แชร์

บทที่9 ผูกพันธะสัตว์อสูร

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-02-07 16:26:30

มองจากด้านนอกของหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลว่ามีพื้นที่กว้างขวางแล้ว ชั้นใต้ดินด้านล่างก็มีพื้นที่มากมายไปไม่แตกต่างกันเสียด้วยซ้ำ เพราะตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในบริเวณหนิงอ้ายก็พบว่าทั้งชั้นใต้ดินนี้มีที่คุมขังสัตว์อสูรมากมาย แน่นอนว่ากรงขังต่าง ๆ เหล่านี้ต่างถูกกำกับด้วยบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์ที่ใช้ข่มพลังของสัตว์อสูรโดยเฉพาะ

นอกจากนั้นยังมีกรงเหล็กขนาดน้อยใหญ่แตกต่างกันไปที่มีการจำแนกสัตว์อสูรเป็นประเภทของแต่ละปราณธาตุสังกัด ด้วยความที่ผู้ฝึกตนสามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรซึ่งอาจจะเพียงแค่หนึ่งครั้งในชีวิต ดังนั้นการเลือกสัตว์อสูรรับใช้ดังกล่าวผู้ฝึกตนจะเลือกโดยการอิงตามปราณธาตุที่ตนเองถนัดเพื่อจะเป็นประโยชน์ในการต่อสู้ของตนเองมากที่สุด

“แล้วต้องมีพลังวิญญาณระดับใดกันจึงจะสามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรได้?” หนิงอ้ายถามกลับลู่ซีไปอีกครั้ง

“ความจริงแล้วผู้ฝึกตนระดับแรกเริ่มหรือระดับก่อเกิดวิญญาณก็สามารถทำการผูกพันธะกับสัตว์อสูรได้แล้วขอรับ แต่เงื่อนไขคือสามารถทำได้เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้นจนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งคือผู้ผูกพันธะหรือสัตว์อสูรได้ตายลงไป ที่สำคัญคือขึ้นอยู่กับสัตว์อสูรว่าจะยินยอมให้ผูกพันธะหรือไม่? แต่ก็มีไม่น้อยที่ผู้ฝึกตนระดับสูงจะบังคับสัตว์อสูรระดับที่ด้อยกว่าให้ยินยอมผูกพันธะกับตนก็มีให้เห็นขอรับ...” ลู่ซีเอ่ยตอบข้อสงสัย

“ท่านผู้ดูแล ไม่ทราบว่าที่นี่มีสัตว์อสูรระดับมายาหรือไม่ขอรับ?” หนิงอ้ายคิดว่าเพื่อไม่เป็นการเสียเวลาในการหาสัตว์อสูรรับใช้อย่างคาดเดาก็ควรสอบถามไปให้รู้เสียเลยดีกว่า

“…” บุรุษชุดดำที่ถูกหนิงอ้ายถามนั้นหาได้ตอบสิ่งใด ร่างกายสูงใหญ่ได้หันประจันหน้ามองเด็กหนุ่มอย่างไม่ละสายตา

“ท่านผู้ดูแล คุณชายของข้าถามว่าที่นี่มีสัตว์อสูรระดับมายาหรือไม่?” ลู่ซีถามย้ำชายหนุ่มตรงหน้าไป เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมัวแต่จดจ้องคุณชายของตน

“ไม่มี...สำหรับสัตว์อสูรระดับมายาแม้จะเป็นระดับต่ำก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะคร่ากุมได้ นาน ๆ ครั้งเมื่อพบเจอจึงจะเปิดการประมูลสัตว์อสูรระดับนี้...” ชายหนุ่มคนดังกล่าวตอบไป โดยที่ไม่ละลายตาไปจากหนิงอ้าย ในใจคิดว่าคนผู้นี้น่าสนใจยิ่งนัก กริยาท่าทางคล้ายดั่งคุณชายน้อยที่ได้รับการอบรมจากตระกูลใหญ่ แต่กลับไม่ใช้อำนาจข่มขู่ผู้คนที่มีฐานะด้อยกว่าและให้เกียรติผู้อื่นอีกด้วย แม้จะเข้าใจฐานะของเขาผิดไปก็ตาม...

