공유

บทที่ 8

작가: หูเทียนเสี่ยว
เมื่อจั๋วซือหรานเห็นฝูซูกลับมา นางคิดว่าฝูซูพาคุณหมอมาถึงบ้านแล้ว ผู้ใดจะทราบได้ว่า ชายหนุ่มแสนหล่อเหลาที่กล่าวถึงในเมื่อวานนี้ว่า จะต่างคนต่างอยู่ เวลานี้ชายผู้นี้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำและกำลังนั่งหน้าโต๊ะแปดเซียน

จั๋วซือหราน "ทำไมถึงเป็นเจ้าล่ะ"

เฟิงเหยียนเหลือบมองถ้วยชาในมือของเขา "ผู้ดูแลของเจ้าไปตามคุรหมอที่เรือนหมอของตระกูลเหยียน"

“ข้าไปตามคุณหมอที่บ้านมิได้หรือเจ้าคะ” จั๋วซือหรานลากเก้าอี้หนึ่งตัวออกมาแล้วนั่งลง ใบหน้าของนางซีดเซียว นางริมชาเองและดื่มหมดถ้วย

“เพราะคนที่ไปเชิญคุณหมอเป็นผู้ติดตามของเจ้า ดังนั้นตระกูลเหยียนจึงส่งข่าวข้า ข้านึกว่าเจ้าจะมีกลอุบายใหม่ ๆ ดังนั้นจึงเข้ามาดูเสียหน่อย” เฟิงเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีอารมณ์ใด ๆ

“แล้วคุณหมอล่ะ เจ้าไม่ได้ให้คุณหมอตามมาด้วยหรือ ” จั๋วซือหรานถาม

เฟิงเกยียนไม่ได้พูดอะไร นั่นหมายถึงจั๋วซือหรานพูดได้ถูก

เพราะเมื่อวานเหยียนฉีบอกว่า ชีพจรของนางแข็งแรงมากและถึงแม้จะมีอาการบาดเจ็บภายใน แต่ปัญหาก็ไม่ร้ายแรง ยิ่งไปกว่านั้น พลังทางจิตวิญญาณและความสามารถในการฟื้นฟูของลูกหลานตระกูลจั๋วนั้นเหนือกว่าคนทั่วไปมาก

เมื่อรวมกับยาน้ำค้างหยกที่เขาให้ไว้เมื่อวานนี้ ก็มากเกินพอที่จะรักษาอาการบาดเจ็บของนางได้

ดังนั้นเขาจึงคิดว่า จั๋วซือหรานจะเล่นงานอะไรอีก ดังนั้นเขาจึงไม่ให้คุณหมอตามเขามา

ในขณะนี้ เฟิงเหยียนได้กลิ่นจาง ๆ ของเลือดและได้กลิ่นสุราแรงด้วย

กฎตระกูลจั๋ว มีแส้หนามอันเป็นเอกลักษณ์โดยนำแส้แช่ในเสุราแรง แส้นี้ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อยับยั้งพลังทางจิตวิญญาณของลูก ๆ ตระกูลจั๋วที่มีพลังการฟื้นฟูโดยกำเนิดและเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป

โดยในปกติแล้ว เมื่อเฆี่ยนลงหนึ่งครั้งจะต้องอาเจียนเป็นเลือด

แม้แต่ผู้ชายก็อาจไม่สามารถยืนได้หากได้รับเฆี่ยนมากกว่าสองครั้ง

ด้วยความเข้มข้นของกลิ่นเลือดและสุราแรง นางคงได้รับการเฆี่ยนมากกว่าหนึ่งหรือสองครั้ง

และนางยังพูดได้โดยไม่เปลี่ยนสิหน้า เขาไม่รู้ว่าต้องชมว่า สตรีที่มีพรสวรรค์แห่งตระกูลจั๋วสมชื่อเสียจริง หรือชมนางเป็นแม่นางที่น่ากลัว มีความอดทนอย่างสูง

จั๋วซือหรานจับหน้าผากด้วยมือของตนเองแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยล้า "ท่านอ๋องเฟิง ข้าไม่มีเวลามาเล่นแง่เล่นง่ามกับเจ้า และเคารพความปรารถนาของเจ้าที่อยากต่างคนต่างอยู่ แต่เวลานี้ ข้าต้องการรับการรักษาจากคุณหมอจริง ๆ "

เมื่อเฟิงเหยียนดูใบหน้าที่ซีดเซียวของนาง เฟิงหยานขมวดคิ้วเล็กน้อย “ตระกูลจั๋วไม่มีหมอประจำจวนหรือ”

“หมอประจำจวน ข้าจะกล้าเรียกใช้หรือ” จั๋วซือหรานเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง “จั๋วลิ่วเกลียดข้าจะตาย พ่อของนางห้ามคนในคลังจ่ายยาข้าด้วยซ้ำ ข้าจะเชิญหมอประจำจวนมาได้เช่นไร ต่อให้ข้าเชิญมาแล้ว ข้าก็ยังกลัวหมอจะโรยเกลือพิษที่แผลข้า แม้ร่างกายข้าจะแข็งแรงเพียงใดก็ไม่สามารถทนได้หรอก”

