เช้าวันต่อมา
หว่านหว่านให้คนของนางเตรียมของฝากนางตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมเยือนเรือนของผู้นำหมู่บ้านเพื่อฝากเนื้อฝากตัวเสียหน่อย หากแต่ได้ยินเสียงเอะอะที่หน้าเรือนเสียก่อน
"เกิดอันใดขึ้นหรือ?"
"เรียนนายหญิง ท่านผู้เฒ่าที่เป็นผู้นำหมู่บ้านมาขอพบนายหญิงเจ้าค่ะ"
"ขอพบข้าหรือ? รีบเชิญเขาเข้ามาเร็วเข้า"
ชายชราอายุราวเจ็ดสิบกว่าร่างกายของเขายังแข็งแรง ก้าวเท้าเข้ามาในเรือนด้วยความเกรงอกเกรงใจ ก่อนจะทำความเคารพเมิ่งจิ่วซือ
"คารวะนายหญิงเมิ่ง ข้าน้อยลู่ถงเป็นผู้นำหมู่บ้านตระกูลเสิ่นแห่งนี้ขอรับ"
หว่านหว่านเลิกคิ้วนางพึ่งรู้ว่าที่นี่คือหมู่บ้านตระกูลเสิ่น เช่นนั้น... มิน่าเล่า
"ท่านผู้เฒ่าอย่าได้มากพิธีเลยเจ้าค่ะ ข้าเองกำลังคิดว่าจะไปเยี่ยมเยือนท่านอยู่พอดี ไม่คิดว่าจะต้องให้ท่านแวะมาก่อนช่างเสียมารยาทนัก"
"มิกล้า ๆ นายหญิงเมิ่งอย่าได้คิดมาก อย่างไรก็ต้องมาเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันย่อมต้องช่วยดูแลกันอยู่แล้ว" หญิงสาวพอใจในท่าทีของชายชราก่อนจะส่งสัญญาณให้ไห่หมัวมัวนำของขวัญแรกพบมามอบให้กับชายชรา
"นี่เป็นของขวัญพบหน้า ขอท่านผู้เฒ่าได้โปรดรับไว้ด้วยเจ้าค่ะ"
"เช่นนี้จะดีหรือ?"
"ย่อมดีอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ"
"เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณนายหญิงเมิ่งแล้ว" ชายชรารับกล่องของขวัญมาแล้วส่งให้บ่าวของเขาถือเอาไว้
"ข้าพึ่งรู้ว่าที่นี่คือหมู่บ้านตระกูลเสิ่น" หว่านหว่านเอ่ยออกมาอย่างไม่คิดอ้อมค้อม
"ถูกต้องแล้วขอรับ แต่คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ล้วนเป็นชาวบ้านที่ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลเสิ่นทั้งสิ้น เพราะแต่เดิมที่ดินแห่งนี้เป็นพื้นที่รกร้าง หากแต่นายท่านผู้เฒ่านั้นเป็นคนใจดีมีเมตตาหลังจากสงครามผ่านพ้นไปเมื่อหลายสิบปีก่อน จึงได้รับเอาชาวบ้านที่ไม่มีที่ไปมาอยู่ร่วมกันในหมู่บ้านแห่งนี้"
"เป็นเช่นนี้นี่เอง นายท่านผู้เฒ่าเสิ่นช่างดียิ่ง" หญิงสาวเอ่ยชมอย่างจริงใจ
ชายชราพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะเอ่ยต่อ
"นายหญิงเมิ่งเป็นแขกของนายท่านผู้เฒ่าพวกเราย่อมต้องดูแลรับรองท่านเป็นอย่างดี"
"ท่านผู้เฒ่าอย่าได้มากพิธี คิดเสียว่าข้าเป็นสมาชิกในหมู่บ้านที่เพิ่มเข้ามาเถิด หากมีสิ่งใดก็สามารถเรียกหากันได้ภายหน้าจะได้คอยช่วยเหลือกันเจ้าค่ะ"