“ขอบคุณท่านขอรับ...” ลู่ซีเป็นฝ่ายตอบกลับและพยักหน้าด้วยความเข้าใจ ก่อนที่จะเดินนำหนิงอ้ายไปยังกรงขังอสูรในสังกัดปราณธาตุน้ำ เนื่องจากว่าท่านเยว่ซินมารดาของคุณชายไม่ต้องการให้ความสามารถเกี่ยวกับปราณสุริยะธาตุของคุณชายได้รับรู้โดยทั่วไป ดังนั้นการเลือกอสูรรับใช้ในสังกัดปราณธาตุน้ำจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

“สงสัยข้าต้องกลับเรือนมือเปล่าเป็นแน่...” หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นกับลู่ซีด้วยความอ่อนใจ เพราะผ่านไปนับชั่วยามแล้วเขายังไม่ถูกใจสัตว์อสูรตัวไหนเลย

“อย่าพึ่งถอดใจ ตรงด้านในสุดยังมีสัตว์อสูรอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ปรากฏทราบถึงประเภทและไม่รู้ว่าอยู่สังกัดปราณธาตุ ดังนั้นสัตว์อสูรเหล่านี้จึงรอเพียงวันเวลาที่จะขายไปทั้งสำหรับการนำไปใช้แรงงานหรือถูกขายไปยังเหลาอาหารต่างๆ ที่ต้องการเนื้อสัตว์อสูร สนใจลองไปดูก่อนดีหรือไม่?” ชายหนุ่มที่เดินตามติดมานั้นเอ่ยขึ้นราวกับต้องการหาทางออกในปัญหานี้ พร้อมกับเดินนำไปยังบริเวณกรงขังดังกล่าวที่อยู่ไปไม่ไกล

“นั่นเป็นสัตว์อสูรเช่นกันนั้นรึ?” หนิงอ้ายเอ่ยถามชายหนุ่มที่คิดว่าเป็นผู้ดูแลในส่วนนี้ไปอย่างสงสัย เนื่องจากว่าตรงด้านหน้าเขามีกรงขังในนั้นมีอะไรบางอย่างยืนต้นอยู่ไม่คล้ายกับสัตว์อสูรเลยแม้เเต่น้อย

“เป็นเช่นนั้น ทางผู้เชี่ยวชาญของทางหอประมูลไม่สามารถที่จะระบุได้ว่าเป็นสัตว์อสูรหรือไม่...”

หนิงอ้ายมองเข้าไปก็เห็นเป็นสิ่งที่คล้ายคลึงกับต้นไม้ยืนต้นไร้ใบที่มีลำต้นสูงใหญ่กว่าตัวเขาไปอีกช่วงตัว เมื่อมองไปยังจุดตรงกลางคล้ายกับว่าเห็นดวงตาของมันที่มองมาที่ตนด้วยความสิ้นหวังโดดเดี่ยวคล้ายกับยอมรับในโชคชะตาของตน เมื่อคิดเช่นนี้หนิงอ้ายพลันรู้สึกเจ็บปวดอยู่ในใจอย่างบอกไม่ถูก

“ข้าตัดสินใจได้แล้ว ข้าต้องการซื้อสัตว์อสูรตัวนี้!!” หนิงอ้ายขอเชื่อในความรู้สึกของตนเอง พร้อมกับบอกชายหนุ่มที่ย้ายฝั่งมายืนข้างตนโดยที่ไม่ทันสังเกต

“คุณชายขอรับ! ข้าว่า...” เสียงของลู่ซีดังขึ้นด้วยความตกใจ

“ข้าตัดสินใจดีแล้ว ต่อให้มันไม่ใช่สัตว์อสูรหรือเป็นเพียงต้นไม้ธรรมดาข้าก็จะดูแลมันให้ดีที่สุด...” หนิงอ้ายยกยิ้มเล็กน้อย เพราะเนตรแห่งสวรรค์ได้ส่งข้อมูลบางอย่างให้เขารับรู้

