(คามินทร์)
งี่เง่า ก็แค่งานจบการศึกษามหาวิทยาลัยที่พ่อแม่ผมถือหุ้นอยู่ไม่ใช่เหรอ เรื่องแค่นี้กลับต้องส่งลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมาเป็นแขกผู้มีเกียรติทุกปี พ่อแม่เองก็ตายไปตั้งนานแล้วไม่รู้จักขายหุ้นไปซะให้มันจบๆ อันที่จริงงานแบบนี้ต้องเป็นหน้าที่ของ ภาคินทร์ พี่ชายคนโตของผม ไอ้หมอนั่นเป็นถึงว่าที่ท่านประธานรุ่นต่อไปของ KL-group บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีธุรกิจในเครือและทรัพย์สินมากกว่าหมื่นล้าน เพราะอย่างนั้นเรื่องที่ต้องออกหน้าก็ไม่พ้นทายาทอย่างมัน
เพียงแต่วันนี้งานของไอ้คินทร์มันดันรัดตัว น้องชายคนเล็กอย่าง นาวินทร์ ที่เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลก็กำลังดิ่งจากการอกหัก ผมไม่อยากรับงานที่ยุ่งยากและวุ่นวายอย่างนี้นักหรอก แต่คนที่ขึ้นเรือมาด้วยดันเป็นคนที่ผมอยากเจอ...
เธอคนนั้นคือ จันทร์จ๋า ผู้หญิงที่ผมรักสุดหัวใจ แต่ความสัมพันธ์ของเรามันก็จบลงไปกว่าสี่ปีแล้ว เหลือเพียงความหลังที่มีแค่ผมตามดูเธออยู่เงียบๆ
เพียงแต่...เรื่องเหล่านั้นมันไม่สำคัญหรอก ผมเพิ่งจะไปเจออริเก่าที่ด้านนอกแล้วกลับเข้ามาในห้อง ไม่คิดว่าจะเจอสปายที่แอบฟังบุกเข้ามา
ใบหน้าของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าผมมีน้ำตาไหลลงมาอาบแก้มอย่างช้าๆ เธอตัวสั่นเทาในขณะที่ถูกลูกน้องทั้งสองคนของผมจับเอาไว้อยู่ มือทั้งสองลู่ลงข้างลำตัวไม่ต่างอะไรกับคนที่เตรียมใจจะตาย
ผมแค่ล้อเล่นเองว่าจะฆ่าต้องร้องไห้ขนาดนี้เลยเหรอ
“ทำอะไรของเธอ”
ผมตัดสินใจถามออกไปอย่างนั้น ด้วยอาการขัดใจกับท่าทางของคนตรงหน้าเสียเหลือเกิน ก่อนหน้านี้ก็ยังส่งเสียงแว้ดๆ ร้องขอชีวิตได้อยู่ แต่ตอนนี้กลับทำท่าเหมือนอยากตายขึ้นมาเสียอย่างนั้น
กะอีแค่ฆ่าคนผมทำได้สบายอยู่แล้ว แต่คนตรงหน้าไม่ได้ทำอะไรผิด ก็แค่ทำห้องผมเลอะนิดหน่อยกับได้ยินการทะเลาะกันของผู้ชายเข้า แค่นั้นเอง
“ถ้าคุณจะยิง ก็ยิงมาเถอะค่ะ”
“...”
“อย่ามัวแต่พูดพร่ำทำเพลงอยู่เลย ฉันพร้อมจะตายแล้ว อย่ารอจนฉันคิดเสียใจเลย”
คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคือ...ผมดูเหมือนคนที่ฆ่าคนได้อย่างง่ายดายขนาดนั้นเลยเหรอ? โอเคถึงจริงๆ แล้วผมจะเป็นคนอย่างนั้น ใครที่ขวางทางผมจะต้องถูกกำจัดไม่เลี้ยง แต่พี่น้องฝาแฝดของผม คนหนึ่งก็เป็นท่านประธานที่ใครๆ ต่างก็เคารพ อีกคนก็เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่ดูมีภูมิฐาน จะมีสักเสี้ยวหนึ่งของผมที่เหมือนไอ้สองคนนั้นไม่ได้เลยเหรอ?
