หน้าหลัก / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่6 ผู้มีปราณธาตุมากกว่าหนึ่ง

แชร์

บทที่6 ผู้มีปราณธาตุมากกว่าหนึ่ง

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-02-07 16:25:33

หนิงอ้ายรู้สึกดีใจและพึงพอใจเป็นอย่างมากที่เขาสามารถทำการปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จและกลายเป็นผู้ฝึกตนราชทินนามก่อเกิดวิญญาณระดับสิบได้เช่นนี้ หลังจากที่จัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วไม่รอช้าออกจากไปหามารดาที่ห้องโถงของเรือนนี้ในทันที

“หนิงเอ๋อร์ รู้สึกอย่างไรบ้างเจ้า?” เยว่ซินที่สัมผัสได้ถึงพลังลมปราณอ่อน ๆ จากตัวของเด็กหนุ่ม นั่นย่อมหมายความว่าในตอนนี้อีกฝ่ายสามารถข้ามผ่านเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จแล้ว อย่างไรนางก็ถามกลับไปเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับผลกระทบใด

ยอมรับว่าตลอดทั้งคืนนางได้แต่เป็นห่วงกระวนกระวายจนนอนหลับไม่สนิท ในขณะที่หนิงอ้ายกำลังปลุกพลังวิญญาณนางได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็กหนุ่มอย่างทรมานดังขึ้นอยู่หลายชั่วยามจนหายเงียบไปที่สุด ในใจของนางเต็มไปด้วยความเป็นห่วงยิ่งนัก แต่นางก็ไม่สามารถเข้าไปขัดขวางในขณะทำการปลุกพลังวิญญาณของเด็กหนุ่ม เพราะหากทำอย่างย่อมที่จะส่งผลเสียต่อเด็กหนุ่มมากมายเพียงใดก็สุดจะรู้ได้

บิดาของนางก็เคยบอกเอาไว้ว่าในการปลุกพลังวิญญาณจะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับลิขิตฟ้าชะตาสวรรค์ถือว่าเป็นการทดสอบทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ฝึกตนเพราะเมื่อได้ทำการเลือกใช้ชีวิตตามวิถีผู้ฝึกตน หนทางข้างหน้าย่อมไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบนี่คือสัจธรรมของชีวิตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

“ท่านแม่ไม่ต้องกังวลขอรับ...ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงกว่าเดิมมาก” หนิงอ้ายตอบกลับมารดาไปเพื่อให้นางคลายกังวล

“ได้ยินแบบนี้มารดาก็สบายใจ...” เยว่ซินว่าพลางตักของโปรดให้หนิงอ้ายด้วยความเอาใจใส่และเด็กหนุ่มไม่ลืมตักอาหารบางส่วนให้แก่มารดาของตนได้ทานด้วยเช่นกัน แม้จะมีรวดเร็วแต่ยังคงเป็นไปด้วยกริยามารยาทอันงดงาม

หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นทั้งสองจึงพากันเดินตรงไปยังศาลาริมสระบัว จากนั้นนางจึงให้หนิงอ้ายมายืนตรงหน้านางอีกครั้งเพื่อที่จะทำการตรวจสอบปราณธาตุให้เด็กหนุ่มเสียที

“ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นเจ้าอย่าได้ตกใจ...จากนั้นจงหลับตาลงแล้วค่อยปล่อยพลังวิญญาณของเจ้าออกมา...”

พรึบ!

วูบ!

วิญญาณยุทธ์บุปผาอัปสราเหมันต์อัคคี  จงสถิตร่าง!!!