แหวนเสวียนเหยียนก็ไม่ได้ข้ามภพมากับนาง นางรู้วิธีการรักษาทว่าไม่มียารักษา แถมอาการบาดเจ็บทั้งหมดอยู่ด้านหลัง ทำให้นางรักษาได้ลำบาก

นางหายใจเข้าเบา ๆ แล้วพูดต่อ "ข้าจึงสั่งคนรับใช้ออกไปเรียกคุณหมอมา เพราะตอนนี้ข้าไม่สามารถรักษาตนเองได้ แต่เจ้ากลับทำได้ดีเสียจริง บอกห้ามก็ห้ามเลย "

นางเริ่มไอทันทีที่เธอพูดจบ ไหล่ของนางสั่นเล็กน้อย และเสียงที่นางกลั้นไอไว้ซ้อนด้วยเสียงที่มีเสมหะ

เฟิงเหยียนคุ้นเคยกับเสียงนี้มาก นั่นเป็นเสียงเสมหะปนเลือด

เขาขมวดคิ้วและหยิบป้ายไม้มะเกลือออก โยนป้ายบนโต๊ะ นั่นเป็นป้ายของคุณหมอ คุณหมอที่ผ่านการทดสอบโดยเฉพาะเท่านั้นจึงจะได้รับป้ายดังกล่าว และเมื่อได้รับป้ายนี้ จึงสามารถเอาป้ายไปหอยที่เรือนหมอและเป็นคุณหมอได้

เขามีป้ายนี้ นั่นหมายความว่า เขาสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของนางได้เช่นกัน

แต่จั๋วซือหรานหมอบลงโต๊ะโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ

“จั๋วจิ่ว” เฟิงเหยียนเรียก แต่จั๋วซือหรานยังคงนิ่งเงียบ

เขาขมวดคิ้วและเอื้อมมือออก ค่อย ๆ ดันไหล่นาง แต่เขาเห็นตัวนางล้มไปด้านข้าง

เฟิงเหยียนยื่นมือออกไปรับนางไว้ และร่างอันบอบบางของหญิงสาวก็ถูกโอบไว้อยู่ในอ้อมแขนของเขา

เสื้อคลุมที่คลุมไหล่ของนางตกใส่พื้น และหลังของนางเปื้อนไปด้วยสีแดงเลือดที่น่าสยดสยองโดยไม่เหลือสิ่งใดปิดไว้ได้

เฟิงเหยียนตกตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็หรี่ลงเพียงเล็กน้อย

แส้เก้าที

ตระกูลจั๋วลงมืออย่างโหดร้ายเสียจริง

และโดนตีเช่นนี้แล้ว นางยังตายอีก ช่างเก่งเสียจริง

เฟิงเหยียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นอุ้มนางแล้วเดินไปที่ห้องด้านใน

*

จั๋วซือหรานรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ แขนขาและกระดูกของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวดอย่างมาก นางรู้สึกเปลือกตาของนางหนักอึ้งถึงพันโล และนางรู้สึกเวียนหัวด้วย

ท่ามกลางความสับสนเอาแต่คิดว่า หากท่านแม่เห็นนางในสภาพแบบนี้ ท่านแม่คงร้องไห้จนตาบอด

จั๋วซือหรานไม่รู้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่เสียงกังวลและเสียงร้องไห้ของท่านแม่ดังก้องอยู่ในหูของนางอยู่ตลอด

“หรานหราน ทำอย่างไรดี… ควรทำอย่างไรดี?”

ท่านแม่

จั๋วซือหรานพยายามเปิดโพรงตาให้ได้มากที่สุด นางพบว่าตัวนางนั้นกำลังนอนค่ำอยู่บนเตียงโดยไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ ความเจ็บปวดที่หลังของนางไม่ได้เจ็บอย่างกัดเซาะกระดูกเช่นตอนแรกแล้ว ตอนนี้นางทนความเจ็บนั้นได้แล้ว และติดแปะยาลงลงก็รู้สึกสดชื่นและเย็นสบาย

นางไม่มีเวลาคิดว่า ใครเป็นคนดูแลอาการบาดเจ็บของนางเสียงของแม่นางเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ “หรานหราน ลูกกำลังพักผ่อนอยู่หรือเปล่า”

จั๋วซือหรานรีบลุกนั่ง นางดึงเสื้อคลุมที่ข้าง ๆ และมัดไว้แน่น "เปล่าเจ้าค่ะ ท่านแม่เข้ามาได้เลย"

ผู้เป็นมารดาผลักประตูและเดินเข้ามาด้วยสีหน้าอันกังวล “ลูกดีขึ้นหรือยัง หมอว่าเช่นไรบ้าง”

“เอ่อ โอ้ ท่านแม่อย่ากังวลเจ้าค่ะ อาการบาดเจ็บดูร้ายแรง จริง ๆ แล้วคนของผู้อาวุโสใหญ่ไม่ได้ทำอะไรโหดร้ายกับหนูหรอก คุณหมอบอกว่า มันเป็นแค่อาการบาดเจ็บที่ผิวหนังและจะหายภายในไม่กี่วันเจ้าค่ะ”