“งั้นเอางี้ ฉันจะให้โอกาสเธอมีชีวิตรอดด้วยการตอบคำถามฉันข้อหนึ่ง”
“อย่ามาให้ความหวังเลยค่ะ จะยิงก็ยิงเถอะ ยังไงซะฉันก็ตอบคำถามนั้นไม่ถูกหรอก”
เฮ้ยๆ ยังไงก็ลืมตาขึ้นมามองหน้าคู่สนทนาหน่อยสิแม่คุณ เอาแต่หลับตาปี๋ไม่สนใจอะไรเลยแบบนี้ เดี๋ยวพ่อก็เป่าหัวกระจุยจริงๆ หรอก
“เอาน่า ถือว่าให้ตอบสนุกๆ”
“แต่ฉันไม่สนุกกับคุณ”
“ก็แค่ตอบมาว่าฉันดูเป็นคนยังไง หล่อไหม แค่นั้นพอ ถ้าถูกใจฉันจะยอมปล่อยไป”
ร่างที่สั่นเทาก่อนหน้านี้เหมือนจะสงบขึ้นเล็กน้อย เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาก่อนที่จะจ้องผมนิ่ง สายตาเริ่มไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างพิจารณา
แค่ตอบคำถามว่าหล่อไม่หล่อ มองหน้าก็น่าจะรู้แล้วไหม ทำไมคิดนานจัง
“เร็วสิ!”
เสียงของผมทำให้หญิงสาวสะดุ้งน้อยๆ ด้วยความตกใจ ก่อนที่เธอจะพูดตอบเสียงสั่นๆ
“กะ...ก็ หน้าตาดีค่ะ”
“แค่หน้าตาดี?”
“หล่อค่ะ หล่อมากๆ หล่อเหมือนดาราแถวหน้าของโลก นี่ฉันยังแปลกใจเลยนะคะว่าทำไมค่ายหนังไม่มาติดต่อคุณไปแสดง เอ๊ะ? หรือว่าจริงๆ แล้วเป็นนักแสดงคะ เอาจริงๆ แล้วเหมาะมากเลย”
เหอะ ยัยเด็กนี่เข้าใจประจบนะ ถึงจะรู้ว่าพูดไปเพราะกลัวตาย แต่ฟังแล้วรื่นหูชะมัด ไม่เหมือนไอ้พวกเด็กในคลับที่ดีแต่บอกว่าพวกเราหน้าตาดี ทว่ากลับไม่เคยมีสักคำชื่นชมให้ได้ชื่นใจ
“อีกอย่างนะคะ หน้าตาของคุณมันน่าหลงใหลมากๆ จนฉันหยุดมองไม่ได้เลย โอ๊ะ? ใจเต้นแรงเหมือนจะตกหลุมรักเลยล่ะค่ะ นี่ถ้าเกิดว่าคุณมาขอฉันแต่งงานรับรองได้ว่าฉันจะยื่นนิ้วไปรับแหวนอย่างไวเลย”
“พอได้แล้ว รู้แล้วว่ากลัวตาย ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้”
พอผมพูดขัดขึ้นมาอย่างนั้นเธอก็นิ่งมองตาปริบๆ ไม่ค้านขึ้นมาสักคำว่าที่พูดนั่นคือความจริง เล่นเอาผมที่เผลอดีใจไปแวบหนึ่งอยากจะกลับมาเป่าหัวเธอกระจุยอีกครั้ง