ตรงพื้นที่เยว่ซินยืนอยู่ปรากฏกลุ่มหมอกควันสีเหลืองเข้มเปล่งประกายงดงามผนึกขึ้นเป็นบุปผาเพลิงดอกใหญ่อยู่ตรงด้านหลังบ่งบอกว่านางเป็นผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณผู้หนึ่งที่ใกล้ทะลุเขตขั้นต่อไปแล้ว ขณะเดียวกันนางก็ได้ทำการยกแขนทั้งสองข้างขึ้นก่อนที่จะขยับไปมาคล้ายกับเป็นท่ารำที่ทั้งงดงามอ่อนช้อยแต่ก็ดุดันอยู่ในที กลิ่นไอพลังวิญญาณและปราณธาตุออกมาอย่างหนาแน่น เพียงอึดใจมือทั้งสองของนางได้แผ่พลังปราณบริสุทธิ์ยิ่งยวดไปโดยรอบ สร้างความตื่นตะลึงกับหนิงอ้ายเป็นอย่างมาก

“นี่คือวิญญาณยุทธ์ของมารดาเจ้า ‘บุปผาอัปสราเหมันต์อัคคี ’ หลังจากที่เจ้าถึงเขตขั้นที่สิบเอ็ดหรือราชทินนามขุนพลวิญญาณ ย่อมสามารถปลุกวิญญาณยุทธ์ของตนได้เช่นกัน...”

ทันใดนั้นพื้นด้านล่างของหนิงอ้ายก็ปรากฏเป็นวงแหวนเวทย์สีน้ำเงินเข้มที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าเป็นละอองเรืองแสงลอยฟุ้งไปทั่ว ขณะเดียวกันวงเวทย์อักขระโบราณดังกล่าวได้วิ่งวนเป็นลักษณะวงกลมหมุนรอบตัว และเมื่อวงแหวนเวทย์อักขระโบราณได้หยุดนิ่งลง หนิงอ้ายรู้สึกได้ถึงขุมพลังบริสุทธิ์บางอย่างที่ถูกชักนำเข้าสู่ร่างกายโดยที่เขาไม่สามารถควบคุมได้ความรู้สึกอันอบอุ่นได้แทรกซึมราวกับว่าร่างกายนี้กำลังถูกห่อหุ้มด้วยแสงแดดยามเย็นที่ไม่ร้อนหรือไม่เย็นจนเกินไป แม้จะตกใจไปบ้างเล็กน้อยแต่ก็สัมผัสได้ว่าไม่มีอันตรายเกิดขึ้นกับตนแน่

ความรู้สึกเช่นนี้มันคืออันใดกัน? คล้ายกับว่าพลังวิญญาณในร่างกายกำลังถูกชักนำออกมาเสียอย่างนั้น...

หนิงอ้ายหลับตาลงเพื่อทำสมาธิเดินพลังปราณภายในปล่อยพลังดังกล่าวให้ลื่นไหลตามจุดชีพจรต่าง ๆ อย่างไม่ขัดข้องตามคำแนะนำมารดาของตน เนื่องจากพลังลมปราณในร่างกายของผู้ฝึกตนจะถูกกักเก็บและปลดปล่อยจากจุดเดียวกันที่เรียกว่าจุดตันเถียร วงแหวนเวทย์ดังกล่าวนี้ได้ชักนำพลังวิญญาณจากในร่างกายออกสู่ภายนอก

ในโลกของผู้ฝึกตนวิญญาณยุทธ์ได้ถูกแบ่งออกเป็นทั้งหมดสามประเภทนั่นคือ

วิญญาณยุทธ์ประเภทสัตว์อสูร

วิญญาณยุทธ์ประเภทธรรมชาติ

วิญญาณยุทธ์ประเภทศาสตราวุธ

นอกจากนั้นแล้วยังถูกแบ่งออกตามความโดดเด่นที่เรียกว่าสายวิญญาณยุทธ์ดังนี้

วิญญาณยุทธ์สายสนับสนุน

วิญญาณยุทธ์สายโจมตี

วิญญาณยุทธ์สายป้องกัน

วิญญาณยุทธ์สายควบคุม

และเเบ่งออกเป็นวิญญาณธาตุทั้งเก้าซึ่งจะมีการสืบทอดจากทางสายเลือดเท่านั้น สำหรับสีของวิญญาณยุทธ์จะบ่งบอกได้ถึงความเเข็งแกร่งของวิญญาณธาตุต้นกำเนิดที่ครอบครอง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่สามารถผลักดันผู้ฝึกตนคนหนึ่งให้โดดเด่นอยู่แถวหน้าในโลกยุทธภพแห่งนี้ได้

"หนิงเอ๋อร์เจ้ามีพลังวิญญาณสมบูรณ์แต่กำเนิดเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง! มีผู้ฝึกตนไม่น้อยที่แม้จะสามารถปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จ แต่หากไร้ซึ่งพลังวิญญาณแต่กำเนิดก็ไม่สามารถปลุกวิญญาณยุทธ์ได้"

"..."

