จวนสกุลกง
“ข้ามิได้ฆ่านาง ข้าเองก็ถูกนัดไปที่นั่น ข้ามิได้ทำนะ ข้าไม่ได้ทำ!!”
“เจ้าเป็นใคร”
“ข้าจะกลับมาที่ร่างของข้าแต่กลับไม่ได้ เจ้านั่นแหละคือผู้ใด เหตุใดจึง…ฮือ…ข้ากลับไม่ได้แล้ว…”
“เจ้า… คือใคร”
“ข้าชื่อ “กงเหรินซิน” บุตรีคนที่สามของแม่ทัพใหญ่แห่งซานโจวกงฮั่ว ข้าเป็น… ข้า..”
“เจ้าทำอะไรลงไป”
เยว่ชิงชิงไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ทันทีที่สตินางดับสูญที่หน้าผาเขาตงซาน นางก็รู้สึกหายใจไม่ออกและไม่เคยรู้เลยว่าใต้เทือกเขาสูงนี้จะมีแม่น้ำอยู่แต่ทว่าภาพที่นางกำลังเห็นอยู่ในตอนนี้กลับทำให้นางต้องสงสัย
“นี่มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดข้าถึงเห็นภาพเหล่านี้”
ไม่นานเยว่ชิงชิงจึงได้เข้าใจ สิ่งที่นางเห็นคือสิ่งที่พึ่งจะเกิดขึ้นก่อนที่นางจะถูกนำตัวมายังเตียงอุ่น ๆ ในห้องนอนนี้
“ข้าเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของแม่ทัพกงฮั่วผู้ยิ่งใหญ่ มีทั้งบุญคุณต่อแผ่นดินและราชสำนัก แม้นข้าจะเป็นสตรีที่หัวรั้นและโง่เขลาที่หลงรักบุรุษเพียงคนเดียวอย่างโง่งมเช่น "หมิงชินอ๋อง" ทั้ง ๆ ที่เขามิเคยเหลียวแลข้าเลย ถึงขั้นรังเกียจด้วยซ้ำไป"
“หมิงชินอ๋อง กงเหรินซิน กงฮั่วนี่มันเรื่องอะไรกัน โอ๊ย!!”
ไม่นานเสียงเรียกของใครบางคนก็ทำให้นางรู้สึกตัว ผ้าอุ่น ๆ ที่คอยเช็ดใบหน้าของนางทำให้นางรู้สึกตัวอีกครั้ง เมื่อค่อย ๆ ขยับเปลือกตาขึ้นก็เริ่มรู้สึกว่าร่างกายนี้หนักเสียจนแทบจะขยับไม่ไหว นางมีไข้นั่นเอง
“เกิดอะไรขึ้น”
“คุณหนูรู้สึกตัวแล้ว ข้าจะให้คนไปแจ้งคุณชายรอง”
ทุกความทรงจำของ “กงเหรินซิน” ค่อย ๆ แทรกเข้ามาในหัวของเยว่ชิงชิงที่นอนอยู่ราวกับพยายามถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมด ไม่นานร่างสตรีที่บอบบางและรอยยิ้มเศร้า ๆ ก็ค่อย ๆ หายไปพร้อมกับชายแก่ที่มารับนาง แม้ว่าจะเรียกสุดเสียงก็ราวกับว่านางจะไม่ได้ยินอีกต่อไปแล้ว
“ช่วยตามหาฆาตกรที่ฆ่าข้า แก้แค้นและอยู่ในร่างของข้าให้ดี ข้าของฝากเจ้าด้วย….เยว่ชิงชิง"
“เดี๋ยว!! ไม่นะ ข้าก็มีความแค้นของข้า เดี๋ยวก่อน!!”
