“น่าเสียดายเนอะเบลล์ที่ท่านประธานคนใหม่มีภรรยาแล้ว พี่ได้ยินคนกระซิบมานะว่าท่านประธานคนใหม่หล่อมาก อิจฉาเบลล์จังได้ทำงานกับท่าน” พี่แก้วรุ่นพี่ที่ทำงานของฉันเดินมาชวนคุยถึงว่าที่ท่านประธานคนใหม่ที่จะมาบริหารแทนพ่อของเขา ฉันยังไม่ได้ข้อมูลว่าใครที่จะมาบริหาร แต่ฉันคาดหวังว่าลูกชายคงจะดีเหมือนท่านประธานของฉัน การทำงานร่วมกันจะได้สะดวก
“เบลล์ยังไม่ได้ข้อมูลเลยค่ะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชื่ออะไร หน้าตาเป็นยังไง” ฉันพูดตามความจริง ทั้งที่เลขาอย่างฉันควรจะได้ข้อมูลของบอสคนใหม่
“ดูเป็นความลับยังไงไม่รู้เนอะ” พี่แก้วเม้าท์มอยด้วยการกระซิบกระซาบ
“ใช่ค่ะ เบลล์ก็คิดแบบนั้น” ฉันอมยิ้มและกระซิบกลับ ได้แต่ภาวนาขอให้ว่าที่ท่านประธานคนใหม่ดีได้สักครึ่งของท่านประธานคนเก่าก็พอ
สองอาทิตย์ต่อมา...
วันเปิดตัวท่านประธานคนใหม่
วันนี้ที่บริษัทดูครึกครื้นเป็นพิเศษ พนักงานทุกคนต่างยืนรอเพื่อต้อนรับท่านประธานคนใหม่ ซึ่งก็เหมือนเดิมฉันที่เป็นเลขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบอสคนใหม่ของฉันชื่ออะไร หน้าตาเป็นเช่นไร ได้ยินเพียงคำเล่าลือว่ากลับมาจากเมืองนอกพร้อมภรรยาและเป็นผู้ชายที่แสนดีมาก แค่ได้ฟังว่าเเสนดี ฉันที่ต้องร่วมงานอย่างใกล้ชิดด้วยก็เบาใจขึ้นมาก
แต่แล้ว! เมื่อฉันมองเห็นบุคคลที่เดินเคียงข้างกายท่านประธานคนเก่า ความเบาใจที่มีเมื่อครู่มันได้หดหายไปหมด ยิ่งได้ฟังว่านี่คือประธานของบริษัทคนใหม่ ความปั่นป่วนวิ่งพล่านในหัวใจของฉันทันใด
ฉันจะร่วมงานกับเขาได้อย่างไรในเมื่อหัวใจและสมองของฉันยังไม่ลืมเลือนเรื่องราวเมื่อหกปีก่อนสักนิด
หกปีก่อนหน้านี้...
“เบลล์มาถ่ายรูปด้วยกันเร็ว” เสียงของมิ้มเพื่อนสาวคนเดียวที่ฉันมีดังขึ้น มิ้มเป็นเพื่อนที่ฉันสนิทที่สุด ไว้วางใจที่สุด ฉันรักมิ้มมากเพราะเธอแสนดี ดีกับฉันทุกอย่าง ฐานะทางบ้านของมิ้มร่ำรวยมาก แต่เธอก็ลดตัวมาคบกับฉันที่แสนจะยากจน
“จะดีเหรอ ฉันว่าแกถ่ายกับครอบครัวแกเถอะ” ฉันพูดอย่างถ่อมตัว เรากำลังถ่ายรูปรับปริญญาวันเรียนจบ เป็นรูปคนในครอบครัวทั้งนั้น ฉันเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งจะให้เสนอหน้าก็ยังไงอยู่ ถึงจะสนิทกันแต่ฉันก็ต้องรู้จักเจียมตัวใช่ไหมล่ะ