"นอกจากนั้นความสมบูรณ์ของพลังวิญญาณจะเป็นตัวชี้วัดตัดสินความช้าเร็วในการเพิ่มระดับพลังวิญญาณในแต่ละเขตขั้น ยิ่งมีพลังวิญญาณที่สมบูรณ์มากเท่าไหร่ ความเร็วในการฝึกฝนตลอดเส้นทางของผู้ฝึกตนนี้ก็จะมากขึ้นตามไปด้วย"

"ระดับของพลังวิญญาณในทุก ๆ สิบขั้นย่อยจะมีสมญานามให้เรียกขานระดับแรกเริ่มคือก่อเกิดวิญญาณระดับหนึ่งและระดับสูงสุดคือระดับสิบ กับเจ้าที่มีพลังวิญญาณสมบูรณ์แต่กำเนิดเช่นนี้จึงทำให้หลังจากปลุกพลังวิญญาณสำเร็จจึงมีสมญานามเรียกขานว่าราชทินนามก่อเกิดวิญญาณระดับที่สิบนั่นเอง" เยว่ซินอธิบายออกมาให้หนิงอ้ายเข้าใจมากยิ่งขึ้น

"เอาละ หนิงเอ๋อร์ต่อไปมารดาจะทดสอบหาปราณธาตุต้นกำเนิดของเจ้ากัน..." เยว่ซินระบายยิ้มด้วยความพึงพอใจ บุตรชายของนางถึงกับมีพลังวิญญาณสมบูรณ์แต่กำเนิด นับได้ว่าเป็นเรื่องที่ดียิ่งนัก

"ขอรับท่านแม่..." หนิวอ้ายได้วางฝ่ามือด้านขวาทาบไปกับลูกแกวทดสอบที่เยว่ซินหยิบออกมาจากแหวนมิติ เนื่องจากผู้ฝึกตนที่พึ่งปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จนั้น โดยทั่วไปแล้วพลังของปราณธาตุไม่ได้มีความเข้มข้นเด่นชัด ดังนั้นจึงต้องอาศัยลูกแก้วทดสอบนี้เป็นสื่อกลางชักนำปราณธาตุให้ปรากฏเห็นเด่นชัด

วูบ!

จากลูกแก้วสีใสว่างเปล่าได้ปรากฏเป็นกลุ่มหมอกควันสีน้ำเงินเข้ม ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นรัศมีแสงสาดส่องไปทั่วทั่งบริเวณ ผ่านไปเพียงชั่วครู่กลุ่มหมอกสีน้ำเงินที่ผนึกขึ้นเป็นรูปร่างที่ไม่อาจคาดเดาได้ในยามนี้หมุนวนโดยรอบตัวของเด็กหนุ่ม พร้อมกับส่งกลิ่นอายความเยือกเย็นออกมาจนส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบลดลงโดยเฉียบพลัน 

"โอ้! ปราณธาตุน้ำระดับสาม ระดับสูงสุดอย่างนั้นเลยหรือนี่..." เยว่ซินร้องออกมาด้วยความตกใจ นางไม่คาดคิดว่าเด็กหนุ่มจะสามารถครอบครองปราณธาตุน้ำที่มีความแข็งแกร่งสูงสุดเช่นนี้

