันรวดเร็วแล้ว เเต่ยังสามารถยกระดับบทเวทย์รวมไปถึงสรรสร้างเขียนบทเวย์ขึ้นมาเองได้เช่นนี้ทั้งที่อายุและระดับพลังวิญญาณยังน้อยนับว่าเป็นความสามารถที่โดดเด่นว่ารุ่นเยาว์เดียวกันยิ่ง...'' หวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ

ก่อนหน้านี้หลายปีหนิงอ้ายได้โดนกล่าวหาว่าเด็กหนุ่มเป็นเพียงเป็นคุณชายไร้ค่า เป็นเพียงสวะของตระกูลเพียงเท่านั้นแต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นเลยแม้เเต่น้อย หวังนิงอ้ายหลานของเขานับว่าเป็นอัจฉริยะเป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างเเท้จริง...

''ขอบคุณขอรับท่านตา ข้าสัญญาว่าจะไม่หยุดพัฒนาตัวเองขอรับ!'' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้น

''ข้าก็จะตั้งใจเรียนรู้ทุกสิ่งที่ท่านตาเมตตาสั่งสอนและจะไม่หยุดพัฒนาตนเช่นเดียวกับขอรับ...'' ลู่ซีเอ่ยขึ้นเช่นกัน

''ข้ามีอีกสิ่งหนึ่งที่สงสัยอยู่บ้าง บทเวทย์ระดับสวรรค์และบทเวทย์ระดับเซียนนั้นถือได้ว่ามีความแตกต่างกันมากหรือไม่ขอรับ??'' หนิงอ้ายถามขึ้นด้วยความสงสัย

เพราะหากกล่าวว่าบทเวทย์ระดับสวรรค์เป็นสิ่งที่หาได้ยากมากที่จะครอบครองได้ในยุทธภพเเห่งนี้ บ้างก็ว่าบทเวทย์ระดับเซียนนั้นเป็นเพียงการเล่าขานกันมาช้านาน ทั้งสองบทเวทย์ที่เหนือชั้นกว่าบทเวทย์ระดับเทวะยังไม่ปรากฏถึงผู้ที่ถือครองบทเวทย์ระดับเทพดังกล่าวนี้ในปัจจุบัน...

''บทเวทย์เเต่ละระดับจะมีการใช้ตัวอักษรเวทย์ที่เหมือนหรือแตกต่างกันทั้งสิ้น แต่ยังคงมีความแตกต่างกันในเรื่องตำแหน่งจัดวางของบทเวทย์จะมีอักขระปราณธาตุกำกับอยู่ นอกจากนี้เเล้วรูปแบบการวางตำแหน่งตัวอักษรเวทย์รวมไปถึงรูปเเบบของการวาดบทเวทย์ล้วนมีความแตกต่างที่เห็นได้...''

''หากมองว่าบทเวทย์ระดับสวรรค์มีพลังอำนาจที่กล่าวได้ว่าแทบจะไม่มีสิ่งใดต้านทานได้เเล้ว เเต่หากว่าเปรียบเทียบกับบทเวทย์ระดับเซียนเเล้ว หากเอ่ยเปรียบเทียบโดยให้เห็นภาพชัดเจนก็เหมือนกับการใช้บทเวทย์ระดับสวรรค์นับสิบครั้ง จึงจะสามารถเทียบเท่ากับการใช้บทเวทย์ระดับเซียนเพียงครั้งเดียว''

''สำหรับบทเวทย์ระดับสวรรค์และบทเวทย์ระดับเซียนจะมีประสิทธิภาพที่กล่าวได้ว่ารุนเเรงกว่าบทเวทย์ระดับอื่น นั่นด้วยเพราะการวางรูปแบบบทเวทย์ที่ทับซ้อนหลายชั้น ผสานเข้ากับการหยิบยืมเอาพลังธรรมชาติอันบริสุทธิ์เข้ามาใช้ในบทเวทย์อย่างสมดุล แต่อย่างไรเเล้วก็ตามระดับพลังวิญญาณของผู้ฝึกตนที่จะใช้บทเวทย์ทั้งสองประเภทนั้นก็ต้องอยู่ในระดับสูงเช่นกันจึงจะสามารถมีผลลัพธ์เช่นนั้นได้..." หวังจิ่งหลงอธิบายให้สามารถเข้าใจได้มากขึ้น

''ข้าเข้าใจมากขึ้นแล้ว ขอบคุณท่านตาขอรับ...'' หนิงอ้ายพยักหน้าเข้าใจ ในเรื่องของความแตกต่างของระดับบทเวทย์myh’ lv’

ลู่ซีนั่งฟังการสนทนาของหนิงอ้ายกับท่านตาหวังจิ่งหลงเพื่อเป็นความรู้ที่มีมุมมองกว้างขึ้น เขาได้เเต่นั่งยิ้มระบายด้วยความภาคภูมิใจ ด้วยเพราะว่าตัวเขาได้อยู่กับหนิงอ้ายคนเก่ามาตั้งเเต่อีกฝ่ายยังเป็นเด็กน้อย หลังจากเหตุการณ์ที่เด็กหนุ่มนั้นไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้คงเป็นเรื่องราวที่กระทบจิตใจเป็นอย่างมาก แต่สิ่งที่หนิงอ้ายที่ในตอนนั้นเป็นมีอายุเพียงเจ็ดแปดปีเลือกที่จะทำนั่นก็การอ่านตำราแขนงต่าง ๆ และมีการฝึกฝนวรยุทธบ้างถึงแม้ว่าร่างกายของจะไม่ค่อยเเข็งแรงก็ตาม ครั้นเมื่อมารดาสั่งสอนเกี่ยวกับศาสตร์ทั้งสี่ของสตรีตัวหนิงอ้ายคนเก่าก็สามารถทำได้ดีแทบจะไร้ที่ติเสียด้วยซ้ำ...