“หากเจ้าต้องการสัตว์อสูรตัวนี้ เช่นนั้นข้ามอบให้โดยไม่คิดเงิน...” ชายหนุ่มคนเดิมเอ่ยขึ้นพร้อมกับจ้องมองใบหน้าของหนิงอ้าย ได้ยินคำตอบอันมุ่งมั่นเขายิ่งถูกใจเด็กหนุ่มมากยิ่งขึ้นและต้องการที่จะยกเจ้าสิ่งนี้ให้โดยไม่คิดเงิน เพราะอย่างไรเขาก็ไม่ได้สนใจเจ้าตัวนี้อยู่แล้ว

“ได้อย่างไรเล่าของซื้อของขายเช่นนี้ ท่านโปรดคิดเงินตามปกติเป็นการดีที่สุด” หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยความเกรงใจ

หลังจากที่เด็กหนุ่มทั้งสองคนพร้อมกับสัตว์อสูรได้ออกไปจากหอประมูลพยัคฆ์คำรามแล้ว ใบหน้าเรียบนิ่งของชายหนุ่มได้ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับเอ่ยออกมาเบา ๆ

เสี่ยวไป๋ทู่ตัวน้อย ช่างน่าสนใจเสียจริง...

“นายท่าน!!” ชายหนุ่มชุดดำหันไปด้านหลังตามเสียงเรียก เห็นเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง พินิจจากเสื้อผ้าที่สวมใส่แล้วคล้ายคลึงกับกับผู้ดูแลประจำหอประมูลแห่งนี้ เพียงแต่เนื้อผ้าที่สวมใส่เป็นผ้าเนื้อดีหายาก บ่งบอกได้ถึงฐานะไม่ธรรมดา

“ขออภัยนายท่านขอรับ ไม่ทราบว่าท่านเดินทางมาถึงแล้วจึงไม่ได้ให้การต้อนรับอย่างเหมาะสม!” ชายวัยกลางคนดังกล่าว ยกมือประสานโค้งตัวลงด้วยความนอบน้อม นายท่านผู้นี้หาใช่ผู้ที่ล่วงเกินได้

“ช่างเถอะ ข้าเพียงผ่านมาเจอสิ่งที่น่าสนใจแถวนี้เพียงเท่านั้น ของที่ข้าให้เตรียมไว้เรียบร้อยหรือไม่?” ชายหนุ่มถามกลับไป

“ทุกอย่างเรียบร้อยครบถ้วนตามที่นายท่านต้องการ เชิญนายท่านขึ้นไปพักผ่อนที่ชั้นห้าก่อนขอรับ” ไม่รอให้อีกฝ่ายเชื้อเชิญไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มมุ่งตรงไปยังชั้นดังกล่าวทันที ในใจยังคงครุ่นคิดถึงเด็กหนุ่มที่พึ่งจากไปเมื่อครู่...

ใช้เวลาไม่นานจากหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลก็เข้าสู่เขตพื้นที่ของตระกูลจาง เมื่อมาถึงเรือนท้ายจวนก็พบว่าเยว่ซินกำลังยืนรออยู่โดยที่ใบหน้างามของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความเป็นห่วง แต่เมื่อเห็นว่าทุกคนปลอดภัยไร้ซึ่งรอยขีดข่วนนางจึงโล่งใจในที่สุด จากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้มารดาของตนได้ฟังว่าวันนี้เขาได้เลือกซื้อสิ่งใดมาบ้าง เมื่อพูดถึงสัตว์อสูรที่ได้ซื้อมาจากหอประมูล ในตอนแรกเยว่ซินก็มีท่าทีที่ไม่เห็นด้วยและต้องการให้หนิงอ้ายกลับไปซื้อสัตว์อสูรตัวใหม่แทนเสีย