“คุณปล่อยหนูไปเถอะค่ะ หนูไม่มีประโยชน์หรือโทษอะไรกับคุณหรอก ต่อให้หนูไปบอกตำรวจพวกนั้นก็ไม่เชื่อคำพูดของเด็กที่กำลังจะเรียนจบอย่างหนูด้วยซ้ำ”
เสียงแผ่วเบาเอ่ยพร้อมกับกะพริบตาปริบๆ
จะว่าไปขังเธอไว้หรือฆ่าให้ตายไปก็ไม่มีประโยชน์ต่อผมจริงๆ นั่นแหละ รังแต่จะหาเรื่องยุ่งยากมาให้ตัวเองเสียเปล่าๆ ตอนนี้ผมต้องปกป้องจันทร์จ๋า ไม่มีเวลามาสนใจเด็กคนเดียวหรอก
“เออ ไปเถอะ แล้วอย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีกแล้วกัน”
“จริงนะ!” เธอรีบลุกขึ้นพลางทำตาโตด้วยความดีใจ “แล้วถ้าฉันวิ่งออกไป ไม่ใช่ว่าจะให้คนมาตามยิงฉันทีหลังนะ”
“ฉันจะทำอย่างนั้นไปทำไม รีบไปเถอะ น่ารำคาญจริง”
เพราะรักตัวกลัวตายหญิงสาวจึงวิ่งออกไปจากห้องนี้อย่างไว ระหว่างที่วิ่งผ่านตัวผมฝุ่นจากข้างเรือที่ติดมากับกระโปรงก็ปลิวว่อนจนแสบจมูกไปหมด ความวุ่นวายตรงนี้ได้จบลงพร้อมประตูที่ปิดลงอย่างรวดเร็ว
"จะดีเหรอครับบอสปล่อยไปแบบนี้ ถ้าเธอเอาไปบอกคนอื่นล่ะ” จาเรด ลูกน้องคนสนิทเข้ามาถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล ไอ้หมอนี่ทำงานอยู่ข้างกายผมมาราวๆ 15 ปีได้ น่าจะรู้ใจลูกพี่ของมันเป็นอย่างดี ผมเองก็กังวลเรื่องนั้นอยู่หน่อยๆ แต่ก็ไม่อยากให้มีอะไรมารบกวนจิตใจในตอนนี้
เพราะสิ่งเดียวที่ผมต้องโฟกัส คือปกป้องจันทร์จ๋าจากไอ้มาร์ค หวัง ศัตรูคู่อาฆาตที่ไม่คิดว่าจะมาเจอกันได้ที่นี่ คำขู่ของมันไม่ได้มีอะไรน่ากลัวหรอก มันก็แค่ไอ้กระจอกที่ฆ่าไม่ตาย เทียบกับผมที่มีบอดีการ์ดมาด้วยนับสิบคน แต่ถึงกระนั้นผมก็ไม่กล้าไว้ใจ จันทร์จ๋าสำคัญกับผมมาก ไม่ว่ายังไงผมจะไม่ยอมให้มีอะไรเกิดขึ้นกับเธออย่างเด็ดขาด
“จาเรด”
“ครับบอส”
“แกขึ้นไปสมทบคนของเราที่ชั้นศิลปะด้วยเลย อย่าให้ใครเข้าใกล้จันทร์จ๋าได้แม้แต่ปลายเล็บ”
“แต่ว่า...ไม่มีใครอยู่กับบอสไม่ได้นะครับ”
“กูสั่ง!”