“อย่ามาพูดแบบนี้นะเบลล์ แกคือเพื่อนรักของฉันเท่ากับว่าแกก็เป็นคนในครอบครัวของฉันด้วย” มิ้มเดินมาจูงมือฉันเพื่อเข้าร่วมการถ่ายรูปครั้งนี้ แล้วฉันก็ขัดไม่ได้ จึงเข้าร่วมในการถ่ายรูปครั้งนี้ด้วย
“คืนนี้เลี้ยงฉลองกันนะเบลล์ ห้ามเบี้ยว แกต้องไปให้ได้เข้าใจไหม ฉันจะไปรับแกที่บ้านเองแต่งตัวสวย ๆ ไว้รอเลยนะ” หลังจากถ่ายรูปเสร็จมิ้มก็เอ่ยปากชวนฉันอีกครั้ง ทุกทีฉันมักเบี้ยวนัดเที่ยวเพราะไม่อยากนอกลู่นอกทาง อยากช่วยน้าวันทำงานมากกว่า แต่ว่าครั้งนี้ฉันคงต้องไปเพราะเพื่อนของฉันกำลังจะไปเรียนต่อต่างประเทศ
“อืมได้ดิ แล้วจะรอนะ” ฉันฉีกยิ้มกว้างให้เพื่อนคนสวย มิ้มสวยมากจริง ๆ และยังเป็นคนดีอีกด้วย ฉันโชคดีมากที่ได้มิ้มเป็นเพื่อน
“กรี๊ด อ้าย กรี๊ด!”
ระหว่างที่ฉันและมิ้มกำลังจะแยกจากกันเพื่อกลับบ้าน เสียงเหล่านักศึกษากรีดร้องอย่างตื่นเต้นดังขึ้น เสียงดังกล่าวทำให้ฉันและมิ้มหันไปมอง ภาพที่ฉันเห็นคือผู้ชายใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ในชุดสูทพร้อมดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่ในมือ เขาเดินตรงมาที่เราสองคน ฉันไม่ได้มีอาการเขินอายแต่อย่างใดเพราะผู้ชายคนที่เดินมาไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกพิเศษอะไร แต่จะว่าไปก็มีดีใจนะเพราะเพื่อนของฉันกำลังมีความสุข ฉันเชื่อว่าผู้ชายคนนี้จะทำให้มิ้มมีความสุขตลอดไป
“ยินดีด้วยนะครับคนเก่ง” เขาฉีกยิ้มและยื่นดอกไม้ให้มิ้มเพื่อนสนิทของฉัน มิ้มยิ้มและยื่นมือรับช่อดอกไม้
“ขอบคุณนะคะ” มิ้มรับช่อดอกไม้แล้วโผกอดผู้ชายตรงหน้า
“หลังจากเรียนจบที่ต่างประเทศเราจะแต่งงานกันนะครับคู่หมั้นของพี่” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าฟัง ซึ่งเพื่อนสนิทของฉันยิ้มรับอย่างสุขใจ
“ยินดีด้วยนะแก” ฉันฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความสุขให้เพื่อนสนิทที่ฉันรักที่สุด ชีวิตของมิ้มสมบูรณ์แบบมาก คู่หมั้นก็แสนดี ดีทุกอย่างเลย
“ขอบใจนะเบลล์ เดี๋ยวเย็นนี้ฉันไปรับ ห้ามเบี้ยวนะ”
“อื้ม ไม่เบี้ยวอยู่แล้ว”
หลังจากนั้นฉันก็เปลี่ยนชุดและนั่งรถประจำกลับมาบ้าน งานรับปริญญาของฉันน้าวันไม่ว่างจึงมาไม่ได้ ฉันเข้าใจและน้อมรับในโชคชะตา แค่น้าวันส่งเรียนจนจบก็ดีมากแล้ว