“น้องสาม! เจ้าฟื้นแล้วโล่งอกไปที”
เสียงของบุรุษหนุ่มที่คุ้นหูค่อย ๆ ดังขึ้น มือนุ่มของเขาเอื้อมมาจับและบีบมือนางเอาไว้พร้อมกับพยายามเรียกนางอยู่ข้าง ๆ กลิ่นไม้กฤษณาที่ติดกายทำให้นางจำได้ทันที เขาคือผู้ที่ช่วยนางขึ้นมาจากน้ำ หรือก็คือ “กงอวี้หาน” ในตอนนี้นั่นเอง
“ท่าน…”
“ข้าเอง พี่รองของเจ้าตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง เจ้ายังมีไข้อยู่เดี๋ยวข้าจะให้อาเจิงมาเช็ดตัวให้เจ้า”
“อาเจิง…”
“อาเจิง” คือสาวใช้ของกงเหรินซิน นางเป็นสาวใช้เพียงคนเดียวที่ยอมมาอยู่ข้างกายกงเหรินซินที่ดื้อรั้น เอาแต่ใจและเป็นสตรีที่ใคร ๆ ต่างหวาดกลัว ด้วยอำนาจของบิดานางที่เป็นแม่ทัพใหญ่ ทั่วทั้งเมืองซานโจวจึงไม่มีผู้ใดกล้ามีปัญหากับนาง
“เจ้าหมดสติไปสองคืนเต็ม ๆ หากว่าเจ้าไม่ฟื้นวันนี้ข้าคงต้องเรียกหมอมาดูอาการเจ้าแล้ว”
มือของผู้เป็นพี่ชายจับนางอยู่นุ่มดุจไม่เคยจับอาวุธ เขาคงเป็นพี่ชายคนรองที่เจ้าของร่างพูดถึงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะไม่อยากจดจำแต่เรื่องราวของกงเหรินซินก็เข้ามาในหัวจนนางจดจำได้ราวกับว่านางคือกงเหรินซิน ทั้งนิสัย ญาติพี่น้องและ…บุรุษที่นางรัก “เยว่ชิงชิง” ก็ทราบหมด
“พี่… พี่รอง”
“เจ้าอย่าพึ่งลุกสิตอนนี้เจ้ายังมีไข้อยู่ ข้าจะสั่งสาวใช้ให้เอายาแก้ไข้มาให้เจ้าดื่มรอก่อนนะ อาเจิงมาเฝ้านางที”
“เจ้าค่ะ”
ตอนนี้เมื่อนางเริ่มลืมตาก็ค่อย ๆ หันไปมองดูโดยรอบ ห้องนอนของกงเหรินซินมีแต่เครื่องเรือนไม้ที่หรูหรา เตียงและชุดที่นางใส่ก็มิใช่ผ้าราคาถูก เมื่อหันไปมองก็พบว่าสาวใช้หน้าตาน่ารักที่น่าจะอายุน้อยกว่านาง (เยว่ชิงชิงที่อายุย่างยี่สิบปี) กำลังรินน้ำมาให้นาง
“คุณหนูท่านฟื้นเสียทีบ่าวตกใจหมดเลยเจ้าค่ะ ท่านหมดสติไปสองคืนไข้ขึ้นไม่ลด คุณชายรองตามหมอทั่วทั้งเมืองหลวงมาที่จวนเพราะเกรงว่าท่านจะ…”
“เจ้า… อาเจิง”
“เจ้าค่ะคุณหนู ท่านอยากได้อะไรหรือไม่เจ้าคะ ดื่มน้ำเพิ่มหรือไม่”
“ไม่ ข้า… อยากอยู่นิ่ง ๆ สักพัก”
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าจะรีบนำน้ำมาเปลี่ยนและไปสั่งให้จิ่นมู่เอาเตาถ่านมาเพิ่มให้นะเจ้าคะ”
เมื่อนางหันไปมองข้าง ๆ ก็พบว่ามีเตาผิงถ่านวางอยู่ มิน่าเล่าถึงได้รู้สึกอุ่นสบายท่ามกลางอากาศที่เริ่มเย็นลงในฤดูสารทเช่นนี้ แต่จะบอกได้เช่นไรว่านางมิใช่กงเหรินซิน ตอนนี้รู้เพียงว่าจะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในร่างของสตรีที่มีแต่คนรังเกียจและกลัวผู้นี้
“นางร้ายงั้นหรือ เป็นนางร้ายแล้วเหตุใดจึงได้โง่ถูกลอบฆ่าได้ง่ายดายถึงเพียงนี้”
นางเพียงพยายามบีบมือตัวเองก็พบว่าเรี่ยวแรงแทบจะไม่เหลือ สตรีในเรือนเช่นกงเหรินซินไม่เคยจับอาวุธแม้จะเป็นถึงบุตรีท่านแม่ทัพ แต่สำหรับเยว่ชิงชิง นางเป็นสตรียอดฝีมือในยุทธภพ แม้นผู้ใดได้ยินชื่อต่างก็รู้ว่าคือยอดฝีมือซึ่งยากที่จะมีผู้ใดสามารถเอาชนะนางได้ง่าย ๆ
“ยอดสตรีผู้กล้าในยุทธภพ “กระบี่วารีพิสุทธิ์” เหลือแค่เพียงคำเล่าขานเท่านั้น”
เข้าวันที่สามแล้วที่นางมาอยู่ในร่างของกงเหรินซิน ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาพักฟื้นและปรับตัว แม้ว่าที่จวนสกุลกงจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่าง และบัดนี้นางยังกลายเป็นคุณหนูคนเดียวแห่งจวนแม่ทัพ แต่ก็หาได้มีความสุขไม่เพราะในใจของนางเริ่มคิดทบทวนถึงสิ่งที่ผ่านมา
“ร่างกายนี้อ่อนแอเกินไป วรยุทธ์ของข้าคืนมาเพียงแค่สามส่วนเท่านั้น แม้ว่ากำลังภายในจะเริ่มฟื้นฟูแต่กลับแทบจะไม่มีแรงถือกระบี่ หากเป็นเช่นนี้จะออกไปตามสืบคนที่ฆ่าอาจารย์แล้วล้างแค้นได้เช่นไรกัน”
กงเหรินซินนับตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาก็เงียบผิดปกติ นางแทบจะไม่คุยกับผู้ใดเลยนอกจากอาเจิงสาวใช้ข้างกาย
“คุณหนูนี่ท่าน….”