หนิงอ้ายได้เอ่ยปฏิเสธไปพร้อมกับให้เหตุผลไปว่าเขารู้สึกถูกชะตากับสัตว์อสูรตัวนี้และเชื่อมั่นในการตัดสินใจของตน แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วอาจไม่สามารถผูกพันธะได้ ถึงอย่างไรเขาก็เต็มใจที่จะดูแลอีกฝ่ายให้ดีที่สุด และหนิงอ้ายจึงขอให้หวังฮุ่ยสอนตนผูกพันธะกับสัตว์อสูรโดยที่มีเยว่ซินกับลู่ซียืนให้กำลังใจอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก

“แล้วการผูกพันธะกับสัตว์อสูรต้องทำอย่างไรหรือขอรับท่านลุงฮุ่ย??”

“นายน้อยจะต้องร่ายบทเวทย์ผูกพันธะสัตว์อสูรออกมาเสียก่อน จากนั้นจึงใช้เลือดของนายน้อยและสัตว์อสูรนำมาหยดในวงเวทย์ที่ได้ร่ายขึ้น แม้ไม่ได้ซับซ้อนแต่ก็ไม่ได้ง่ายดายเนื่องจากมีอักขระเวทย์เฉพาะที่ต้องออกพลังลมปราณเป็นจำนวนมากในคราวเดียว แต่ข้าเชื่อว่านายน้อยสามารถจดจำและร่ายบทเวทย์นี้ออกมาได้อย่างแน่นอน”

“เช่นนั้นรบกวนท่านลุงฮุ่ยสอนข้าด้วยขอรับ...”

หนิงอ้ายใช้เวลาประมาณเกือบครึ่งชั่วยามในการศึกษาและลองร่ายบทเวทย์ผูกพันธะสัตว์อสูรนี้ และด้วยไม่รู้ว่าสัตว์อสูรที่ได้ซื้อมาเป็นอสูรระดับใด ดังนั้นหวังฮุ่ยจึงต้องการให้หนิงอ้ายจดจำและร่ายบทเวทย์ผูกพันธะสัตว์อสูรให้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดเพื่อป้องการความผิดพลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้นมาได้ ซึ่งหนิงอ้ายคิดว่าบทเวทย์ผูกพันธะสัตว์อสูรนี้ไม่ได้มีความยุ่งยากหรือซับซ้อนมากเท่าที่คิดไว้

“ท่านลุงฮุ่ย ข้าจำบทเวทย์ผูกพันธะได้แล้วขอรับ!”

แม้จะตกตะลึงในพรสวรรค์นายน้อยของตนเพราะว่าหนิงอ้ายสามารถจดจำรูปแบบของวงเวทย์นี้ได้โดยใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามเสียด้วยซ้ำอย่างไรหวังฮุ่ยยังคงแนะนำต่อไป “เช่นนั้นนายน้อยปล่อยพลังวิญญาณออกมาพร้อมกับร่ายบทเวทย์ขอรับ...”

“เข้าใจแล้ว!” หนิงอ้ายพยักหน้าตอบกลับจากนั้นจึงทำการปล่อยพลังวิญญาณออกมาในที่สุด

พรึบ!

รัศมีแสงสีน้ำเงินเข้มประกายได้ปรากฏตรงด้านหลังของหนิงอ้ายแสดงให้เห็นถึงระดับสูงสุดของผู้ใช้ปราณธาตุน้ำก่อนที่จะสลายหายไป ไม่รอช้าให้เสียเวลาไปมากกว่านี้หนิงอ้ายได้เริ่มร่ายบทเวทย์ผูกพันธะสัตว์อสูรออกมาด้วยสมาธิที่ตั้งมั่น เมื่อวงแหวนเวทย์ผูกพันธะได้ปรากฎขึ้นตรงพื้นยืนเป็นรัศมีแสงสีทองน้ำเงินที่ล้อมรอบด้วยอักขระเวทย์ที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของความศักดิ์สิทธิ์โบราณ

