“อะไรนะ! แย่แล้วทำอย่างไรดีเล่าเจ้าคะ คุณชายรองไปที่กรมคลังยังไม่กลับเลย ตอนนี้ท่านอ๋องยังพาทหารบุกจวกมาจับท่านอีก คุณหนู…”
“หมิงชินอ๋อง”
“ข้าเป็นสตรีโง่เง่าที่หลงรักชายเพียงคนเดียว “หมิงเว่ยเซียว” แม้ว่าเขาจะเกลียดข้ามากข้าก็ยังรักเพียงเขา”
“ที่แท้ก็เป็นเขา”
“คุณหนูเจ้าคะ คราวนี้แย่แน่ ๆ ท่านเคยมีปัญหากับคุณหนูซ่งอยู่หลายครั้ง ท่านอ๋องก็คิดจะเอาเรื่องมาโดยตลอดแต่ยังไม่มีโอกาส คราวนี้พระองค์ฉวยโอกาสตอนที่คุณชายรองไม่อยู่มาหาท่านที่จวนคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
“จะทำอย่างไรก็ต้องไปต้อนรับน่ะสิ”
“คุณหนู แม้ว่าท่านจะชื่นชมท่านอ๋องมากเพียงใดแต่ว่าครั้งนี้…”
“ข้ามิได้ทำสิ่งใดผิด เหตุใดจึงต้องกลัว”
“แต่ว่า...”
“ไปกันเถอะ”
กงเหรินซินเดินออกไปยังเรือนหน้าซึ่งเป็นห้องโถงรับแขก เมื่อเดินเข้ามาถึงก็เห็นบุรุษหนุ่มในชุดสีขาวยืนหันหลังกอดอกอยู่พร้อมกับเหล่าทหารที่เขาพามาด้วย
เมื่อนางเข้ามาเขาจึงหันมามองนางอีกครั้งแต่สายตาที่ราวกับดูถูกและเห็นคนที่เกลียดยืนอยู่ตรงหน้ามิได้ทำให้เหรินซินรู้สึกอันใด
“เจ้ามาแล้วงั้นหรือ”
“คุณหนูเจ้าคะ”
เหรินซินหันไปมองหน้าสาวใช้ที่กระตุกแขนเสื้อนางแต่กลับไม่กล้าพูดอะไร สุดท้ายอาเจิงจึงได้หันไปที่บุรุษหนุ่มผู้นั้นแทน
“ถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ โปรดทรงอภัยคือคุณหนูของหม่อมฉันอาการยังไม่หายดี…”
“พอเถอะไม่ต้องพูดแล้ว ข้ามาที่นี่มิได้มาเพื่อให้นางเสแสร้งและทำความเคารพที่น่าสะอิดสะเอียนนั่น วันนี้ที่ข้ามาก็เพื่อพานางไปสอบสวนตามที่ตกลงกันเอาไว้”
“ได้ ก็ไปสิ”
“หมิงเว่ยเซียว” หันไปมองใบหน้าที่หยิ่งยโสตรงหน้า แต่ใบหน้าและสายตาเช่นนี้เขาไม่คุ้นชินเอาเสียเลย แม้ว่ากงเหรินซินมักจะใช้สายตาเช่นนี้ดูถูกผู้คนแต่ไม่เคยใช้กับเขามาก่อน
“เจ้าว่าอย่างไรนะ”
“ท่านอ๋องมาที่นี่ก็เพื่ออยากพาข้าไปสอบสวนมิใช่หรือ ช้าอยู่ทำไมท่านก็รีบนำทางสิ”
“นี่เจ้า!”