“อย่าตกใจไป ข้าคิดว่าวันที่ข้าตกลงไปในน้ำวันนั้น ความทรงจำบางอย่างของข้าได้หายไปก็เลยต้องให้เจ้าช่วยน่ะ”
“แต่ว่าเรื่องนี้ท่านควรจะแจ้งคุณชายรองนะเจ้าคะ ตอนนี้คุณชายใหญ่กับนายท่านตั้งกองทัพอยู่ชายแดนเมืองเฉียงอันคิดว่าข่าวของท่านน่าจะส่งไปถึงแล้ว”
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่…”
ความทรงจำของเจ้าของร่างบอกกับนางว่า ความสัมพันธ์ระหว่างกงเหรินซินกับพี่ใหญ่ “กงจ้าวหนาน” นั้นไม่ค่อยดีนัก เพราะนางเอาแต่ใจตัวเองและดื้อรั้นจนพี่ใหญ่ของนางออกปากว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาจะไม่นับว่านางเป็นน้องสาวเพราะอับอาย
ส่วนแม่ทัพกงนั้นหลังจากที่สูญเสียฮูหยินก็เอาแต่ออกศึกโดยมิได้สนใจจะอบรมบุตรีคนสุดท้อง ดังนั้นกงเหรินซินจึงเติบโตมาท่ามกลางความโดดเดี่ยว ไร้คนอบรม มีเพียงพี่รองของนางซึ่งเป็นขุนนางอยู่ที่เมืองหลวงที่ยังดูแลเอาใจใส่และเห็นนางเป็นน้องสาว
“มิน่าเล่าถึงได้เป็นเช่นนี้ ข้าไม่แปลกใจเลย”
“คุณหนูเจ้าคะ!”
สาวใช้วิ่งหน้าตาตื่นวิ่งมาที่ศาลาในสวน เมื่อเห็นหน้ากงเหรินซินที่หันมาก็นึกหวาดกลัวจนต้องคุกเข่าก้มหน้าลงทันที เหรินซินถึงกับตกใจเมื่อเห็นพฤติกรรมเช่นนี้
“คะ คุณหนูบ่าวผิดไปแล้ว”
“เป็นอะไรไป ลุกขึ้นเถอะข้ามิได้จะตำหนิเจ้า อาเจิงเจ้าจัดการสิ”
อาเจิงค่อย ๆ เดินมาพยุงสาวใช้ลุกขึ้นมา สาวใช้หันมามองหน้าคุณหนูที่มองนางกลับมาก็รีบหลบสายตาทันที
“เจ้ามีอะไรก็ว่ามาเถอะ”
“เจ้าค่ะคุณหนู คือว่า…หมิงชินอ๋องเสด็จมาพร้อมกับทหารอีกหลายคน บอกว่าจะมารับตัวท่านไปสอบสวนเรื่องในวังเมื่อสามวันก่อน ตอนนี้ประทับรออยู่ที่ห้องโถงกลางเจ้าค่ะ”
สามวันถัดมา“เสด็จแม่ ยังอีกไกลหรือไม่เพคะ”“ไหนว่าเจ้าจะไม่บ่นอย่างไรเล่าเซียนเอ๋อร์ นี่แค่ทางขึ้นเขาเองเจ้าก็บ่นเสียแล้ว”“ข้าแค่รู้สึกเวียนหัวเพราะรถม้ามันโยกนี่เพคะ”“มานั่งตักพ่อเถอะจะได้นิ่มหน่อย มาสิ”หมิงชิงเซียนขยับไปนั่งตักบิดาซึ่งทั้งกว้างและนิ่มเมื่อท่านอ๋องวางตำราลงและหันมามองหน้าพระชายาที่แง้มหน้าต่างและเริ่มมองออกไปข้างนอก“เจ้าคงไม่คิดที่จะอยู่ที่สำนักไป๋ซานนานนักหรอกนะ ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็เป็นพระชายาหมิงชินอ๋อง หาใช่สตรีอันดับหนึ่งในยุทธภพไม่”“ท่านกังวลเกินไปแล้ว