"เช่นนั้นก็ดียิ่ง" ชายชรายกมือขึ้นลูบที่หนวดสีดอกเลาที่ยาวถึงหน้าอกของเขาอย่างพึงพอใจในท่าทีของสตรีตรงหน้า ในตอนแรกชายชราเห็นอีกฝ่ายท่าทางไม่ธรรมดาดูเหมือนไม่ใช่ชาวบ้านสามัญอย่างแน่นอน คิดว่าคงจะมีพิธีรีตองมากมาย แต่พอได้สัมผัสแล้วกลับพบว่าหญิงสาวเข้าถึงง่ายกว่าที่คิด แม้จะมีความรู้สึกน่าเกรงขามบางอย่างรอบ ๆ ตัวก็ตาม ย่อมไม่น่าแปลกใจเพราะนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นถึงกับส่งคนมากำชับกับเขาให้ดูแลนางเป็นพิเศษ สตรีผู้นี้ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน หากแต่อีกฝ่ายคงไม่ต้องการให้ผู้ใดล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงเช่นนั้นเขาก็จะทำตามข้อเรียกร้องของนาง แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอันใดทั้งนั้น ทุกคนล้วนเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันทั้งสิ้น
ในขณะที่หญิงสาวกำลังสนทนากับท่านผู้เฒ่า อยู่ ๆ หน้าเรือนก็มีเสียงเอะอะดังขึ้น ก่อนที่ไห่หมัวมัวจะเป็นคนเดินออกไปดูแล้วเดินกลับมารายงานในขณะที่อีกฝ่ายก็เดินตามเข้ามาอย่างใจกล้า ไห่หมัวมัวมีสีหน้าไม่ค่อยดีเล็กน้อย เพราะกลัวว่านายหญิงจะไม่ชอบใจ แม้ว่านางจะอยู่ดูแลเมิ่งจิ่วซือได้ไม่นานแต่ก็พอรู้ว่าสตรีตรงหน้านั้นมีฐานะไม่ธรรมดาจึงเกรงว่ายามที่มาอยู่ร่วมกับชาวบ้านที่ไม่รู้ความเหล่านี้จะทำให้หญิงสาวเกิดความไม่พอใจได้
หว่านหว่านที่เห็นสีหน้าไม่ค่อยดีของไห่หมัวมัว นางก็ส่งยิ้มให้ก่อนจะโบกมือพลางเป็นสัญญาณว่าไม่เป็นไร
"อ้าว! ท่านผู้นำหมู่บ้านมาทำอันใดที่นี่หรือเจ้าคะ พวกข้าเห็นท่านเข้ามาอยู่นานสองนานแล้ว ที่แท้ก็กำลังสนทนาอยู่กับสาวงามผู้หนึ่งไม่ทราบว่านางเป็นใครหรือ?" กัวอวิ๋นคือสตรีปากมากที่สุดในหมู่บ้านนี้เรื่องที่นางรู้ผู้คนในหมู่บ้านย่อมได้รู้ ในขณะที่นางพึ่งกลับมาจากบ้านของสหายผู้หนึ่งที่อยู่หมู่บ้านเดียวกันก็บังเอิญเห็นท่านผู้นำตรงมายังเรือนหลังใหม่ที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน ไม่รู้ว่าเจ้าของเรือนเป็นใครนางเฝ้ารอดูอยู่นานแต่ก็ไม่เห็นท่านผู้เฒ่าออกจากเรือนมาเสียที ด้วยความอยากรู้เป็นอย่างมากจึงได้ถือวิสาสะเดินเข้ามาเสียเลย ไม่คิดว่าจะได้พบกับสตรีที่งดงามล่มเมือง ใบหน้าที่งามราวกับบุปผาแรกแย้ม ผิวขาวปานหิมะ ริมฝีปากที่แดงเรื่ออย่างสุขภาพดีโดยไม่ต้องแต่งเติม แก้มแดงน้อย ๆ เผยให้เห็นเลือดฝาด มือเรียวเรียบเนียนนิ้วเรียวยาวราวกับไม่เคยจับต้องสิ่งใดตั้งแต่เกิดมาทั้งยังท่าทางสูงส่งเกินบรรยายของอีกฝ่าย ทำให้กัวอวิ๋นไม่กล้ากล่าววาจาล่วงเกินอีก