จากนั้นหนิงอ้ายจึงใช้พลังลมปราณเปลี่ยนให้มีความคมดั่งมีดแล้วกรีดลงเกิดเป็นหยดเลือดตรงปลายนิ้วแล้วหยดลงไปในวงแหวนเวทย์ดังกล่าว ก่อนที่ตรงด้านหน้าของหนิงอ้ายปรากฏเป็นสัตว์อสูรรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกับต้นไม้โบราณไร้ซึ่งก้านใบ ความสูงในตอนนี้ถูกปรับลดลงมาเหลือขนาดประมาณสองเมตรเพียงเท่านั้น สำหรับบาดแผลต่าง ๆ ที่เขาเห็นว่าได้รับบาดเจ็บก่อนหน้า ในตอนนี้ถูกรักษาจนหายดีแล้วเนื่องจากหนิงอ้ายสามารถประทับตราผูกพันธะได้สำเร็จตามขั้นตอนที่ถูกต้อง

ข้อมูลของสัตว์อสูรที่ปรากฏในห้วงของการรับรู้ทำให้หนิงอ้ายเข้าใจแล้วว่าเหตุใดก่อนหน้านี้ทางหอประมูลพยัคฆ์รัตติกาลหรือแม้กระทั่งผู้ฝึกตนระดับสูงที่เชี่ยวชาญยังไม่สามารถตรวจสอบสิ่งใดได้ เนื่องจากเป็นเพราะความพิเศษของเผ่าพันธุ์สัตว์อสูร มหาพฤกษารัตนะทมิฬ ที่เป็นสัตว์อสูรปราณธาตุไม้ที่เชี่ยวชาญในการปกป้องควบคุมเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าสัตว์อสูรปราณธาตุไม้จะไม่นิยมนำมาผูกพันธะเนื่องจากผู้ฝึกตนส่วนมากจะมุ่งเน้นสัตว์อสูรปราณธาตุอื่นที่สนับสนุนการโจมตีได้ แต่ข้อจำกัดนี้กลับไม่ใช่สัตว์อสูรตัวนี้ที่เขาพึ่งทำการผูกพันธะไปอย่างแน่นอน

“จากนี้เป็นต้นไปเจ้าจะเป็นสัตว์วิญญาณในพันธะหนึ่งเดียวของข้า สำหรับนามของเจ้าคือ เจียวซิ่น หมายถึง ‘ความศรัทธาที่อ่อนโยน’ เจ้าชอบหรือไม่?” หนิงอ้ายถามอีกฝ่ายไปเพื่อความแน่ใจ และคล้ายกับว่าเจียวซิ่นจะเข้าใจที่สิ่งหนิงอ้ายถามเพราะได้ตอบกลับด้วยการขยับส่วนช่วงบนตัวไปหนึ่งครั้ง

“ข้าจะดูแลเจ้าให้ดีที่สุดและเจ้าไม่ใช่แค่อสูรรับใช้เท่านั้นเพราะเจ้าจะเป็นดั่งสหายคนสำคัญของข้า เจ้าก็เช่นกันนะลู่ซี...” หนิงอ้ายบอกกับเจียวซิ่นและลู่ซีไปพร้อมกันสำหรับลู่ซีนั้นเปรียบเสมือนเพื่อนคนแรกของเขาและเจียวซิ่นก็เป็นอสูรรับใช้ของเขาในโลกนี้เช่นกันเมื่อลู่ซีได้ยินก็พลันตื้นตันอยู่ในใจ

“หนิงเอ๋อร์ตั้งชื่อว่าเจียวซิ่นอย่างนั้นรึ? ช่างมีความหมายที่ดีเลยทีเดียว...” เย่วซินยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อสัมผัสความสดใสที่แผ่ออกมาจนสัมผัสได้ของเด็กหนุ่มในใจของนางรู้สึกขอบคุณสวรรค์และโชคชะตาที่ทำให้บุตรของนางได้กลับมามีความสุขอีกครั้ง