ข้าแค่อยากจะมองดูรอบ ๆ เท่านั้นว่าต่างไปจากเดิมหรือไม่”“เสด็จพ่อ ลูกจะต้องมาฝึกที่นี่จริง ๆ หรือเพคะ”“เจ้าอยากจะมาหรือไม่เล่าเซียนเอ๋อร์”“ลูกเองก็ไม่รู้ แต่ลูกอยากจะเก่งเหมือนเสด็จแม่เพคะ”“เจ้าเป็นลูกของแม่ก็ต้องเก่งและยอดเยี่ยมเหมือนแม่เจ้าอยู่แล้ว ยอดหญิงอันดับหนึ่งในใต้หล้ามีเพียงเสด็จแม่ของเจ้าเท่านั้น”“แต่เหตุใดบางคืนข้าถึงได้ยินเสียงท่านแม่ร้องแปลก ๆ เล่าเพคะ”เหรินซินหันมามองพักตร์ท่านอ๋องในทันทีเมื่อได้ยินเสียงบุตรสาวกล่าวขึ้นมา ท่านอ๋องนึกขำเมื่อเห็นใบหน้าของพระชายาที่เริ่มแดงจัดจนถึงใบหู“เซ
แปดปีต่อมา“ชิงเซียน ได้เวลาอาบน้ำแล้ว”“เพคะเสด็จแม่ แต่ว่าข้ายังอยากฝึกดาบอยู่”“วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะ น้าอันเมี่ยนของเจ้าเหนื่อยแล้วอีกเดี๋ยวเสด็จพ่อเจ้าก็จะกลับมาจากในวัง จะถูกตำหนิเอาได้นะ”“ก็ได้เพคะ”“ข้าพานางไปเองเพคะ”“ฝากเจ้าด้วยนะอาเจิง”“เพคะพระชายา”อาเจิงพา “หมิงชิงเซียน” บุตรสาวของท่านอ๋องในวัยสี่ขวบครึ่งไปอาบน้ำตามคำสั่งของพระชายากงเหรินซิน ไม่นานเมื่อทั้งคู่เดินไปท่านอ๋องก็กลับเข้ามาในตำหนัก พระองค์เดินตรงมาหานางที่นั่งรออยู่ศาลาริมสวนซึ่งชิงเซียนใช้ฝึกดาบกับอันเมี่ยน“ท่านพี่”“เหตุใดเจ้าถึงได้มานั่งที่นี่คนเดียว เซียนเอ๋อร์เล่าไปไหนแล้ว”“ข้าให้อาเจิงพานางไปอาบน้ำแล้วเพคะ เหตุใดวันนี้ท่านพี่จึงกลับเร็วนักเล่าเพคะ”“รีบกลับมาหาเจ้าน่ะสิ เตรียมของทุกอย่างแล้วหรือ”“เสร็จเรียบร้อยแล้วเพคะ อากาศเริ่มเย็นลงอีกแล้วคิดว่าครั้งนี้คงไม่หนาวเท่าปีก่อน หยางเอ๋อร์จะได้ไม่ลำบากมาก”“เจ้าก็เอาแต่เป็นห่วงบุตรชายของเจ้า เขาไปฝึกที่สำนักไป๋ซานร่วมปีแล้วน่าจะชินกับอากาศแล้วกระมัง อีกอย่างยังมีอาจารย์อย่างเฉินกวนคอยส่งข่าวมาให้ไม่ขาด ยังเป็นห่วงอีกหรือ”“แต่หยางเอ๋อร์ยังเด็กนะเพคะ เส
“อ๊าา…. อ๊าา ไม่ไหวแล้ว มันจุกมาก อื้อ….”เหรินซินทั้งกัดฟัน ทั้งอ้าปากระบายความเสียวออกมาเมื่อท่านอ๋องจับบั้นท้ายนางกระแทกลงมาถี่ ๆ เพื่อรับมังกรยักษ์ที่สอดอยู่ด้านใน ไม่นานร่างเล็กก็ถูกเขาจับพลิกให้นอนตะแคง ขาข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมา อ้อมกอดของพระสวามีกระชับเข้ามาจนชิดและถูกเขากระแทกอีกครั้ง พร้อมกับหน้าอกที่ถูกนิ้วสากหนานั้นบดขยี้ที่ยอดจนแตะทางสวรรค์ไปอีกครั้ง“อ๊าา….”