กงเหรินซินขมวดคิ้วทำท่าทีแปลกใจ ยิ่งนางนิ่งเท่าใดก็เหมือนจะเพิ่มโทสะให้อีกฝ่ายมากเท่านั้น ท่านอ๋องหนุ่มซึ่งเป็นถึงองค์ชายรองแห่งราชวงศ์ซานโจวที่ยิ่งใหญ่มือไม้สั่น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจงใจยั่วโทสะของเขา
“อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าจับเจ้าเข้าคุกนะกงเหรินซิน! เจ้าทำสิ่งใดลงไปย่อมรู้อยู่แก่ใจดี”
“ข้าทำสิ่งใดลงไปข้าย่อมรู้แน่นอน หากท่านมัวแต่พูดอยู่แล้วเมื่อใดจะได้ไปกันเสียที ที่ท่านอ๋องรีรอเช่นนี้หรือว่ามีจุดประสงค์อื่นกันแน่”
“เจ้า! หยาบคาย ไร้การอบรม สตรีเช่นเจ้า…”
เหรินซินเดินเข้าไปใกล้ใบหน้าที่งดงามประดุจหยกที่คมคาย จมูกเป็นสันได้รูป ดวงตาของเขาดุร้ายดุจพยัคฆ์ที่กำลังจ้องตะครุบเหยื่อ เสียดายที่นางมิใช่ลูกกวางหรือกระต่ายที่จะตกเป็นเหยื่อของเขาง่าย ๆ
“ข้าทำไมงั้นหรือ”
“ทหาร! จับตัวนางไป”
“ไม่ต้อง! ข้าเดินเองได้ หรือว่าท่านอ๋องคิดว่าข้าจะหนี ท่านพาทหารบุกจวนแม่ทัพยามนี้ถือว่าไม่ให้เกียรติพอแล้ว นี่ยังคิดที่จะใช้ทหารจับข้าซึ่งเป็นเพียงสตรีคนเดียว หากคนข้างนอกพบเห็นเข้าคงคิดว่าท่าน…”
“หุบปาก! กงเหรินซิน ดูเหมือนว่าตั้งแต่เจ้าฟื้นขึ้นมาเจ้าจะปากกล้ามากขึ้นนะ”
กงเหรินซินเองก็มิได้ยอมแพ้ต่อคนตรงหน้า แม้ว่าเขาจะรูปงามจนทำให้หัวใจนางกระตุกสั่นได้เพียงพบกันครั้งแรก แต่ท่าทางที่มิได้มาด้วยไมตรีเหตุใดนางต้องยื่นดอกไม้กลับไปให้เขากันเล่า สายตาดื้อดึงและเย็นชานั้นสาดใส่ชินอ๋องโดยมิได้เกรงกลัวต่อพระราชอำนาจแม้แต่น้อย
“ข้าไม่ได้ทำผิดดังนั้นไม่มีอะไรที่ต้องกลัว หากอยากจะสอบสวนก็รีบไปข้าจะได้รีบกลับจวน พี่รองของข้าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
สายตานั้นทำเอาชินอ๋องผู้ไม่เคยหวั่นไหวหยุดชะงักไปชั่วขณะ แม้ว่าเขาจะรู้จักบุตรสกุลกงทุกคนเป็นอย่างดี แต่กับกงเหรินซินตรงหน้าที่คอยเอาแต่ตามติดเขา ตามตื๊อและชอบพอจนเกิดเรื่องราวอยู่บ่อยครั้งกลับทำให้หมิงเว่ยเซียวรู้สึกหวั่นไหวกับสายตาเช่นนี้เป็นครั้งแรก
“เช่นนั้น… เชิญคุณหนูกง”
ทหารเดินผายมือให้นางก่อนที่เหรินซินจะสะบัดสายตาและไม่ใส่ใจท่านอ๋องอีก นางเดินตามทหารออกไปจากจวนและขึ้นรถม้าทันที แต่กลับไม่คิดว่าผู้ที่ขึ้นรถม้ามาด้วยจะเป็นท่านอ๋อง
“ข้าคิดว่าจะได้นั่งไปเพียงผู้เดียว”
“ขออภัยที่ต้องทำให้เจ้าผิดหวัง แต่เจ้าเป็นผู้ต้องสงสัยข้าคงไม่ปล่อยให้เจ้าได้มีโอกาสหนีเป็นแน่”
“ท่านพาทหารบุกจวนแม่ทัพอย่างอุกอาจราวกับจะจับโจรปล้นราชสำนัก แต่กลับกลัวสตรีตัวเล็ก ๆ เพียงคนเดียวจะหนี ท่านอ๋องช่างเป็นผู้คิดการรอบคอบโดยแท้”