"ท่านผู้นี้คือ..." ท่านผู้เฒ่าลู่คิดที่จะแนะนำเมิ่งจิ่วซือเพื่อไม่ให้กัวอวิ๋นล่วงเกินนาง แต่เมิ่งจิ่วซือไม่ต้องการทำตัวเด่นเกินไปนางเพียงต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเท่านั้นจึงได้รีบเอ่ยตัดหน้าชายชราเสียก่อน
"ท่านป้าเรียกข้าเมิ่งฮูหยินเถิด ข้าพึ่งย้ายตามสามีมาที่นี่"
"อ๋อ ข้ามีนามว่ากัวอวิ๋น หากเจ้าอยากจะรู้สิ่งใดก็สอบถามข้าได้ ทุกเรื่องในหมู่บ้านแห่งนี้ข้ารู้หมด" สตรีวัยกลางคนเอ่ยแนะนำตัวอย่างภาคภูมิใจ เมิ่งจิ่วซือทำเพียงส่งยิ้มกลับไปก่อนจะนึกในใจว่า นี่มันสุดยอดมนุษย์ป้าในตำนานนี่นา คนเช่นนี้มีมาตั้งแต่ยุคโบราณกาลแล้วสินะ
"ยินดีที่ได้พบเจ้าค่ะ ไห่หมัวมัวไปนำของขวัญพบหน้าออกมามอบให้ท่านป้าผู้นี้ทีเถิด"
"เจ้าค่ะนายหญิง" กัวอวิ๋นได้ยินหญิงสาวเรียกขานหญิงวัยกลางคนผู้นั้นว่าหมัวมัวที่แท้นางก็คือสาวใช้อาวุโสงั้นหรือ สตรีที่งดงามเช่นนี้ทั้งยังมีบ่าวรับใช้ดูท่าแล้วฐานะคงจะดีไม่น้อย
ไห่หมัวมัวมอบของขวัญพบหน้าให้กับกัวอวิ๋น เป็นขนมกุ้ยฮวาที่ค่อนข้างประณีตสวยงาม กัวอวิ๋นที่ไม่เคยได้กินของดีเช่นนี้มาก่อนเมื่อได้เห็นก็ตาลุกวาวทันที
"เป็นเพียงของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ขอท่านป้าอย่าได้รังเกียจ"
"ฮ่า ๆ จะรังเกียจได้อย่างไร ถ้าหากมีอะไรก็เรียกหาข้าได้เลย บ้านของข้าอยู่ถัดออกไปหลังที่ห้า"
"เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านป้ามาก"
ลู่ถงเห็นว่าเมิ่งจิ่วซือไม่ต้องการแสดงตัวจึงทำเป็นเงียบ หากแต่เขารู้ดีว่าหน้าที่ของเขาคือต้องดูแลอีกฝ่ายเป็นพิเศษจึงได้เอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น
"เมิ่งฮูหยินเป็นญาติห่าง ๆ ของนายท่านผู้เฒ่าเสิ่น เจ้าเองหากไม่มีธุระก็อย่าได้มารบกวนฮูหยินให้มาก" กัวอวิ๋นที่ได้ยินท่านผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนั้นก็ตกใจ นางคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าสตรีตรงหน้าต้องไม่ใช่คนธรรมดา ที่แท้ก็เป็นญาติของนายท่านผู้เฒ่าเสิ่นนี่เอง ดีละ! เรื่องนี้จะต้องเล่าต่อ...