“ครับบอส”
ใครจะว่าผมบ้าก็แล้วแต่ ครั้งหนึ่งผมเคยหลงละเลิงในอำนาจจนเสียเธอไปแล้วครั้งหนึ่ง แม้ว่าเธอจะไม่มีวันกลับมาหาผม แต่ผมก็จะไม่ยอมให้ใครทำร้ายเธอได้เป็นอันขาด
(ตติญา)ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะได้พูดคำนี้ออกมาเหมือนกัน แต่รู้ตัวอีกที ทุกอย่างก็ผ่านไปหลายปีแล้ว คิรินโตแล้ว กำลังจะขึ้นอนุบาล 3 ปีนี้ และลูกสาวคนเล็กที่มาพร้อมเรือนผมสีเทาเข้มเหมือนพ่อของเขา น้องดิว ชื่อดิว Dwyn มาจากภาษาเวลส์ แปลว่า คลื่นทะเล ฉันตั้งชื่อพี่ชายว่าคิริน ที่แปลว่า ภูเขา เพราะตอนที่หนีจากคามินทร์มา ภาพที่เห็นตรงหน้าเวลาร้องไห้มีแต่ภูเขาที่อยู่เป็นเพื่อน พอมีลูกสาวอีกคน ฉันอยากให้ชื่อนั้นสื่อถึงความทรงจำแทรกที่พ่อแม่ได้เจอกัน นั่นก็คือ ทะเล...ดิวเป็นเด็กที่สุขุมผิดกับเด็กหญิงทั่วไปลิบลับ เธอนั้นไม่ค่อยซุกซน พูดจาดูเป็นผู้ใหญ่ ทั้งยังใจเย็นและรู้ความ ผิดกับพี่ชายที่นับวันยิ่งโตยิ่งเหมือนพ่อ ทั้งกวนส้นเท้าและเกรียนยิ่งกว่าอะไรดี ส่วนหนึ่งคงเพราะเมื่อก่อนสมัยอยู่เชียงใหม่ คิรินไม่ได้มีเพื่อนเล่นที่ไหนเลยนอกจากแม่ พอลงมาอยู่ที่นี่ก็มีลูกน้องของพ่อมาเล่นด้วย มีชัลก้า มีดิวและนับดาวที่เกิดไล่หลังมาไม่กี่ปี และตอนนี้ก็ยังมีน้องจินนี่อีก ครอบครัวเรากลายเป็นครอบครัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของผู้ใหญ่และเด็กๆ ไปซะแล้วส่วนบ้านที่เชียงใหม่ บ้านที่แม่นวลยกให้เ
(พาร์ทพิเศษ ราล์ฟ)สำนักข่าวราล์ฟฟี่ รายงาน สวัสดีครับผมราล์ฟ ผู้ครองตำแหน่งมือขวาคนใหม่ของบอสแล้วยังเป็นพี่เลี้ยงเด็กดีเด่นประจำปีอีกด้วย ช่วงนี้ชีวิตผมค่อนข้างที่จะมั่นคง แม้ใครจะบอกว่าตำแหน่งอยู่ไม่นาน ตำนานจะคงอยู่ตลอดไป ส่วนผมนั้นตั้งใจจะเป็นทั้งตำแหน่งและตำนาน ไม่มีใครมาโค่นล้มลงไปได้ก่อนหน้านี้ตำแหน่งมือขวาของบอสไม่ใช่ของผมหรอกนะครับ แต่เป็นของคุณจาเรด ชายผู้ฝีมือดีที่สุดและยังเป็นคนที่บอสไว้วางใจเป็นอย่างมาก ผมต้องนึกขอบคุณเขาเลยนะที่ถูกจับตัวไปในครั้งนั้น เลยทำให้ผมได้มีโอกาสแสดงฝีมือกับเขาบ้างตอนนี้อย่าว่าแต่ปกป้องบอสเลย หน้าที่เล็กใหญ่ในแก๊งตั้งแต่ดูแลแมวยักษ์อย่างชัลก้า หรือแม้แต่การดูแลบอสน้อยของเราอย่างคุณคิริน ก็เป็นของผมไปหมด“ทำให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง!!!”ส่วนคุณจาเรดที่ก่อนหน้านี้คือคนโปรดของบอส กลับถูกลดระดับมาเป็นเพียงครูฝึกให้แก่เด็กใหม่ที่เข้ามาในแก๊งเสียอย่างนั้น แต่แม้ว่าหน้าที่ของเขาจะเปลี่ยนไป แต่เรื่องชื่อเสียงของเขาในหมู่เด็กใหม่นั้นไม่ได้ก้อยลงเลย ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณจาเรดครูฝึกคนใหม่นั้น ทั้งดุ โหด แล้วไม่มีโหมดคิตตี้ให้