เมื่อพูดเสร็จนางก็สะบัดหน้าหนี หมิงเว่ยเซียวไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องโมโหเพราะท่าทางยโสเช่นนี้ของนาง หากไม่เห็นว่าเป็นบุตรีขุนศึกผู้กล้าแล้วล่ะก็เขาคงไม่ไว้หน้านางถึงเพียงนี้
จวนท่านอ๋อง
“เหตุใดท่านพาข้ามาที่นี่ สอบสวนคดีมิใช่ว่าจะต้องไปที่ว่าการหรอกหรือ”
“ไม่จำเป็น เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนในตำหนักของข้า ดังนั้นผู้ที่จะสอบสวนเจ้าก็คือข้า”
กงเหรินซินหันมามองพักตร์ที่เย็นชานั้นอีกครั้ง พร้อมกับพ่นเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ แต่กลับทำให้ท่านอ๋องรู้สึกโมโห ตลอดทางที่นั่งรถม้ามากับนางราวกับเป็นช่วงเวลาที่เลวร้าย แม้ว่านางจะไม่ได้ชวนเขาคุยและให้ความสนใจที่จะมองใบหน้าของเขาเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่กลับรู้สึกโกรธมากกว่าเดิม
“เจ้าหัวเราะอันใด”
“ที่แท้ท่านอ๋องก็ใช้อำนาจในทางมิชอบ เพียงเพื่อสอบสวนข้าถึงกับต้องทำลับ ๆ ล่อ ๆ เช่นนี้”
“อย่าพูดมาก พานางเข้าไป”
“พ่ะย่ะค่ะ”
กงเหรินซินเมื่อได้ยินคำขานรับของทหารนางก็พึ่งจะรู้สึกตัวขึ้นมา ท่านอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์ มีศักดิ์เป็นองค์ชายหาใช่คนธรรมดาที่นางจะพูดเพียงภาษาเช่นนี้ได้
โชคดีที่เขายังไม่ทันได้สังเกตเพราะตามปกติเยว่ชิงชิงไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับคนในเมืองหลวงหรือราชสำนัก จึงไม่คุ้นเคยกับคำพูดทางการเช่นนี้
‘แย่แล้ว ข้าจะต้องเริ่มเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ให้เร็วที่สุดถึงจะเป็นกงเหรินซินได้อย่างสมบูรณ์’
เหรินซินเอาแต่คิดจนเดินมาถึงคุกใต้ดิน นางถึงกับเบิกตากว้างเพราะไม่คิดว่าท่านอ๋องจะพามาไต่สวนที่นี่ อีกอย่างที่นี่มีทางเข้าออกเพียงทางเดียวเมื่อหันไปนางก็ถูกจัดมัดติดกับเก้าอี้เสียแล้ว
“ท่านจะทำสิ่งใดกันแน่ ปล่อยข้านะ!”
“ทำไมเล่า ท่าทางอวดดีเช่นเมื่อครู่หายไปที่ใดหมด ข้าเพียงแค่พาเจ้ามาสอบถามเล็กน้อยเท่านั้น”
“สอบถามงั้นหรือ แล้วเหตุใดจึงต้องมาสอบถามที่คุกใต้ดิน แล้วยังจับข้ามัดไว้เช่นนี้”
“ตันฉินปล่อยนาง แค่มัดข้อมือเอาไว้เฉย ๆ ก็พอ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ตันฉิน” องครักษ์ข้างกายท่านอ๋องแกะเชือกที่มัดเหรินซินกับเก้าอี้ออกเหลือแค่ข้อมือเท่านั้น เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วท่านอ๋องก็สั่งให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากคุกทันที
“ข้าจะถามเจ้าว่าเหตุใดต้องฆ่าน้องสาวของข้า “ซ่งจินหรู” ด้วย”
“ซ่งจินหรู” น้องสาวบุญธรรมที่พระสนมหมิงเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนสิ้นพระชนม์ นางจึงได้มาอยู่กับท่านอ๋องซึ่งทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน และท่านอ๋องก็ดูแลนางดุจน้องสาวแท้ ๆ คนหนึ่ง