ผู้ชายที่เดินมาหามิ้มเขาชื่อ ‘กองทัพ’ เป็นคนรักของมิ้ม พี่กองทัพนิสัยดีเป็นกันเอง เขาคือผู้ชายอบอุ่นที่ผู้หญิงใฝ่หา อายุของพี่เขาน่าจะแก่กว่ามิ้มสามปี พี่กองทัพและมิ้มคบหาดูใจกันมาหลายปีจนกระทั่งทั้งสองหมั้นกันเมื่อไม่นานมานี้ มิ้มเล่าว่าครอบครัวของพี่กองทัพเอ็นดูมิ้มมาก มิ้มเป็นผู้หญิงที่หลาย ๆ คนต่างอิจฉา เธอเพียบพร้อมดูดีมีทุกอย่าง แม้กระทั่งคนรัก แตกต่างจากฉันที่ไม่มีอะไรดีเลยนอกจากน้าวัน
งานเลี้ยงฉลองเกิดขึ้นที่โรงแรมที่พ่อของมิ้มเป็นเจ้าของโรงแรม ทุกอย่างในงานดูสวยหรูแปลกตา ถ้าหากฉันไม่มีเพื่อนแบบมิ้ม คงไม่มีโอกาสได้มายืนสัมผัสบรรยากาศในงานแบบนี้แน่นอน
งานเริ่มไปเรื่อย ๆ เริ่มดึกเริ่มเหลือแต่วัยรุ่น ฉันที่ไม่เคยดื่มโดนเพื่อนยุแยงให้ดื่มจนมึนเมา แทบไม่มีแรงเดิน โลกนี้มันหมุนติ้วแสงสีจากไฟทำฉันปวดหัวตุบ ๆ
“เฮ้ย! เบลล์แกไหวไหม เดี๋ยวฉันให้คนไปส่ง” เสียงมิ้มดังก้องเข้ามาในโสตประสาทด้านการรับฟัง แต่เปลือกตาฉันมันหนักอึ้งจนไม่สามารถลืมตามองภาพตรงหน้า
“ม่าย ม่ายต้อง ลามบากแกเลย ฉานหวาย” ฉันว่าด้วยน้ำเสียงหย่อนยาน มือบางหยิบแก้วเหล้ามากระดกดื่มอีกครั้ง พอดื่มแล้วก็หยุดไม่ได้ มันก็อร่อยดี
“พอเลยแก ดูแล้วพรุ่งนี้คงไปส่งฉันไม่ไหวชัวร์ เบลล์นะเบลล์ถ้ารู้ว่าเมาแล้วเป็นแบบนี้ฉันไม่ให้แกกินหรอก” เสียงของมิ้มดังขึ้นอีกครั้งพร้อมมีคนดึงแก้วเหล้าออกจากมือ คงจะเป็นมิ้มนั่นแหละ
“ไหว ฉันไปส่งแกด้าย ซาบายมั่ก อย่าลืมคิดถึงฉันนะ ฉันร้ากแก ร้ากร้ากที่สุดเลย” ฉันควานมือดึงร่างของมิ้มเข้ามากอดมาหอม รู้สึกได้ทันทีเลยว่าเวลาเมาแล้วฉันจะเป็นอีกคน ทั้งที่ความจริงเวลาไม่ดื่มฉันเป็นผู้หญิงเงียบ ๆ รู้จักเจียมตัว หลังจากที่ฉันกอดแขนเล็ก ๆ ของมิ้มไว้ก็รู้สึกเหมือนแบตในตัวหมด หนังตาหนักอึ้งและทุกอย่างของฉันก็ดับวูบไป
ฟุบ! เสียงเตียงยุบหลังจากที่ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงที่ผมนอนงอนเป็นเด็กอยู่บนที่เตียง มือบางสอดเข้ามาโอบกอดที่เอวของผม แค่เธอกอดใจของผมก็เต้นแรง เธอแม่งรักผมจริง ๆ เธอไม่ได้ทิ้งผมไป ทำไมต้องดีกับผมขนาดนี้ด้วย ยิ่งเบลล์ดีมากเท่าไหร่ผมยิ่งละอายใจในสิ่งที่เคยผิดพลาด“ขอบคุณนะ” ผมบอกก่อนที่จะพลิกตัวตะแคงหันหาเบลล์โอบกอดร่างบอบบาง ช่วงล่างของผมกำลังแข็งเมื่ออยู่ใกล้เธอ แต่ผมจะพยายามอดกลั้นขอแค่นอนกอดก็คงพอ ขอเป็นสุภาพบุรุษสักครั้งเถอะ ที่ผ่านมาผมมันซาตานในสายตาเธอเบลล์นอนเงียบ ๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ เรานอนกอดกัน มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบา ๆ ที่เป่ารดต้นคอของผม หลายปีมากแล้วที่ผมไม่ได้รู้สึกอบอุ่นแบบนี้ อ้อมกอดของเบลล์เหมือนจะเติมเต็มทุกอย่างที่ผมขาดหาย กอดนี้ทำให้ผมหลับสบายรู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่คลำมือหาร่างบางไม่เจอ ตรงที่เบลล์นอนมันเย็นเหมือนว่าเบลล์ลุกไปนานมากแล้ว ผมลืมตาขึ้นพบเจอกับความว่างเปล่า เธอไปแล้วงั้นเหรอ นี่ผมหลับสนิทจนไม่รู้สึกตัวเลยเหรอ รีบลุกจากเตียงแบบทุลักทุเลเพื่อไปตามหาเธอ ประตูห้องน้ำแง้มไว้แสดงว่าไม่อยู่ เดินเข้าไปในครัวมีเพียงหม้อข้าวต้มกุ้งกับโพสต์อิทแปะไว้‘ทา
“มาค่ะเดี๋ยวจะทำแผลให้” ร่างบางเดินกลับเข้ามาในห้องหลังจากที่เธอรับสายใครก็ไม่รู้ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดูมีความสุขฉิบหาย ผมนั่งนิ่งปล่อยให้เธอทำแผลที่โดนหมากัด ไอ้แผลที่ได้มาเนี่ยก็เพราะไอ้โชคช่วยของหมูน้อยมันกำลังโดนรุมอยู่หน้าร้าน ด้วยความห่วงหมาเพราะกลัวเจ้าของจะเสียใจ ผมก็ไปอุ้มไอ้โชคช่วยขึ้น แล้วบังเอิญไอ้หมาที่กัดไอ้โชคช่วยมันวิ่งเข้ามางับแขนของผมในจังหวะนั้นพอดี แยกหมาเสร็จผมก็ให้ไอ้เต้พาไอ้โชคช่วยไปหาหมอ ส่วนผมก็ทำแผลแบบลวก ๆ แล้วรีบมาหาพ่อตามคำสั่งที่โดนโทรตาม แต่พอมาถึงบ้านพ่อก็บอกว่าไม่มีอะไรแล้ว ผมปวดแขนก็เลยยัดเยียดตัวเองให้เบลล์มาส่ง แต่ใครจะรู้ว่าเธอจะเห็นใจผมจนมาดูแลเฝ้าไข้คนร้าย ๆ แบบผม ข้าวต้มกุ้งที่ไม่ได้กินมานานหลายปีรสชาติยังเหมือนเดิม เพราะฝีมือของคนเดิมที่เคยทำ“จะอาบน้ำเลยไหมคะ” เสียงของเบลล์ดังผมจึงก้มมองดูเธอทำแผลให้ผมเสร็จเรียบร้อย ผมสับสนกับตัวเอง อยากอยู่ใกล้ ๆ แต่บางทีก็อยากผลักไสเธอไปให้ไกล ผมเห็นเบลล์ทีไรมักมีวูบหนึ่งของความคิดจะคิดถึงวันที่ผมเคยไล่ให้ไปเบลล์เอาลูกออก ภาพจำของวันนั้นมันตอกย้ำซ้ำเติมว่าผมฆ่าลูกตัวเอง ผมมันเห็นแก่ตัว เมื่อเห็นหน้าเบลล์ก็เกิดคว
“หมากัด”“ไปหมอหรือยัง”“ไม่”“ไม่ไปได้ไง บ้าเหรอ หมากัดก็ต้องให้หมอฉีดยาสิ ปะ เปลี่ยนเสื้อผ้า ไปหาหมอกัน” ฉันเดินเข้าห้องไปหยิบกางเกงกับเสื้อผ้าเอามายื่นให้เขา ทว่าพี่กองปราบไม่รับเขาหันหน้ามองไปอีกทาง“เร็วค่ะ ไปหาหมอ ไปคลินิกก็ได้คุณยิ่งบ้า ๆ อยู่ เดี๋ยวพิษสุนัขบ้าแพร่กระจายแยกไม่ออกพอดีว่าบ้าเพราะอะไร เอ้า เร็วสิหรืออยากตาย