"ได้ ๆ ข้าย่อมไม่มารบกวนเมิ่งฮูหยินบ่อยนัก" กัวอวิ๋นยิ้มก่อนจะเอ่ยลา นางจะต้องแวะไปอีกหลายที่หากอยู่นานจะมืดค่ำเสียก่อน
"เช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อน ข้าไปละ" กล่าวจบนางก็รีบหันหลังเดินออกจากเรือนไปทันที
ไห่หมัวมัวที่มองตามสตรีผู้นั้นไปพลางถอนหายใจ โชคดีที่ท่านผู้เฒ่าเอ่ยว่านายหญิงเป็นญาติห่าง ๆ ของนายท่านผู้เฒ่าเสิ่น มิเช่นนั้นนายหญิงของนางคงจะถูกรบกวนอยู่ตลอดเป็นแน่
"หากไม่มีสิ่งใดแล้วเช่นนั้นข้าน้อยเองก็ต้องขอตัวก่อน"
"ข้าจะไปส่งเจ้าค่ะ"
"นายหญิงเมิ่งอย่าได้มากพิธี ใกล้เพียงเท่านี้เอง"
"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านผู้เฒ่าอย่าได้เกรงใจ ภายหน้าข้ายังต้องพึ่งพาท่านอีกมาก"
"ดี ดียิ่งนัก" หว่านหว่านเดินออกมาส่งท่านผู้เฒ่าที่หน้าเรือนก่อนจะเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายอีกครั้ง
"ขอบคุณท่านผู้เฒ่าที่ช่วยเหลือเจ้าค่ะ"
"มิได้ ๆ นายหญิงเองหากมีเรื่องใดที่พอจะให้ข้าน้อยช่วยเหลือก็อย่าได้เกรงใจ ส่งคนไปแจ้งแก่ข้าน้อยได้เลย"
"ขอบคุณมากเจ้าค่ะ"
คล้อยหลังชายชรา หว่านหว่านก็ยืนอยู่หน้าเรือนครู่หนึ่ง ก่อนจะเห็นสตรีกลุ่มหนึ่งมาแอบด้อม ๆ มอง ๆ อยู่เรือนตรงกันข้ามพร้อมกับซุบซิบกันยกใหญ่ โดยมีป้ากัวคนเดิมอยู่ในวงสนทนาและเมื่อหญิงสาวมองไปที่คนกลุ่มนั้นพร้อมกับส่งยิ้มให้ ก็ดูเหมือนพวกนางจะคาดไม่ถึงอยู่บ้าง ต่างคนต่างพากันแยกย้ายไปคนละทิศคนละทาง
หว่านหว่านทำเพียงยกยิ้มน้อย ๆ แล้วหันหลังกลับเข้าเรือนไป
ต่อมาในช่วงค่ำคุณชายเสิ่นก็ส่งสาวใช้มาให้นางตามที่เคยแจ้งเอาไว้ เป็นสตรีอายุราวสิบสองหนึ่งคนสิบหกหนึ่งคน พวกนางมาพร้อมกับหนังสือขายตัวในใบขายตัวของพวกนางระบุว่าคนทั้งสองเป็นเด็กกำพร้าไม่มีญาติพี่น้อง พวกนางถูกฝึกมาเป็นอย่างดีรู้ธรรมเนียมของชนชั้นสูง และรู้สิ่งใดที่ควรและไม่ควร ที่สำคัญคือทั้งสองนั้นเป็นวรยุทธ์และมีความรู้เรื่องพิษ
หว่านหว่านเข้าใจในเรื่องดีนี้ ก่อนหน้านี้นางเองก็มีคนของนางก่อนที่พวกนางจะเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อให้นางและบุตรสาวหลบหนีมาได้ แม้ว่าสำหรับชนชั้นสูงอื่นแล้วบ่าวรับใช้เป็นเพียงข้าวของที่สามารถทิ้งได้ทุกเมื่อแต่สำหรับเมิ่งจิ่วซือแล้ว บ่าวไพร่และคนของนางทุกคนไม่ต่างจากครอบครัว
หญิงสาวมีความสามารถในการมองคน แน่นอนว่าบางครั้งอาจมีข้อผิดพลาดได้บ้าง แต่จากที่สังเกตแล้วสาวใช้ทั้งสองนับว่าซื่อสัตย์ ทั้งพวกนางยังมีหนังสือขายตัวอยู่ในมือของหว่านหว่านแล้ว เช่นนั้นนางก็จะลองใช้งานดูก็แล้วกัน