“ข้ามิได้เป็นคนฆ่านาง ท่านคงเข้าใจผิดแล้ว”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ามีวิธีมากมายที่จะทำให้เจ้ายอมรับสารภาพได้ ทั้งเมืองหลวงแห่งนี้มีเพียงเจ้าที่มักจะมีปัญหากับจินหรู เจ้าเคยหลอกให้นางไปตำหนักเย็นที่มีแต่อดีตพระสนมที่เสียสติอยู่ และยังเคยปล่อยหนอนพิษใส่นางจนเป็นผื่นแผลในพิธีคัดอักษรเดือนแปด แล้วยัง…”
“ที่แท้ท่านอ๋องมิได้อยากสอบสวนหม่อมฉัน ที่พามาที่นี่ก็แค่อยากจะบีบบังคับให้หม่อมฉันรับผิดในสิ่งที่ไม่ได้ทำสินะเพคะ”
สามวันถัดมา“เสด็จแม่ ยังอีกไกลหรือไม่เพคะ”“ไหนว่าเจ้าจะไม่บ่นอย่างไรเล่าเซียนเอ๋อร์ นี่แค่ทางขึ้นเขาเองเจ้าก็บ่นเสียแล้ว”“ข้าแค่รู้สึกเวียนหัวเพราะรถม้ามันโยกนี่เพคะ”“มานั่งตักพ่อเถอะจะได้นิ่มหน่อย มาสิ”หมิงชิงเซียนขยับไปนั่งตักบิดาซึ่งทั้งกว้างและนิ่มเมื่อท่านอ๋องวางตำราลงและหันมามองหน้าพระชายาที่แง้มหน้าต่างและเริ่มมองออกไปข้างนอก“เจ้าคงไม่คิดที่จะอยู่ที่สำนักไป๋ซานนานนักหรอกนะ ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็เป็นพระชายาหมิงชินอ๋อง หาใช่สตรีอันดับหนึ่งในยุทธภพไม่”“ท่านกังวลเกินไปแล้ว ข้าแค่อยากจะมองดูรอบ ๆ เท่านั้นว่าต่างไปจากเดิมหรือไม่”“เสด็จพ่อ ลูกจะต้องมาฝึกที่นี่จริง ๆ หรือเพคะ”“เจ้าอยากจะมาหรือไม่เล่าเซียนเอ๋อร์”“ลูกเองก็ไม่รู้ แต่ลูกอยากจะเก่งเหมือนเสด็จแม่เพคะ”“เจ้าเป็นลูกของแม่ก็ต้องเก่งและยอดเยี่ยมเหมือนแม่เจ้าอยู่แล้ว ยอดหญิงอันดับหนึ่งในใต้หล้ามีเพียงเสด็จแม่ของเจ้าเท่านั้น”“แต่เหตุใดบางคืนข้าถึงได้ยินเสียงท่านแม่ร้องแปลก ๆ เล่าเพคะ”เหรินซินหันมามองพักตร์ท่านอ๋องในทันทีเมื่อได้ยินเสียงบุตรสาวกล่าวขึ้นมา ท่านอ๋องนึกขำเมื่อเห็นใบหน้าของพระชายาที่เริ่มแดงจัดจนถึงใบหู“เซ
แปดปีต่อมา“ชิงเซียน ได้เวลาอาบน้ำแล้ว”“เพคะเสด็จแม่ แต่ว่าข้ายังอยากฝึกดาบอยู่”“วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะ น้าอันเมี่ยนของเจ้าเหนื่อยแล้วอีกเดี๋ยวเสด็จพ่อเจ้าก็จะกลับมาจากในวัง จะถูกตำหนิเอาได้นะ”“ก็ได้เพคะ”“ข้าพานางไปเองเพคะ”“ฝากเจ้าด้วยนะอาเจิง”“เพคะพระชายา”อาเจิงพา “หมิงชิงเซียน” บุตรสาวของท่านอ๋องในวัยสี่ขวบครึ่งไปอาบน้ำตามคำสั่งของพระชายากงเหรินซิน ไม่นานเมื่อทั้งคู่เดินไปท่านอ๋องก็กลับเข้ามาในตำหนัก พระองค์เดินตรงมาหานางที่นั่งรออยู่ศาลาริมสวนซึ่งชิงเซียนใช้ฝึกดาบกับอันเมี่ยน“ท่านพี่”“เหตุใดเจ้าถึงได้มานั่งที่นี่คนเดียว เซียนเอ๋อร์เล่าไปไหนแล้ว”“ข้าให้อาเจิงพานางไปอาบน้ำแล้วเพคะ เหตุใดวันนี้ท่านพี่จึงกลับเร็วนักเล่าเพคะ”“รีบกลับมาหาเจ้าน่ะสิ เตรียมของทุกอย่างแล้วหรือ”“เสร็จเรียบร้อยแล้วเพคะ อากาศเริ่มเย็นลงอีกแล้วคิดว่าครั้งนี้คงไม่หนาวเท่าปีก่อน หยางเอ๋อร์จะได้ไม่ลำบากมาก”“เจ้าก็เอาแต่เป็นห่วงบุตรชายของเจ้า เขาไปฝึกที่สำนักไป๋ซานร่วมปีแล้วน่าจะชินกับอากาศแล้วกระมัง อีกอย่างยังมีอาจารย์อย่างเฉินกวนคอยส่งข่าวมาให้ไม่ขาด ยังเป็นห่วงอีกหรือ”“แต่หยางเอ๋อร์ยังเด็กนะเพคะ เส