“หนิงเอ๋อร์ เจ้ามีปราณธาตุน้ำเช่นเดียวกับบิดาของเจ้า แต่ดูเหมือนว่าได้มีการยกระดับประสานเป็นปราณธาตุน้ำแข็งโดยที่ไม่ต้องประสานกับปราณธาตุลมไปในตัวเเล้ว ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง!!!” แม้เย่วซินจะเสียใจเล็กน้อยด้วยเพราะนางคิดว่าบุตรของนางจะมีปราณธาตุไฟเฉกเช่นลูกหลานของตระกูลหวัง แต่ถึงอย่างไรนางได้แต่ยิ้มออกมาด้วยความภูมิใจเช่นกัน เพราะตอนนี้บุตรชายของนางสามารถทำการปลุกพลังวิญญาณเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จแล้วนั่นเอง

ปราณธาตุน้ำถือว่าเป็นค่อนข้างมีประโยชน์ในหลากหลายด้าน เพราะว่าปราณธาตุน้ำจะมีความลื่นไหลผันแปรได้อย่างอิสระไร้ซึ่งการควบคุม เท่ากับว่าบุตรของนางจะสามารถใช้ปราณธาตุน้ำออกมาได้หลากหลายรูปแบบไม่มีขีดจำกัด อีกทั้งยังสามารถประสานเข้ากับกระดูกวิญญาณได้เกือบทุกเผ่าพันธ์อสูร ด้วยว่าสิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในตัวของพวกสัตว์อสูรเหล่านั้นย่อมเป็นโลหิตที่ถือว่าเป็นน้ำชนิดหนึ่งไม่ต่างกัน ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดความยากลำบากในการประสานกระดูกวิญญาณและไม่ต้องกังวลถึงความเข้ากันได้ของกระดูกวิญญาณกับปราณธาตุต้นกำเนิดเลยแม้แต่น้อย

“ท่านแม่ขอรับ...” ขณะเดียวกันหนิงอ้ายรู้สึกว่าอีกปราณธาตุในตัว ที่ก่อนหน้านี้เขาสงสัยว่าเป็นธาตุใดในตอนนี้เหมือนมันกำลังจะปะทุออกมาจากร่างกายของเขาตามแรงดึงดูดของวงเวทย์ดังกล่าวอย่างไม่สามารถควบคุมได้เลยแม้เพียงนิด

“ว่าอย่างไรเล่า?” เย่วซินที่กำลังดีใจกับหนิงอ้ายจนไม่ทันได้สังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้น

ทันใดนั้นรอบตัวของเด็กหนุ่มปรากฎอีกกลุ่มหมอกควันขึ้นเป็นสีแดงทองที่แผ่ความร้อนระอุเเต่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของพลังชีวิตที่เข้มข้นอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งยังส่งผลให้บรรดาเหล่าต้นไม้หรือดอกไม้ในบริเวณที่โดนกลุ่มหมอกควันสีเเดงทองประหลาดนี้ต่างค่อย ๆ เหี่ยวเฉายืนต้นตายและกลับมาเติบโตขึ้นเหมือนเดิมโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ

'เป็นไปได้อย่างไรกัน!!! ท่านพ่อบอกว่าเป็นปราณธาตุที่สาบสูญไปจากตระกูลหวังนานเเล้ว?' เย่วซินเมื่อครั้นได้สติก็ได้แต่ขบคิดด้วยความสงสัยอีกทั้งแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง

“นี่แหละขอรับที่ข้าจะสอบถามว่าความจริงแล้วมันคือปราณธาตุใด?” หนิงอ้ายที่สงสัยจึงตั้งใจรอฟังคำตอบจากมารดาของตนให้คลายสงสัยเสียที เยว่ซินที่ระงับความตื่นเต้นได้แล้วจึงตอบกลับไป