"พวกเจ้ามีชื่อว่าอันใดงั้นหรือ"
"พวกบ่าวไม่มีชื่อเจ้าค่ะ รบกวนนายหญิงตั้งชื่อให้บ่าวทั้งสองด้วยเจ้าค่ะ" สาวใช้ที่ดูอายุมากกว่ากล่าวขึ้น
"เช่นนั้นเจ้าชื่อ อาฉือ ส่วนเจ้าก็ อาเป่า ก็แล้วกัน" หว่านหว่านให้คนที่อายุมากกว่าชื่อ อาฉือ ส่วนสาวใช้อายุน้อยชื่ออาเป่า หว่านหว่านจดจำได้ว่าในนิยายนั้นรั่วหวามีสาวใช้ที่ชื่ออาฉือและอาเป่าทั้งคู่ซื่อสัตย์กับเจ้านายเป็นอย่างมาก หญิงสาวส่งอาเป่าที่อายุน้อยไปอยู่เป็นเพื่อนคอยดูแลหวาหวา ส่วนอาฉือให้คอยเป็นผู้ช่วยของไห่หมัวมัว
เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวันก็ถึงเวลาต้องดูแลบุตรสาวต่อแล้ว เรื่องราวในจวนนับว่าเป็นไปด้วยดี ไห่หมัวมัวมีผู้ช่วยเพิ่มมาอีกสองคนทำให้นางมีเวลาดูแลรั่วหวามากขึ้น ส่วนหว่านหว่านยังต้องจัดการเรื่องราวในเรือนอยู่อีกหลังจากที่เมิ่งจิ่วซือตกจากหน้าผานางก็ขาดการติดต่อจากคนของนางและหญิงสาวไม่รู้วิธีการติดต่อคนของร่างเดิมเสียด้วย เช่นนั้นก็คงต้องรอให้พวกเขาหาวิธีตามหานางให้พบเองเท่านั้น
ช่วงปีใหม่ผ่านพ้นไปแล้ว ซิ่วจื่อหลิงเองก็กลับมาที่แคว้นหนานเฉินได้หลายเดือนแล้วคงถึงแก่เวลาที่จะต้องกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง หญิงสาวทำหน้าเศร้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองบิดามารดาด้วยแววตาอ้อนวอน แม้ว่าทั้งคู่จะอยากกอดบุตรสาวของตนเอาไว้แนบอกเพียงใด หากแต่ว่าพวกเขาไม่อาจอยู่กับนางไปได้ตลอดชีวิต ซิ่วจื่อหลิงจำเป็นต้องมีคนข้างกายที่อยู่กับนางและดูแลนางได้ดีไม่ต่างจากผู้เป็นบิดามารดา"เด็กโง่ จากกันแล้วมิใช่ว่าจะมิได้พบกันอีก หากพ่อกับแม่ว่างเมื่อใดต้องไปหาเจ้าแน่""จริงนะเพคะ เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ห้ามหลอกให้ลูกดีใจเล่น""ฮ่า ๆ เจ้าเด็กแสบนี่ ช่างไม่รู้จักโตเสียจริง" หรงเซ่อฮ่องเต้เอ่ยหยอกเย้าบุตรสาว"เสด็จพ่อ... ""เอาละ เวลาไม่เช้าแล้วเจ้ารีบออกเดินทางเถิดประเดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อน""เจ้าค่ะ ลูกทูลลาเพคะ"ซิ่วจื่อหลิงถูกประคองขึ้นรถม้า ในขณะที่สามีของนางขึ้นควบบนหลังม้าอย่างองอาจ หญิงสาวเปิดม่านขึ้นก่อนส่งสายตาเศร้าสร้อยมายังบิดามารดาอีกครั้งพร้อมกับโบกมือลาอย่างไม่เต็มใจนัก เมิ่งจิ่วซือทำได้เ