“อ๊าา…. อ๊าา ไม่ไหวแล้ว มันจุกมาก อื้อ….”เหรินซินทั้งกัดฟัน ทั้งอ้าปากระบายความเสียวออกมาเมื่อท่านอ๋องจับบั้นท้ายนางกระแทกลงมาถี่ ๆ เพื่อรับมังกรยักษ์ที่สอดอยู่ด้านใน ไม่นานร่างเล็กก็ถูกเขาจับพลิกให้นอนตะแคง ขาข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมา อ้อมกอดของพระสวามีกระชับเข้ามาจนชิดและถูกเขากระแทกอีกครั้ง พร้อมกับหน้าอกที่ถูกนิ้วสากหนานั้นบดขยี้ที่ยอดจนแตะทางสวรรค์ไปอีกครั้ง“อ๊าา….”ครึ่งชั่วยามถัดมา“ท่านพี่เพคะ พอแล้วได้หรือไม่ข้าขอพัก อ๊าา!!”หน้าต่างทุกบาน รวมถึงประตูถูกลงกลอนจนหมดสิ้น บัดนี้เหรินซินได้หลงกลท่านอ๋องเพราะคำพูดหวาน ๆ นั่นเสียแล้ว ใครจะคิดว่าหลังจากที่เปิดประตูให้พระสวามีเข้ามา นางจะไม่ได้พักและแทบจะหายใจไม่ทันอยู่แล้วกับศึกรักที่โหมกระหน่ำ จนเผาไหม้ทุกอย่างที่ขวางหน้าเช่นนี้“อ๊าา ท่านพี่ อย่าเลียนะ! เราพึ่งจะ อ๊าา….”แต่ท่านอ๋องมิได้ใส่ใจ ลิ้นของเขายังคงซอกซอนเข้าไปยังร่องรักที่เปียกชื้นทั้งน้ำของเขาและนาง เหรินซินเหงื่อไหลท่วมและแทบจะสิ้นเรี่ยวแรงแต่ก็มิอาจทัดทานความปรารถนาของท่านอ๋องที่มีต่อนางได้“อ๊าา….”เป็นอีกครั้งที่นางถึงฝั่งสวรรค์ แต่ท่านอ๋องก็มิได้เว้นช่วงให้นางพักเลยจร
ท่านอ๋องเดินไปยังเรือนหลังที่ตอนนี้เริ่มเงียบลงแล้วหลังจากที่รอสาวใช้ของเหรินซินเดินออกมา เว่ยเซียวที่หลบอยู่ด้านหลังก็ค่อย ๆ ไปที่ประตูแต่ปรากฏว่าประตูถูกลงกลอนเอาไว้“อะไรเนี่ย ปิดประตูงั้นหรือ”“ท่านคิดว่าจะเข้ามาในห้องข้าได้ง่าย ๆ งั้นหรือ”“เจ้า! ร้ายนักนะอาซิน”เสียงของเหรินซินดังออกมาจากด้านในเขาจึงรู้ว่าติดกับเข้าแล้ว พระชายาของเขามิใช่คนโง่ที่จะไม่รู้แผนการตื้นเขินเช่นนี้ แต่ในเมื่อพ่อตาสอนมาแล้วทุกอย่าง เช่นนั้นคืนนี้เขาจะไม่มีทางยอมแพ้เป็นอันขาด“อาซิน… เปิดประตูให้ข้าเข้าไปหน่อยสิ ข้าอยากจะคุยกับเจ้าจริง ๆ นะ อีกอย่าง…”“ท่านกลับไปดื่มสุรากับพี่ใหญ่และท่านพ่อจะดีกว่า มายืนอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีความหมาย หม่อมฉันไม่มีทางเปิดประตูให้พระองค์”“เจ้ากลายเป็นคนใจร้ายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน เจ้าจะยอมให้สามีของตัวเองถูกยุงกัดตายอยู่ตรงนี้งั้นหรือ หากเจ้าไม่เปิดข้าก็จะยืนเฝ้าอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนทั้งนั้น คอยดูสิว่าข้าจะตายก่อนหรือว่าเจ้าจะใจอ่อนก่อน”“เช่นนั้นก็เชิญท่านอ๋องยืนเฝ้ายามหน้าประตูต่อไปนะเพคะ จะได้รู้ว่าเหล่าองครักษ์ต้องลำบากเพียงใด”“เดี๋ยวสิ! นี่กงเหรินซินมันจะเกินไปแล้ว อย่าใ