ถ้าอยากตายฉันจะได้กลับ”“พี่” เขาพูดแล้วมองหน้าฉัน ให้เดาตอนนี้ฉันคงทำหน้างง“อะไรคะ”“พี่ปราบ เบลล์ต้องเรียกไม่งั้นพี่แบบนั้น ไม่งั้นพี่ไม่ไปหาหมอ” เขาพูดเอาแต่ใจและนอนเหยียดยาวที่โซฟาคือจำเป็นที่ฉันจะต้องแคร์เขาไหม เขาคิดว่าเขาสำคัญงั้นเหรอ “จะไปไหมคะ ถ้าไม่ไปฉันจะได้กลับ”“จะกลับก็กลับไปเลย ไม่ได้ขอให้มาวุ่นวายสักหน่อย” จริงด้วย ที่เขาพูดมามันก็ถูก ฉันเข้ามาวุ่นวายเองทั้งนั้น ฉันผิดเองที่เข้ามาเสือก ความจริงน่าจะปล่อยให้ตาย ๆ ไปซะ จะเป็นจะตายก็เรื่องของเขาฉันวางเสื้อผ้าเขาไว้ที่โซฟาแล้วเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายหยิบคีย์การ์ดออกจากกระเป๋าวางมันไว้บนโต๊ะ ไม่มาอีกแล้ว ต่อไปฉันจะไม่มายุ่งวุ่นวายกับเขาอีก ยิ่งคิดถึงคำพูดร้าย ๆ ต่อมน้ำตาก็ทำงาน ฉันปาดน้ำตาแล้วเดินไป
“อ้าวคุณเบลล์” รปภ. ที่ฉันคุ้นหน้าเอ่ยทักเมื่อเห็นฉันหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรัง“สวัสดีค่ะพี่” ฉันยิ้มทักทายแล้วรีบเดินขึ้นลิฟต์เพราะนึกเป็นห่วงคนตัวร้อนที่ขึ้นไปก่อนหน้านี้ประมาณหนึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ สุดท้ายแล้วฉันก็ใจอ่อนอีกตามเคย กลัวว่าเขาจะตายก็เลยต้องตามมาดูฉันรูดคีย์การ์ดที่ไม่ได้เก็บออกจากกระเป๋าหรือความจริงอาจจะไม่อยากเอามันออก เปิดเข้ามาภายในห้องดูเรียบ ๆ เหมือนไม่ค่อยได้อยู่อาศัย ฉันเอาของที่ซื้อมาไปวางที่โซนครัว จากนั้นก็เดินตามหาเจ้าของห้อง เปิดประตูห้องนอนเข้ามาเจอกับร่างหนานอนคว่ำหน้าอยู่กลางเตียง หวังว่าจะยังไม่ตายนะ นั่งที่ข้างเตียงแล้วยื่นมือไปแตะสัมผัสที่ร่างกายเขา มันร้อนยิ่งกว่าตอนอยู่บนรถหลายเท่า แบบนี้คงต้องเช็ดตัวให้ไข้ลดก่อน“นี่คงกะว่าจะนอนจมที่นอนจนไข้หายเลยมั้ง คิดแบบนั้นคงจะได้หายหรอก ตายก่อนสิไม่ว่า” ฉันบ่นพลางเดินหาผ้ากะละมังเตรียมเช็ดตัวให้เขา ถ้าฉันไม่ย้อนกลับมาเขาก็คงจะนอนอยู่แบบนี้จนอาการดีขึ้นหรือไม่ก็คงช็อกตายเพราะไข้ขึ้นสูง คนอะไรไม่รู้จักห่วงชีวิตของตัวเอง“ฮื้อ หนาว” เสียงคร่ำครวญของคนป่วยที่ฉันพยายามลากจากกลางเตียงมาอยู่อีกฝั่งเพื่อเช็ดตัวให้เขา