ข่าวคราวที่องค์หญิงใหญ่กลับบ้านเดิมหลังจากงานแต่งงานได้เพียงสามวันดูเหมือนจะเป็นที่โจษจันกันไปทั่วทั้งเมืองหลวง เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะบุรุษที่นางแต่งด้วยเป็นถึงองค์รัชทายาทแคว้นหนานเฉินที่อยู่ห่างไกลนับพันลี้ หากแต่หลังวันแต่งงานสามีกลับพานางกลับบ้านเดิมทันทีไม่บอกก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นมีใจรักใคร่ในตัวนางมากเพียงใดจึงมิได้สนใจในกฎระเบียบรีบพาภรรยากลับมาบ้านเดิมทั้งยังอยู่รอฉลองวันปีใหม่ที่นี่อีกด้วย ใครๆ ต่างก็กล่าวว่าองค์หญิงใหญ่นั้นช่างโชคดียิ่งนัก"นางกลับมาแล้วงั้นหรือ? " หลิวอวี้หลันเอ่ยกับสาวใช้"เจ้าค่ะ เห็นว่ากลับมาพร้อมกับองค์รัชทายาทแคว้นหนานเฉินเจ้าค่ะ และที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ...""อันใดงั้นหรือ? " หลิวอวี้หลันที่กำลังส่องใบหน้าที่งดงามของนางผ่านกระจกทองเหลืองหันมาถามสาวใช้ด้วยความสนใจ สาวใช้ผู้นั้นทำทีเป็นหันซ้ายมองขวาเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีผู้ใดได้ยินที่นางกำลังจะกล่าวเรื่องต่อไปนี้"บ่าวได้ยินมาว่าองค์รัชทายาทแคว้นหนานเฉินนั้นเดิมทีเคยเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่สำนักศึกษาหลวงชั้นสูงเ
ครั้งแรกที่หรูเจิ้งหยวนลืมตาขึ้นเขากลับพบว่าตนเองได้ย้อนกลับมาในอดีตอีกครั้งในตอนอายุสิบสาม มือทั้งสองข้างนับว่ายังเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ยังไม่เติบโตเต็มวัยผู้หนึ่งเท่านั้นย้อนกลับไปในตอนที่เขาสามารถบุกยึดแคว้นหนานเฉินได้สำเร็จ หรูเจิ้งหยวนเดินเข้าไปยังห้อง ๆ หนึ่งที่เป็นสถานที่เก็บบรรจุโลงศพของตู๋กูรั่วหวาความเย็นแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง ชายหนุ่มค่อย ๆ ก้าวเข้าไปก่อนจะหยุดอยู่ข้าง ๆโลงศพของนางอย่างใจเย็น มือหนาเลื่อนเปิดฝาโลงก่อนจะมองเห็นใบหน้าที่เป็นสีขาวซีดเซียวไร้สีเลือดแม้จะกลายเป็นเพียงร่างที่ไร้วิญญาณหากแต่สำหรับเขาแล้ว นางงดงามที่สุดเสมอมือหนายื่นออกไปแล้วค่อยๆ กุมข้างแก้มที่เย็นจัดของนางด้วยความอ่อนโยนราวกับกลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บหากว่าเขาแตะต้องหญิงสาวแรงเกินไปก่อนที่ดวงตาทั้งสองข้างของเขาจะแดงก่ำ"เหตุใดเจ้าจึงได้ใจร้ายนัก ทิ้งกันได้ลงคอ" ชายหนุ่มกล่าวตัดพ้อก่อนที่จะค่อย ๆ กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมามือหนาถูกยื่นออกไปยังร่างที่นอนแน่นิ่งก่อนที่บนฝ่ามือของเขาจะปรากฏร่างของจิ้งจอกสีเงินตัวน้อยที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นอย่างช้า ๆ เจ้าจิ้งจอกน้อยราวกั