เพราะหลังจากเหตุการณ์ปลุกพลังวิญญาณในปีนั้น หนิงอ้ายในวัยเด็กคงรู้สึกฝังใจในคำพูดทีได้ยินผู้คนตะโกนด่าทออย่างมากมายในวันพิธีดังกล่าว รวมไปถึงบ่าวรับใช้ในเรือนอื่นที่ต่อหน้านั้นแม้จะเรียกหนิงอ้ายว่าคุณชายใหญ่ก็จริง เเต่ลับหลังล้วนต่างนินทาว่าตัวเด็กหนุ่มนั้นเป็นสวะของตระกูล ที่แม้เเต่บ่าวไพร่ในเรือนที่มีหน้าที่รับใช้ต่ำสุดยังสามารถปลุกพลังวิญญาณได้ อาจจะเป็นด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้หนิงอ้ายคนเก่านั้นไม่ยอมเปิดใจศึกษาเรียนรู้สิ่งที่เกี่ยวข้องในวิถีของผู้ฝึกตนด้วยเพราะคิดว่าคงเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะฝึกไปก็ไม่สามารถใช้พลังปราณธาตุได้นั่นเอง…

หลังจากหนึ่งปีผ่านมาที่หนิงอ้ายฟื้นคืนจากการล้มป่วยด้วยเพราะถูกกลั่นแกล้งให้ตกน้ำแม้จะเป็นเวลาที่มานานนักก็จริง แต่ด้วยเพราะแต่เดิมร่างกายของหนิงอ้ายก็มีความอ่อนแออยู่แล้ว ในตอนนั้นลู่ซีคิดว่าตนจะต้องสูญเสียคุณชายของตนไปแล้วเป็นแน่ ทว่าหลังจากนั้นไม่กี่วันเด็กหนุ่มกลับหายจากอาการป่วยดังกล่าวได้อย่างน่าประหลาดใจ หลังที่รักษาจนหายดีแล้วจึงได้ทำการปลุกพลังวิญญาณสำเร็จหลังจากนั้นจึงเอาเเต่ทุ่มเทฝึกฝน อีกทั้งยังศึกษาตำราต่าง ๆ อย่างไม่ย่อท้อจน เพียงเเค่หนึ่งปีก็สามารถเลื่อนระดับขึ้นเป็นราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญได้เเล้ว นับได้ว่าเป็นอัจฉริยะมากไปด้วยพรสวรรค์คงไม่เกินจริงไปนัก...

จากนั้นหนิงอ้ายใช้เวลาช่วงเช้าในการเรียนรู้เกี่ยวกับตำราบทเวทย์ต่าง ๆ นอกจากที่เขาและลู่ซีได้ทำการศึกษาเคล็ดวิชาระดับสูงของตระกูลหวังเเล้ว หวังจิ่งหลงยังได้มอบบทเวทย์ปลอมแปลงให้แก่หนิงอ้ายอีกด้วยด้วยเพราะรูปลักษณ์ในตอนนี้ต้องยอมรับว่ามีความโดดเด่นเกินไปจนอาจชักนำอันตรายที่ไม่คาดคิดได้ อีกทั้งได้มอบตำราบทเวทย์ต่าง ๆ ที่ตรงกับปราณธาตุต้นกำเนิดของเขาทั้งสองและมอบผลึกปราณธาตุรให้อีกด้วยสำหรับการเพิ่มระดับพลังวิญญาณให้ได้มากที่สุด

หนิงอ้ายอยากรู้ไม่น้อยว่าต้นกำเนิดของตระกูลหวังนั้นยิ่งใดเพียงใดกันจึงสามารถครองครองตำราบทเวทย์ระดับสูงที่มีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์โบราณ รวมไปถึงทรัพยากรสำหรับเพิ่มพูนระดับพลังวิญญาณอย่างมากมายเช่นนี้ แม้ว่าท่านตาของเขาจะไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา หนิงอ้ายคาดคิดเอาไว้ว่าต้นตระกูลและท่านบรรพบุรุษตระกูลหวังย่อมมีความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดาสามัญเป็นแน่ อย่างไรเข้าใจได้ว่ายังไม่ถึงเวลาที่เขาจะต้องหาความจริงในตอนนี้ เพราะอย่างไรเสียหนิงอ้ายคิดว่าเขาคงจะได้รู้เรื่องราวความเป็นมาเมื่อถึงเวลาอันสมควรในสักวันแน่นอน

การเรียนรู้อักษรเวทย์ของหนิงอ้ายกับลู่ซีเป็นไปด้วยดี มากไปกว่านั้นทั้งสองยังได้เรียนรู้บทเวทย์ที่เป็นเคล็ดวิชาลับของตระกูลหวังหลากหลายบท อีกทั้งยังได้เรียนบทเวทย์ระดับสูงที่หนิงอ้ายนั้นคิดว่าตนสามารถนำมาปรับใช้ในงานประลองได้นับว่าหวังจิ่งหลงส่งต่อถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับพื้นฐานของอักษรเวทย์รวมไปถึงเคล็ดลับเล็กน้อยเกี่ยวกับการใช้บทเวทย์ต่าง ๆ ที่สามารถดึงศักยภาพของบทเวทย์ออกมาได้มากที่สุดนั่นเอง...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status