(คามินทร์)“ใจร้ายจังเลยนะ คิรินเป็นเหลนย่าแท้ๆ ทำไมไม่รู้จักบอกย่าเสียบ้าง รู้ไหมว่าใจแทบขาดตอนรู้จากปากน้ำหวานว่าหนูเจออะไรมาบ้าง”ตอนนั้นผมบอกว่ากลัวจะถูกย่าบ่นใช่ไหมครับ ตอนนี้สบายใจแล้วเพราะมีคนมารับแทน ติญ่านั่งหง็อยอยู่หน้าโซฟาโดยมีคิรินนั่งเล่นกับชัลก้าอยู่ ส่วนผมนั้นลอยตัว สามารถนั่งเอกเขนกได้อย่างสบายใจแต่ก็สบายใจได้แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น พอเห็นว่าหลานสะใภ้ท่าทางน่าสงสาร ย่าก็ได้เบนเข็มมาที่ผมแทน“แกนี่แหละตัวต้นเหตุไอ้หลานเวร ทำอะไรไม่คิดจนทำให้หนูญ่าต้องหนีไป สำนึกบ้างไหม ขึ้นไปนั่งบนโซฟาสบายใจไม่ดูเลยว่าเมียนั่งพื้น ลงมา!”“อ้าวย่า ปกติเราก็นั่งพื้นดูหนังกันบ่อยออก นั่งสบายกว่าโซฟาอายุหมื่นปีของย่าอีก”“ไอ้หลานเวรนี่ อยากปากแตกตายใช่ไหมฮะ”บรรยากาศในบ้านของผมกลับมาครึกครื้นอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปนาน ก่อนหน้านี้ทั้งเรื่องของน้องดาทำให้ไอ้วินทร์ดูซึมๆ และไม่ยอมเข้าบ้านเลยตลอดสามปี จนกระทั่งช่วงเดือนก่อนที่ติญ่ากลับมาทำห้องเสื้ออีกครั้ง และดึงเอาน้องดามาร่วมงานด้วย เราเลยได้มีโอกาสพูดคุยกันแบบครบทั้งครอบครัวเป็นครั้งแรกอันที่จริง...จะว่าครบก็ไม่ครบนัก เพ
เขาว่ากันว่า ความฝันของหญิงสาวทุกคน คือการได้ใส่ชุดแต่งงานสวยๆ แต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองรัก เชื่อไหมคะ ตอนที่ฉันยังทำงานอยู่ในสตูดิโอที่เชียงใหม่ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ใส่ชุดแต่งงานพวกนั้นอีกครั้ง คิดแค่ว่าแค่ได้มองผู้คนยิ้มมีความสุขกับครั้งหนึ่งที่แสนสำคัญในชีวิต แค่นั้นก็มากพอแล้วแต่ไม่คิดว่าฉันจะได้สวมมันอีกครั้ง อยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้...คนเดียวกับที่ฉันเคยบอกว่าไม่มีวันรักเขาได้ฉันค่อยๆ เดินไปตามทางเดินเพื่อเข้าสู่แท่นพิธีที่มีเจ้าบ่าวชุดขาวยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขามองมาที่ฉันแล้วก็ยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่สะกดฉันได้แทบทุกครั้ง รอยยิ้มและสายตาคู่นั้นเขาไม่เคยใช้มองใครเลยนอกจากฉัน มันเป็นของฉัน...ของฉันคนเดียวเท่านั้น...“แม่ค้าบ คิยินหย่อกว่าปะป๊าหยือป่าว”ฉันคงลืมบอกไป วันนี้คนที่จูงฉันเข้าสู่แท่นพิธีไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเจ้าคิรินน้อยนี่เอง เขาตื่นเต้นมากๆ เพราะพี่เลี้ยงทุกคนเอาแต่พูดกรอกหูว่า เนี่ยนะ มีไม่กี่คนในโลกหรอกที่จะได้อยู่ในงานแต่งงานของพ่อแม่ตัวเอง เขาคือคนพิเศษ แค่นั้นแหละเจ้าเด็กก็ดีใจใหญ่ เขาเป็นคนที่ตื่นเต้นกับงานแต่งงานในครั้งนี้ไม่แพ้คนที่แต่งเ