“เจียวซิ่นเป็นสัตว์อสูรเผ่าพันธุ์มหาพฤกษารัตนะทมิฬซึ่งเป็นสัตว์อสูรปราณธาตุไม้ และด้วยความพิเศษทางสายเลือดจึงไม่สามารถมีผู้ใดหรือบทเวทย์ใดตรวจสอบอีกฝ่ายได้เนื่องจากเจียวซิ่นมีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งมาก ที่สำคัญคือเจียวซิ่นเป็นสัตว์อสูรที่มีปราณธาตุไม้ผันแปร ซึ่งเท่ากับว่าปราณธาตุที่สามารถใช้ได้จะขึ้นอยู่กับนายแห่งพันธะที่ครอบครองอยู่เช่นกันขอรับ” หนิงอ้ายบอกถึงความสามารถเฉพาะของเจียวซิ่นให้กับทุกคนในที่นี้ได้ล่วงรู้ไปพร้อมกัน

“ไม่คิดเลยว่าสัตว์อสูรปราณธาตุไม้จะมากไปด้วยความสามารถเช่นนี้...” หวังฮุ่ยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชม ทางฝั่งของเยว่ซินกับลู่ซีต่างมีความเห็นตรงกันว่าช่างเป็นโชคดีของหนิงอ้ายที่สามารถผูกพันธะกับสัตว์อสูรหายากเช่นนี้ได้

“สัตว์อสูรที่พึ่งถูกประทับตราผูกพันธะไปยังต้องใช้เวลาไม่น้อยในการปรับสมดุลในร่างกาย เช่นนั้นนายน้อยให้เจียวซิ่นกลับเข้าไปพักผ่อนในห้วงจิตเถอะขอรับ...”

“มาเถอะเจียวซิ่นเจ้าต้องรีบเพิ่มระดับพลังให้เร็วที่สุดจะได้พูดคุยคลายเหงากันบ้าง” หนิงอ้ายเอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะเรียกตัวเจียวซิ่นให้กลับเข้าไปในห้วงจิตในทันที

“ท่านลุงฮุ่ยเเล้วการเพิ่มระดับพลังของเจียวซิ่นต้องทำอย่างไรหรือขอรับ?” หนิงอ้ายถามหวังฮุ่ยไปอีกครั้ง

“อสูรรับใช้ทุกประเภทจะมีการเพิ่มระดับพลังเช่นเดียวกันกับผู้ฝึกตนนั่นคือการดูดซับผลึกธาตุ อีกทั้งอสูรรับใช้ในพันธะจะมีการใช้ลมปราณจากร่างกายของผู้ฝึกตนผู้เป็นเจ้านายในการเพิ่มระดับด้วยเช่นกัน...” หวังฮุ่ยอธิบายให้หนิงอ้ายเข้าใจง่าย ๆ

หลังจากทุกอย่างเสร็จไปด้วยดีแล้วทุกคนในที่นี้จึงแยกย้ายกันไปพักผ่อนในห้องพักในเรื่องของตน สำหรับหนิงอ้ายยังคงใช้เวลาทั้งคืนไปกับการดูดซับปราณฟ้าดินเหมือนดังเช่นทุกคืนที่ผ่านมา โดยที่ไม่ทันได้สังเกตว่าตลอดหลายเดือนมานี้จี้หยกทับทิมที่เขาใส่อยู่นั้นได้ส่งผลให้ความหนาแน่นของลมปราณฟ้าดินโดยรอบของเรือนท้ายจวนหลังนี้มีความเข้มข้นเป็นอย่างมากหลายเท่า อีกทั้งปริมาณการดูดซับปราณฟ้าดินเหล่านี้ที่เข้าในร่างกายก็มีปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยเพราะต่างถูกนำไปหล่อเลี้ยงสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุไม้ผันแปรที่มีความลึกล้ำในสายเลือดพิศดาร รวมไปพลังของสายเลือดอันแข็งแกร่งที่ยังหลับไหลอยู่ในขณะนี้แต่ก็คล้ายกับว่าอีกไม่นานก็จะตื่นขึ้นแล้วเช่นกัน..