“ดวงแสงสีแดงทองที่ปรากฏขึ้น...ตามตำราตระกูลหวังกล่าวว่าเป็นปราณสุริยะธาตุอันเป็นต้นกำเนิดบริสุทธิ์แห่งปราณธาตุไฟทั้งปวงและเป็นปราณธาตุประจำตระกูลหวัง เพียงเเต่ว่าสุริยะธาตุที่นับได้ว่าคือธาตุบริสุทธิ์นี้ไม่ได้ปรากฎในตระกูลหวังเรามาหลายชั่วอายุคนในรอบหลายร้อยปีมาแล้ว ซึ่งปราณธาตุดังกล่าวนี้นับว่าเป็นพลังต้นกำเนิดบริสุทธิ์แห่งปราณธาตุไฟที่ไร้ซึ่งรูปลักษณ์ แต่ทว่าเปลวเพลิงความร้อนนี้กลับร้ายกาจไปไม่ด้อยกว่าเพลิงแท้เเห่งมังกรเลยทีเดียว อีกทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายพลังชีวิตที่เข้มข้นยิ่ง!!”

“การที่เจ้ามีสุริยะธาตุอันเป็นต้นกำเนิดบริสุทธิ์แห่งธาตุไฟนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับความเป็นมาของต้นตระกูลหวังก็เป็นได้ เพราะว่าผู้ก่อตั้งของตระกูลหวัง เป็นผู้มีวิญญาณยุทธ์มากกว่าหนึ่งและสามารถใช้ได้ถึงสามปราณธาตุนั่นคือสุริยะธาตุ ปราณธาตุไฟและปราณธาตุลม เพียงเเต่ว่าหลายพันปีมานี้ไม่ปรากฎปราณสุริยะธาตุนี้ในตระกูลหวังมานานเเล้ว เพราะโดยปกติส่วนใหญ่ผู้มีเชื้อสายของตระกูลหวังจะเป็นผู้ใช้พลังปราณธาตุไฟแต่เพียงเท่านั้น!”

“การที่ท่านบรรพพชนตระกูลหวังได้มีการส่งต่อหีบสมบัติดังกล่าวนี้จากรุ่นสู่รุ่นและท่านเจาะจงว่าต้องเป็นทายาทในรุ่นที่เก้าเท่านั้นที่ควรค่าแก่การครอบครองสิ่งที่อยู่ในหีบสมบัติ บางทีเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเจ้าก็อาจจะเป็นลิขิตสวรรค์เป็นได้...” เยว่ซินตอบกลับเด็กหนุ่ม พร้อมกับครุ่นคิดอยู่ในใจว่าในเมื่อหนิงอ้ายสามารถปลุกพลังวิญญาณเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จ อีกทั้งสืบทอดปราณธาตุจากบรรพบุรุษตระกูลหวังเช่นนี้ หากท่านพ่อและทางตระกูลหวังทราบคงดีใจกันเป็นแน่

“แม้จะเป็นเรื่องดีที่เจ้าสามารถครอบครองได้ถึงสองปราณธาตุย่อมหมายถึงว่าเจ้าสามารถเรียกใช้สองวิญญาณยุทธ์ได้เช่นกัน เพียงแต่มารดาไม่แน่ใจว่าในลักษณะนี้สามารถเรียกว่าอริธาตุได้หรือไม่ อย่างไรมารดาคงต้องสอบถามท่านตาของเจ้าเสียก่อนเพื่อความมั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเจ้าเอง”

“สำหรับวิญญาณยุทธ์ของเจ้า หลังจากที่สามารถทะลุเขตขั้นเป็นผู้ฝึกตนขุนพลวิญญาณได้สำเร็จมารดาจะตรวจสอบให้เจ้าอีกครั้งแล้วกัน แต่สิ่งที่ยืนยันได้ในตอนนี้เจ้าย่อมสามารถเรียกใช้วิญญาณยุทธ์มากกว่าหนึ่งได้เป็นแน่...” เยว่ซินเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยความภูมิใจ

ทางฝั่งของหนิงอ้ายที่อยากรู้ถึงวิญญาณยุทธ์ของตัวเองแต่ก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ในตอนนี้ นอกจากที่เขาต้องเลื่อนระดับพลังลมปราณของตนเองถึงเขตขั้นขุนพลวิญญาณให้ได้เร็วที่สุด และด้วยแรงสนับสนุนจากจี้หยกทับทิมที่เขาได้รับมาหนิงอ้ายเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอย่างแน่นอน