“ปล่อยเมียฉันซะพิมพิ ถ้าเธอไม่อยากโดนเป่าหัวกระจุยตอนนี้”เสียงของคามินทร์ที่ดังขึ้นหยุดทุกอย่าง ฉันลืมตาขึ้นมามองภาพตรงหน้าก่อนจะพบว่าเขากำลังเอาปืนจ่อที่หัวของคนที่พยายามจะฆ่าฉัน ทว่ายังไม่ทันที่พิมพิจะได้ตอบโต้ คอเสื้อของเธอก็ถูกดึงอย่างแรงจนร่างปลิวไปกระแทกเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกล หลังจากนั้น ก็มีคนวิ่งเข้ามาจับตัวเธอกดลงกับพื้น“ปล่อยฉันนะไอ้พวกบ้า ปล่อยฉัน ปล่อย!!!”เสียงโวยวายของเธอดังไปทั่วห้อง ดังจนฉันเห็นสีหน้าหงุดหงิดของทุกคนในห้องนี้ คามินทร์ตรงเข้ามาหาฉันอย่างเงียบๆ ก่อนที่เขาจะออกแรงดึงฉันเข้าไปแนบอกแล้วกอดเอาไว้แน่นความกลัวทุกอย่างก่อนหน้านี้ ทุกสิ่งถูกระบายออกมาผ่านม่านน้ำตาเมื่อได้สัมผัสกับอ้อมกอดของเขา...มันเป็นอ้อมกอดที่...ทั้งอบอุ่นแล้วก็ปลอดภัยที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้รับมาเลย...“ฮึก...”“ขอโทษที่มาช้านะ”มันเป็นอย่างนั้นเสมอ อ้อมกอดของเขามันทั้งอบอุ่น ปลอดภัย แล้วก็ทำให้ฉันไม่หวาดกลัวอะไรอีกต่อไป ฉันไม่ได้ยินเสียงของพิมพิที่ร้องตะโกนเหมือนคนบ้า ไม่ได้ยินความวุ่นวายอะไร มีเพียงเสียงของเขาเท่านั้นที่ดังอยู่ข้างหูฉันกลัว...กลัวเหลือเกินว่าอาจจะไม่
(ตติญา)“พี่ฟอง หนูฝากตรงนี้ด้วยนะคะ ดูแลแขกด้านหน้าด้วยค่ะ”ไม่คิดเลยนะ ว่าฉันจะได้จัดงานศพให้แม่นวลเร็วอย่างนี้เลย ตั้งแต่เด็กฉันคิดว่าตัวเองโชคร้ายมากๆ เจอเรื่องร้ายต่างๆ จนไม่น่าจะเจออีกแล้วหลังจากนี้ อย่างที่เขาว่ากันว่าฟ้าหลังฝนมักสวยงามเสมอ แต่ชีวิตฉันมันคงยังอยู่ท่ามกลางพายุ ไม่เจอฟ้าหลังฝนที่ว่าสักทีล่ะมั้งหวังแต่เพียงว่า ขอให้นี่เป็นการสูญเสียครั้งสุดท้าย ขอให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกฉันหลบจากทางหน้าฝานที่มีแขกเหรื่อมาร่วมงานกันหลายคน ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนมีหน้ามีตาอะไรมากมายเพราะนี่ก็เป็นแค่งานศพของแม่บ้านคนหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักกัน รวมทั้งป้าๆ แถวนี้ที่รู้จักแม่นวลมาหลายปีที่หน้าโลงศพของแม่นวล ฉันเป็นคนจัดดอกไม้เองทุกดอก แม้ว่าท่านจะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่ว่าก็มีดอกไม้ที่ชอบอยู่ดอกหนึ่งแม่นวลเคยเอารูปให้ฉันดู ตอนนั้นท่านไม่รู้ชื่อ แต่เห็นแล้วชอบมันมากๆ ยิ่งพอได้รู้ความหมาย ท่านก็ยิ่งชอบจนใฝ่ฝันว่าอยากเอามาปลูกภายในบ้าน แต่น้าพาแพ้เกสรดอกไม้เลยทำได้แค่ตั้งเป็นภาพหน้าจอมือถือดอกไม้ชนิดนั้นคือ บลูบอนเน็ต ดอกไม้ที่มีความหมายแสนเศร้า แม้ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ขอไ