“คุณผู้หญิงรออยู่ที่ห้องรับแขกค่ะ” สาวใช้ในบ้านของอดีตท่านประธานผู้มีพระคุณบอกและเดินนำฉันไป คุณหญิงมณีนัดให้ฉันมาพบที่บ้านในวันหยุด หลังจากที่ผ่านเรื่องราวที่ร้านอาหารมาสามวันแล้ว“หนูรัศมี แม่เป็นห่วงหนูมากเลยลูก เป็นยังไงบ้าง” คุณหญิงมณีลุกจากเก้าอี้เดินเข้ามาสวมกอดทั้งถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย สีหน้าคุณหญิงมณีดูไม่ดีเลย เกิดอะไรขึ้นหรือไอ้ผู้ชายห่าม ๆ เล่าเรื่องราวทั้งหมดไปแล้ว“สวัสดีค่ะคุณหญิง” ก่อนอื่นฉันยกมือไหว้คุณหญิงมณี“คุณหญิงอะไรกัน ต่อไปเรียกแม่นะลูกเพราะแม่จะให้หนูแต่งงานกับไอ้ตัวดีของแม่ที่มันบังอาจทำให้หนูเสียใจ”“แต่งงานทำไมคะ” หัวใจเต้นตึกตึก ถึงแม้ผู้ชายคนนั้นจะบอกฉันไว้แล้วว่าพ่อแม่ของเขาจะให้เราแต่งงานกัน ทว่าเมื่อได้ฟังจากปากคุณหญิงก็ทำให้ตกใจอยู่ดี“แม่รู้เรื่องทั้งหมดที่กองปราบลูกชายคนเล็กของแม่ทำแล้วนะ หนูไม่ต้องกลัว แม่จะแสดงความรับผิดชอบเอง” คุณหญิงมณีกุมมือฉันแล้วพามานั่งที่โซฟา“หนูว่าเรื่องมันนานมาแล้ว ปล่อยมันผ่านไปเถอะค่ะ ให้มันแล้วกันไป”“แต่แม่อยากได้หนูมาเป็นสะใภ้นะ แม่ไม่รังเกียจหนูเลย แม่อยากรับผิดชอบ” คุณหญิงมณีทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ฉันควรทำอย่างไรด
คือผมทนไม่ได้ที่เห็นเธอร้องไห้ ไม่เข้าใจว่าทำไมน้ำตาของเธอมีผลกับหัวใจผม ใจผมมันผิดปกติเหมือนกับเวลาที่เห็นหมูน้อยกำลังร้องไห้ ผมไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เข้าใจว่าทำไมร่างกายต้องทำเหมือนแคร์เธอ คนที่ผมรักมีแค่มิ้มคนเดียวมาตลอดแล้วเบลล์จะมีค่าอะไร เบลล์เป็นอะไรสำหรับผม“หิวข้าว” ก็แค่ไม่อยากเห็นเธอร้องไห้ ผมก็เลยพูดอะไรที่มันไม่เข้าท่า ทั้งที่ความจริงแล้วไอ้ตัวการที่ทำให้เธอร้องก็คือผม แค่ผมอยู่ห่างเธอก็คงจะมีความสุขแล้ว ทว่าผมไม่อยากทำแบบนั้น“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน” เบลล์เหวี่ยงสายตาร้าย ๆ มามองผม เหอะ ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงอย่างเบลล์จะร้ายเป็น แต่ผมกลัวที่ไหนกันล่ะ ผมเนี่ยนะจะกลัวเบลล์ ไม่มีทาง“อยากให้กินเป็นเพื่อน”“ฉันไม่กินเป็นเพื่อนเป็นอะไรกับคุณทั้งนั้น จอดรถฉันจะลง”“อย่างี่เง่าดิเบลล์ พี่ก็แค่ไม่อยากให้เบลล์อยู่คนเดียว” ปากพล่อยพูดออกไปทำไมวะเนี่ย“ปล่อยให้ฉันอยู่คนเดียวดีกว่าอยู่กับคนแบบคุณ ฉันไม่อยากอยู่ใกล้คนอย่างคุณ น่าขยะแขยง จอดรถ!” เบลล์สวนกลับแบบที่ผมตั้งตัวไม่ทันแล้วผมมันพวกความอดสูงซะที่ไหนล่ะเอี๊ยด! เสียงเบรกล้อลาก“ลงไปดิ ก็ไม่อยากจะยุ่งหรอกนะ แค่เวทนาเท่านั้นแหละ” ปา