ครึ่งชั่วยามถัดมา“ท่านพี่เพคะ พอแล้วได้หรือไม่ข้าขอพัก อ๊าา!!”หน้าต่างทุกบาน รวมถึงประตูถูกลงกลอนจนหมดสิ้น บัดนี้เหรินซินได้หลงกลท่านอ๋องเพราะคำพูดหวาน ๆ นั่นเสียแล้ว ใครจะคิดว่าหลังจากที่เปิดประตูให้พระสวามีเข้ามา นางจะไม่ได้พักและแทบจะหายใจไม่ทันอยู่แล้วกับศึกรักที่โหมกระหน่ำ จนเผาไหม้ทุกอย่างที่ขวางหน้าเช่นนี้“อ๊าา ท่านพี่ อย่าเลียนะ! เราพึ่งจะ อ๊าา….”แต่ท่านอ๋องมิได้ใส่ใจ ลิ้นของเขายังคงซอกซอนเข้าไปยังร่องรักที่เปียกชื้นทั้งน้ำของเขาและนาง เหรินซินเหงื่อไหลท่วมและแทบจะสิ้นเรี่ยวแรงแต่ก็มิอาจทัดทานความปรารถนาของท่านอ๋องที่มีต่อนางได้“อ๊าา….”เป็นอีกครั้งที่นางถึงฝั่งสวรรค์ แต่ท่านอ๋องก็มิได้เว้นช่วงให้นางพักเลยจร
ท่านอ๋องเดินไปยังเรือนหลังที่ตอนนี้เริ่มเงียบลงแล้วหลังจากที่รอสาวใช้ของเหรินซินเดินออกมา เว่ยเซียวที่หลบอยู่ด้านหลังก็ค่อย ๆ ไปที่ประตูแต่ปรากฏว่าประตูถูกลงกลอนเอาไว้“อะไรเนี่ย ปิดประตูงั้นหรือ”“ท่านคิดว่าจะเข้ามาในห้องข้าได้ง่าย ๆ งั้นหรือ”“เจ้า! ร้ายนักนะอาซิน”เสียงของเหรินซินดังออกมาจากด้านในเขาจึงรู้ว่าติดกับเข้าแล้ว พระชายาของเขามิใช่คนโง่ที่จะไม่รู้แผนการตื้นเขินเช่นนี้ แต่ในเมื่อพ่อตาสอนมาแล้วทุกอย่าง เช่นนั้นคืนนี้เขาจะไม่มีทางยอมแพ้เป็นอันขาด“อาซิน… เปิดประตูให้ข้าเข้าไปหน่อยสิ ข้าอยากจะคุยกับเจ้าจริง ๆ นะ อีกอย่าง…”“ท่านกลับไปดื่มสุรากับพี่ใหญ่และท่านพ่อจะดีกว่า มายืนอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีความหมาย หม่อมฉันไม่มีทางเปิดประตูให้พระองค์”“เจ้ากลายเป็นคนใจร้ายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน เจ้าจะยอมให้สามีของตัวเองถูกยุงกัดตายอยู่ตรงนี้งั้นหรือ หากเจ้าไม่เปิดข้าก็จะยืนเฝ้าอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนทั้งนั้น คอยดูสิว่าข้าจะตายก่อนหรือว่าเจ้าจะใจอ่อนก่อน”“เช่นนั้นก็เชิญท่านอ๋องยืนเฝ้ายามหน้าประตูต่อไปนะเพคะ จะได้รู้ว่าเหล่าองครักษ์ต้องลำบากเพียงใด”“เดี๋ยวสิ! นี่กงเหรินซินมันจะเกินไปแล้ว อย่าใ