หนิงอ้ายคอยเอาใจใส่เจียวซิ่นเฉกเช่นลูกน้อยของตนก็คงไม่เกินจริง ทั้งคอยสรรหาผลึกธาตุอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เจียวซิ่นได้เลื่อนระดับขั้นถัดไปได้อย่างมั่นคง ด้วยพันธะระหว่างพวกเขาจึงทำให้หนิงอ้ายได้รับรู้เพิ่มเติมว่าเเท้ที่จริงเเล้วเจียวซิ่นสามารถเลื่อนระดับได้สูงสุดผันแปรไปตามระดับพลังวิญญาณของนายแห่งพันธะหรือตัวของหนิงอ้ายได้ เท่ากับว่าหากเขาสามารถเลื่อนระดับเป็นผู้ฝึกตนขุนนางวิญญาณได้เมื่อไหร่เจียวซิ่นก็จะเป็นสัตว์อสูรระดับนภาขั้นกลางในทันทีเช่นกัน

“เจ้าคิดว่าหากผู้ฝึกตนสามารถกินเนื้อสัตว์อสูรเพื่อเพิ่มระดับพลังวิญญาณได้ เช่นนั้นสัตว์อสูรเล่าสามารถทำได้บ้างหรือไม่?” หนิงอ้ายถามลู่ซีถึงความเป็นไปได้ในสิ่งที่เขาคิด

“ข้าว่าสามารถลองให้เจียวซิ่นกินดูก่อนได้ขอรับไม่เสียหายอันใดขอรับ บางทีสำหรับเจ้าเจียวซิ่นที่ไม่เหมือนกับสัตรอสูรตัวอื่น ดังนั้นการเพิ่มระดับพลังก็อาจจะแตกต่างออกไปได้เช่นกัน”

“เช่นนั้นข้าขอไปตลาดเพื่อซื้อเนื้อสัตว์อสูรมาให้เจียวซิ่นนะขอรับ” ลู่ซีบอกกับหนิงอ้ายก่อนที่จะใช้วิชาตัวเบาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ที่ตอนนี้ใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ อีกทั้งลู่ซีเองก็ต้องการทราบความลับนี้ไม่ต่างกันว่าสามารถเป็นไปได้หรือไม่

“เนื่องจากไปในเวลาค่ำเช่นนี้จึงได้ซากสัตว์อสูรระดับปฐพีมาเพียงหนึ่งตัว...” ลู่ซีว่าพลางเรียกออกมาจากแหวนเก็บของของตนแล้ววางไปตรงหน้าของของเจียวซิ่น

ตรงพื้นโดยรอบของเจียวซิ่นปรากฎเป็นกับดักบุปผามรณะที่ส่วนยอดด้านบนมีลักษณะเหมือนกับส่วนประกบเปิดปิดที่เต็มไปด้วยส่วนของฟันแหลมที่ในตอนนี้ได้โน้มลงมางับร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรด้วยความรวดเร็ว เสียงฉีกกระชากดังขึ้นชวนให้รู้สึกดูสยองเพราะคมเขี้ยวมีความคมเป็นอย่างมากสามารถตัดเนื้อเป็นชิ้นใหญ่ไปได้เพียงคำเดียว ทั้งหนิงอ้ายและลู่ซีต่างมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ดูท่าเเล้วเจ้าเจียวซิ่นดูจะชอบอาหารเช่นนี้มาก เเต่ทว่าจะส่งผลไปถึงการเลื่อนระดับขั้นถัดไปได้โดยจะเป็นไปตามที่พวกเขาคิดไว้หรือไม่ คงต้องอาศัยการให้อาหารแก่อีกฝ่ายเช่นนี้อย่างต่อเนื่องเเล้วกันจึงจะเห็นผล

“เอาละเจียวซิ่นเมื่อเจ้ากินหมดแล้วเจ้าเข้าไปในห้วงจิตเพื่อพักผ่อนเสีย” ส่วนของลำต้นเจียวซิ่นขยับโค้งลงเล็กน้อยแล้วหายเข้าไปในมิติจิตของหนิงอ้ายทันที…

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status