“มารดาจำได้ว่าก่อนหน้านี้จางเลี่ยงหวงบิดาของเจ้าได้เคยมอบตำราเคล็ดวิชาฝ่ามือของตระกูลจางให้ เช่นนั้นเจ้าจงศึกษาย่อมไม่เสียหายอันใดอย่างน้อยเคล็ดวิชาดังกล่าวก็หาได้ธรรมดาสามัญอีกทั้งยังส่งเสริมกับผู้ใช้ที่มีปราณธาตุน้ำอีกด้วย สำหรับตำราเคล็ดวิชาตระกูลหวังมารดาจะเป็นผู้ถ่ายทอดให้กับเจ้าด้วยตนเอง”

หนิงอ้ายที่ได้ยินดังนั้นจึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก จากความทรงจำเดิมทำให้รู้ว่าหวังเยว่ซินถือเป็นผู้ฝึกตนสตรีที่มีชื่อเสียงอยู่ไม่น้อย แม้ว่าในปัจจุบันระดับพลังวิญญาณจะลดลงด้วยเพราะให้กำเนิดหนิงอ้ายรวมไปถึงได้ประสบพบเจอเรื่องราวทำร้ายจิตใจเช่นนี้ และเขาเชื่อว่าหากมารดาของเขาสามารถปลดเปลื้องพันธนาการเหล่านี้ได้ หนทางหวนคืนสู่ความรุ่งโรจน์ในวิถีของผู้ฝึกตนคงไม่ยากเกินไปนัก

เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของเยว่ซินกับหนิงอ้ายได้ดังขึ้นไปตลอดยามบ่ายนี้ บรรยากาศแห่งความสุขอบอวนไปจนสัมผัสได้ ข้ารับใช้ทุกคนที่ทราบเรื่องน่ายินดีเช่นนี้ต่างล้วนดีใจเป็นอย่างมากที่คุณชายใหญ่สามารถปลุกพลังวิญญาณและเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จ และคำกล่าวปรามาสดูถูกว่าคุณชายใหญ่จางหนิงอ้ายที่เปรียบดั่งสวะไร้ค่าของตระกูลจาง แต่วันนี้กลับเป็นผู้ฝึกตนที่มีมากกว่าหนึ่งวิญญาณยุทธ์เสียด้วยซ้ำ เห็นทีคงจะต้องมีผู้ขายหน้าเสียแล้วกระมัง...

หลังจากที่หนิงอ้ายทำการปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จและทราบถึงปราณธาตุของตนแล้ว เด็กหนุ่มได้ทำการดูดซับพลังปราณฟ้าดินในทุกคืนอย่างสม่ำเสมอตามเคล็ดวิชาตระกูลหวังที่มีชื่อว่า เคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆา เป็นเคล็ดวิชาลับที่บรรพชนผู้ก่อตั้งตระกูลหวังได้คิดค้นและถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น เป็นเคล็ดวิชาการฝึกฝนบ่มเพาะบ่มปราณที่แข็งแกร่งและทรงพลังเป็นอย่างมาก ที่หากฝึกฝนสำเร็จแล้วไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพความรวดเร็วในการดูดซับลมปราณฟ้าดินเท่านั้น แต่ยังจะสร้างความแข็งแกร่งให้กับเส้นชีพจรลมปราณรวมไปถึงจุดตันเถียรรวมไปถึงอวัยวะภายในอีกด้วย และอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือยังเพิ่มสัมผัสประสาทการรับรู้ทั้งห้าให้แม่นยำเฉียบคมอีกด้วย

หนิงอ้ายสัมผัสได้ว่าการดูดซับพลังปราณตามเคล็ดวิชาดังกล่าว สามารถทำการขยายจุดตันเถียรและเส้นลมปราณให้ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าตัวเพื่อที่จะสามารถดูดซับพลังลมปราณฟ้าดินได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน มารดาของเขาได้บอกว่าไม่ใช่ทุกคนที่เป็นลูกหลานตระกูลหวังจะได้รับการฝึกวิชานี้ ผู้สืบทอดตระกูลคนต่อไปของตระกูลหรือสุดยอดรุ่นเยาว์ที่มากไปด้วยฝีมือและพรสวรรค์เท่านั้นจึงจะได้รับอนุญาติฝึกเคล็ดวิชาดังกล่าวได้ อีกทั้งวิชาดังกล่าวนี้เหมาะกับผู้มีพลังหยางหรือผู้ชายเสียมากกว่า