สองเดือนถัดมา“ยอดไปเลย ข้าพึ่งจะเคยเห็นกระบวนท่าของ “กระบี่วารีพิสุทธิ์” เต็มตาก็วันนี้เอง เว่ยเซียวท่านเริ่มสงสัยตั้งแต่เมื่อใดว่านางมิใช่ซินเอ๋อร์แต่เป็นเยว่ชิงชิง"“ครั้งแรกที่ข้าเห็นนางแอบฝึกที่โรงฝึกของพวกเจ้าข้าก็เริ่มสงสัยว่านางมิใช่กงเหรินซิน ยอดไปเลยใช่ไหมเล่า”“เรื่องอัศจรรย์เช่นนี้ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะเกิดขึ้นจริง ๆ”“นั่นสิ ว่าแต่เจ้าเถอะตอนที่ไปสำนักไป๋ซาน ไม่เห็นเคยบอกข้าเลยว่านางคือใคร”“ตอนนั้นข้ารับปากท่านพ่อแล้วว่าจะไม่เปิดเผยฐานะของนาง และจะไม่บอกว่าตัวเองเป็นใคร ได้แต่เฝ้ามองนางห่าง ๆ และคอยช่วยเหลือในสิ่งที่ข้าพอจะช่วยได้ ทั้งกระบี่ที่ท่านพ่อสั่งทำแล้วมอบให้และเงินที่ฝากเอาไว้กับอาจารย์โดยไม่บอกให้นางรู้”“ข้านับถือเจ้านะที่ปกปิดความลับมาได้นานขนาดนี้ หากเป็นข้าก็คงอยากจะเผยตัวตนตั้งแต่แรก”“ใช่ว่าข้าไม่อยาก เพียงแต่ว่า…”“เพราะกงเหรินซินสินะ ปากเจ้าพร่ำบ่นนางและด่านางเป็นประจำแต่ก็รักนางมากไม่ต่างกังกงอวี้หาน”“นั่นเป็นสิ่งที่ข้าเสียใจมากที่สุดในฐานะพี่ชาย ข้าควรจะดีกับนางเหมือนที่อวี้หานทำ”ท่านอ๋องตบไหล่ของจ้าวหนาน สหายและเพื่อนร่วมสำนักของเขา ท่านอ๋องพอจะรู้
สามวันถัดมา / สุสานสกุลกง “ซินเอ๋อร์ เนี่ยเอ๋อร์ พวกเจ้าคงจะได้พบกันแล้วสินะ ฝากดูแลนางด้วยนะ”“ซินเอ๋อร์ พี่ใหญ่ไม่เคยอยากจะทะเลาะกับเจ้าเลยสักครั้ง พี่ทำผิดต่อเจ้าที่คอยเปรียบเทียบเจ้ากับคนอื่น ชาติหน้าหากมีจริงขอให้พี่ได้มีโอกาสเป็นพี่ชายที่ดีของเจ้าอีกสักครั้งเถอะนะ”ตุ๊กตาไม้ที่แกะด้วยมือของกงจ้าวหนานวางลงที่หน้าป้ายวิญญาณน้องสาวผู้ล่วงลับ เขาทำมันขึ้นมาระหว่างออกศึกและเก็บเอาไว้นานกว่าสิบปีแต่ไม่มีโอกาสได้ให้กงเหรินซิน เพียงเพราะนางเอาแต่โวยวายและโมโหทุกคนที่ไม่เข้าข้างนาง เขาจึงเก็บตุ๊กตาไม้นี้เอาไว้ตลอด กงอวี้หานเดินมาตบไหล่ของพี่ใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าป้ายวิญญาณของน้องสาวที่ทำขึ้นมาในสุสานของสกุลกง“พี่ใหญ่ท่านอย่าคิดมากเลย ซินเอ๋อร์เองก็มิได้โกรธท่านจริง ๆ หรอก ที่นางเอาแต่ใจก็แค่อยากให้ท่านหันไปสนใจนางเท่านั้นเอง”“ข้าไม่เคยได้มีโอกาสขอโทษ หรือทำดีกับซินเอ๋อร์เลยสักครั้ง จนกระทั่ง…”“พี่ใหญ่ ตอนนี้คนร้ายก็ได้ชดใช้ให้กับน้องเล็กแล้ว ท่านอย่าได้โทษตัวเองอีกเลยนะเจ้าคะ”“เจ้าพูดถูก แม้ว่านางจะไม่อยู่แล้วแต่ตอนนี้เจ้าเองก็อยู่ในร่างของนาง ทำดีกับเจ้าก็ไม่ต่างกับทำดีกับนาง”“ใช่แล้ว