สองเดือนถัดมา“ยอดไปเลย ข้าพึ่งจะเคยเห็นกระบวนท่าของ “กระบี่วารีพิสุทธิ์” เต็มตาก็วันนี้เอง เว่ยเซียวท่านเริ่มสงสัยตั้งแต่เมื่อใดว่านางมิใช่ซินเอ๋อร์แต่เป็นเยว่ชิงชิง"“ครั้งแรกที่ข้าเห็นนางแอบฝึกที่โรงฝึกของพวกเจ้าข้าก็เริ่มสงสัยว่านางมิใช่กงเหรินซิน ยอดไปเลยใช่ไหมเล่า”“เรื่องอัศจรรย์เช่นนี้ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะเกิดขึ้นจริง ๆ”“นั่นสิ ว่าแต่เจ้าเถอะตอนที่ไปสำนักไป๋ซาน ไม่เห็นเคยบอกข้าเลยว่านางคือใคร”“ตอนนั้นข้ารับปากท่านพ่อแล้วว่าจะไม่เปิดเผยฐานะของนาง และจะไม่บอกว่าตัวเองเป็นใคร ได้แต่เฝ้ามองนางห่าง ๆ และคอยช่วยเหลือในสิ่งที่ข้าพอจะช่วยได้ ทั้งกระบี่ที่ท่านพ่อสั่งทำแล้วมอบให้และเงินที่ฝากเอาไว้กับอาจารย์โดยไม่บอกให้นางรู้”“ข้านับถือเจ้านะที่ปกปิดความลับมาได้นานขนาดนี้ หากเป็นข้าก็คงอยากจะเผยตัวตนตั้งแต่แรก”“ใช่ว่าข้าไม่อยาก เพียงแต่ว่า…”“เพราะกงเหรินซินสินะ ปากเจ้าพร่ำบ่นนางและด่านางเป็นประจำแต่ก็รักนางมากไม่ต่างกังกงอวี้หาน”“นั่นเป็นสิ่งที่ข้าเสียใจมากที่สุดในฐานะพี่ชาย ข้าควรจะดีกับนางเหมือนที่อวี้หานทำ”ท่านอ๋องตบไหล่ของจ้าวหนาน สหายและเพื่อนร่วมสำนักของเขา ท่านอ๋องพอจะรู้
สามวันถัดมา / สุสานสกุลกง “ซินเอ๋อร์ เนี่ยเอ๋อร์ พวกเจ้าคงจะได้พบกันแล้วสินะ ฝากดูแลนางด้วยนะ”“ซินเอ๋อร์ พี่ใหญ่ไม่เคยอยากจะทะเลาะกับเจ้าเลยสักครั้ง พี่ทำผิดต่อเจ้าที่คอยเปรียบเทียบเจ้ากับคนอื่น ชาติหน้าหากมีจริงขอให้พี่ได้มีโอกาสเป็นพี่ชายที่ดีของเจ้าอีกสักครั้งเถอะนะ”ตุ๊กตาไม้ที่แกะด้วยมือของกงจ้าวหนานวางลงที่หน้าป้ายวิญญาณน้องสาวผู้ล่วงลับ เขาทำมันขึ้นมาระหว่างออกศึกและเก็บเอาไว้นานกว่าสิบปีแต่ไม่มีโอกาสได้ให้กงเหรินซิน เพียงเพราะนางเอาแต่โวยวายและโมโหทุกคนที่ไม่เข้าข้างนาง เขาจึงเก็บตุ๊กตาไม้นี้เอาไว้ตลอด กงอวี้หานเดินมาตบไหล่ของพี่ใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าป้ายวิญญาณของน้องสาวที่ทำขึ้นมาในสุสานของสกุลกง“พี่ใหญ่ท่านอย่าคิดมากเลย ซินเอ๋อร์เองก็มิได้โกรธท่านจริง ๆ หรอก ที่นางเอาแต่ใจก็แค่อยากให้ท่านหันไปสนใจนางเท่านั้นเอง”“ข้าไม่เคยได้มีโอกาสขอโทษ หรือทำดีกับซินเอ๋อร์เลยสักครั้ง จนกระทั่ง…”“พี่ใหญ่ ตอนนี้คนร้ายก็ได้ชดใช้ให้กับน้องเล็กแล้ว ท่านอย่าได้โทษตัวเองอีกเลยนะเจ้าคะ”“เจ้าพูดถูก แม้ว่านางจะไม่อยู่แล้วแต่ตอนนี้เจ้าเองก็อยู่ในร่างของนาง ทำดีกับเจ้าก็ไม่ต่างกับทำดีกับนาง”“ใช่แล้ว