"ข้าไม่เคยรักเจ้า มันเป็นเพียงแผนการที่ข้าต้องการครอบครองแผ่นดินของเจ้าเท่านั้น" หรูจางเหว่ยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบและเย็นชาโดยไม่ยอมหันกลับมามองใบหน้าของนางเลยแม้แต่หางตาสตรีที่คิดว่าตนเองนั้นอยู่เหนือผู้ใดบนแผ่นดินเช่นนาง สุดท้ายกลับพ่ายแพ้หัวใจให้กับบุรุษใจร้ายตรงหน้า เขาเข้ามาทำให้นางที่เดิมไม่เคยไว้ใจผู้ใด ความอ่อนโยนของเขาทำให้นางใจอ่อนก่อนจะคิดว่าทั้งชีวิตนี้นางจะขออยู่เคียงข้างบุรุษผู้นี้ไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจแต่แล้ว... นางกลับได้รับรู้ความจริงว่าสิ่งที่เขาทำไปทุกอย่างนั้นเป็นเพียงการหลอกลวง ตู๋กูรั่วหวาไม่คิดว่าที่ผ่านมามันจะเป็นเพียงเรื่องโกหกหลอกลวง หัวใจของนางแตกสลายไม่มีชิ้นดี ชีวิตที่ไม่หลงเหลือผู้ใดในยามที่มีเขาเข้ามากลั
ต่อมาในงานเลี้ยงในวังองค์ชายสิบสามซึ่งเป็นองค์ชายพระองค์เดียวที่หลงเหลืออยู่ของแคว้นหนานเฉินก็ได้ขึ้นรับตำแหน่งองค์รัชทายาทอย่างสมบูรณ์ท่ามกลางความยินดีของขุนนางทั้งหลาย ชายหนุ่มเรียนรู้จากหรงเซ่อฮ่องเต้ที่มีการเปิดให้เหล่าบัณฑิตได้มีโอกาสสอบคัดเลือกเพื่อรับตำแหน่งขุนนางและรับใช้ฝ่าบาทด้วยความสามารถที่มีอยู่ของตนแม้ว่าการสอบจะเป็นไปด้วยความทุลักทุเลมีทั้งการโกงข้อสอบหากแต่สุดท้ายหรูเจิ้งหยวนก็จัดการกับคนเหล่านั้นได้ก่อนที่พวกเขาจะถูกปลดและเนรเทศออกไปนับพันลี้ท่ามกลางความยินดีครั้งใหญ่เมื่อองค์รัชทายาทได้มีพิธีสมรสกับองค์หญิงใหญ่ซิ่วจื่อหลิงแห่งแคว้นต้าซ่ง สองแคว้นผูกสัมพันธ์เป็นดั่งพี่น้องกันนับแต่นี้
เช้าวันรุ่งขึ้นหญิงสาวถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่เช้าก่อนจะถูกสาวใช้จวนตระกูลเจียวจับอาบน้ำชำระร่างกายแล้วสวมชุดแต่งงานสีแดงที่เตรียมเอาไว้ สาวใช้ทั้งสองแม้จะแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เจ้าสาวนั้นไม่ยิ้มแย้มทั้งยังมีอาการเหม่อลอยแปลก ๆ เพียงแต่เพราะพวกนางได้ยินว่าเจ้าสาวเองก็ถูกบังคับให้มาแต่งงานกับคุณชายของพวกนาง สาวใช้ทั้งสองก็พอที่จะเข้าใจได้เจียวหมัวมัวเดินเข้ามาดูความเรียบร้อยในห้องของเจ้าสาวในขณะที่สาวใช้ทั้งสองกำลังแต่งหน้าแต่งตัวจนกระทั่งใกล้เสร็จแล้ว นางมองเห็นใบหน้าที่ไม่ยินดียินร้ายของสาวใช้รั่วหวาก็ให้นึกรังเกียจ หากไม่เป็นเพราะบุตรชายนั้นรักใคร่ในตัวนางเป็นอย่างมากมีหรือที่นางจะรับสตรีที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อยเป็นเพียงแค่สาวใช้มาเป็นภรรยาของบุตรชายเช่นนี้ หึ แต่ก็นับว่าสาวใช้รั่วหวาผู้นี้ยังรู้ความอยู่บ้างที่ไม่เอะอะโวยวายให้เสียการ