หากมองว่าเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาเป็นหนึ่งในสุดยอดวิชาดูดซับปราณฟ้าดินที่ขึ้นชื่อในยุทธภพแล้ว ยิ่งกับหนิงอ้ายที่มีแรงหนุนจากจี้หยกทับทิมที่ได้รับมาก่อนหน้าหากจะกล่าวว่าไม่ต่างไปจากพยัคฆ์ติดปีกคงไม่เกินจริงไปนัก เพราะว่าในการเลื่อนระดับแต่ละขั้นย่อยของหนิงอ้ายได้เป็นไปด้วยความรวดเร็วอย่างถึงที่สุด ด้วยระยะเวลาเพียงสามเดือนเท่านี้หนิงอ้ายก็สามารถเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกตนขุนพลวิญญาณได้แล้วอย่างไม่ยากเย็นนัก สำหรับการเลื่อนระดับแต่ละขั้นใหญ่เช่นนี้หากเป็นผู้ฝึกตนทั่วไปแล้วคงต้องใช้เวลามากถึงหนึ่งหรือสองปีเลยทีเดียว

หลังจากที่เยว่ซินได้ส่งสารไปยังตระกูลหวังเมื่อหลายเดือนก่อน หวังจิ่งหลงและซ่งเหมยฮวาผู้เป็นตาและยายที่ได้รู้ว่าหนิงอ้ายหลานชายของพวกเขาสามารถปลุกพลังวิญญาณเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จและเป็นผู้ฝึกตนที่มีปราณธาตุมากกว่าหนึ่ง อีกทั้งยังสามารถเรียกใช้ปราณสุริยะธาตุอันเป็นเปลวเพลิงต้นกำเนิดของตระกูลหวังได้ สิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้ทั้งสองคนรวมไปถึงผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลบางคนที่ได้รับรู้ถึงการตื่นของสายเลือดที่มากไปด้วยพรสวรรค์นี้ล้วนต่างดีใจกันทั้งสิ้น

นอกจากนั้นแล้วท่านตาของเขายังได้ส่งหวังฮุ่ยผู้เป็นดั่งมือขวาคนสนิทและผู้ติดตามที่มากฝีมืออีกสามคนให้มาดูแลเยว่ซินกับหนิงอ้ายผู้เป็นบุตรสาวและหลานชายที่แคว้นหงส์แดงนี้โดยที่มารดาของเขาไม่อาจปฏิเสธได้อีกแล้ว พร้อมกับมอบทรัพยากรอันล้ำค่าในการฝึกตนอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นผลึกปราณธาตุต่าง ๆ รวมไปถึงยังฝากฝังให้อีกฝ่ายสั่งสอนหนิงอ้ายในสิ่งที่จำเป็นอีกด้วย

แน่นอนว่าด้วยทักษะเดิมของนทีที่เป็นถึงนักฆ่าผู้มากไปด้วยฝีมือที่เชี่ยวชาญในศาสตร์ของการต่อสู้ทุกแขนง จึงทำให้ความก้าวหน้าของเขาไม่ต่างไปจากผู้ฝึกตนมากฝีมือที่อยู่ในเส้นทางนี้หลายสิบปี จนขนาดที่หวังฮุ่ยผู้ที่เป็นดั่งอาจารย์ฝึกสอนในยามนี้ถึงกับชื่นชมนายน้อยของตนเป็นอย่างมาก กล่าวได้ว่านายน้อยหนิงอ้ายของเขานั้นมากไปด้วยพรสวรรค์ที่เหนือชั้นกว่ารุ่นเดียวกันอย่างแท้จริง...

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status