จั๋วซือหรานปลอบใจของท่านแม่ “เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ”

ผู้เป็นมารดาโล่งใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าเป็นอาการบาดเจ็บที่ผิวหนัง แต่นางก็ดูกังวลอีกครั้ง “เสี่ยวหวาย เมื่อเสี่ยวหวายได้ยินลูกต้องถูกลงโทษด้วยกฎตระกูล เขาก็ไปขอความเมตตากับผู้อื่น ตอนนี้เขายังไม่กลับมาเสียที ข้าไม่สบายใจเลยไปถามหา เพิ่งทราบว่า แท้จริงแล้วเขาไปขอความเมตตาจากคุณท่านลิ่ว”

“อะไรนะ” จั๋วซือหรานเป็นห่วง นางรีบลุกขึ้นทันที “หนูจะไปหาเขาเดี๋ยวนี้”

หลังจากที่พวกนางเดินออกจากห้อง ร่างสูงที่ยืนอยู่หลังฉากกั้นห้องค่อย ๆ ปรากฏตัว

เฟิงเหยียนขมวดคิ้วและมองไปยังเสื้อคลุมของเขาที่วางอยู่ในตอนแรก ทว่าตอนนี้ตำแหน่งนั้นกลับว่างเปล่า

แม้แต่กระบี่ประจำตระกูลก็...

*

จั๋วซือหรานรีบวิ่งไปที่เรือนของคุณท่านลิ่ว

นางพูดกับยามรักษาประตูลานบ้านว่า "ข้ามาที่นี่เพื่อมารับน้องชายของข้า โปรดแจ้งคุณท่านลิ่วปล่อยเขาไป"

องครักษ์ไม่แสดงเจตนาที่จะปฏิบัติตาม และยังมองนางอย่างเยาะเย้ย "คุณชายหวายมาที่นี่อย่างหุนหันพลันแล่น และยังพูดหยาบคายใส่คุณท่านลิ่ว คุณท่านลิ่วเห็นใจคุณชายหวายมีแม่ที่กำเนิดชีวิต แต่ไม่มีพ่อที่สั่งสอนเขา ดังนั้นท่านจึงตัดสินที่จะสั่งสอนเขากฎของการเคารพผู้อาวุโสแล้ว เมื่อท่านสั่งสอนเสร็จ ท่านจะปล่อยคุณชายหวายกลับ“

“ในเมื่อคุณหนูจิ่วเพิ่งได้รับบทลงโทษของตระกูล ก็ควรดูแลอาการบาดเจ็บให้ดีสิ เหตุใดจึงต้องมาที่นี่ด้วย เชอะ แถมยังแต่งตัวไม่เรียบร้อยและวิ่งมาที่นี่ คุณหนูจิ่วไม่รู้สึกหยาบคายไปหน่อยหรือ”

จั๋วซือหรานหรี่ตาลงและมองดูตัวเอง นางจึงรู้ตัวเองรีบร้อยเหลือเกิน จึงรีบดึงเสื้อคลุมแล้วสวมให้ดี

เสื้อคลุมสีดำนี้... นางนึกถึงชายผู้มีใบหน้าหล่อเหลาอย่างยิ่ง และก็นึกถึงยาทาอันเย็นที่อยู่บนบาดแผลของนาง

หรือว่า ชายผู้นั้นเป็นเขา

และกระเป๋าด้านข้างที่เอวของเสื้อคลุมนี้... ดูเหมือนจะมีของหนักอยู่ในนั้นด้วย

นางล้วงเข้าไปในกระเป๋าด้านข้าง แล้วเลิกคิ้ว

ทันทีที่มือของนางอสัมผัสด้ามกระบี่ในกระเป๋าข้าง ๆ เรื่องต่างๆ ก็ง่ายขึ้นทันที

“คุณหนูจิ่ว ท่านคิดว่ามัน...เอ่อ” ก่อนที่องครักษ์จะพูดจบ เขาก็สังเกต จู่ ๆ จั๋วซือหรานก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตาเขา

เขาหันกลับไปมองเพื่อนที่ร่วมงานกัน แววตาของฝ่ายตรงข้ามก็สับสนเช่นกัน

จากนั้น พวกเขาทั้งสองก็ได้ยินเสียงผู้หญิงแผ่วเบาที่อยู่ข้างหลัง

“อาจเป็นเพราะหลังที่ข้ากลับมา ข้ามีนิสัยที่ดีมากเสียจนใครก็ได้กล้ามาห้ามข้า และอยากเหยียบหัวข้าเพื่อดูว่าข้าจะโกรธไหม”

เสียงของจั๋วซือหรานเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันน่ากลัว ทำให้พวกเขาขนหัวลุก

นางหัวเราะเบา ๆ แล้วถามพวกเขา “ข้าช่วยสมปรารถนาของพวกเจ้า ข้าโมโหแล้ว เช่นนั้นพวกเจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อล่ะ”
이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1401

    ชิ่งหมิงได้ยินคำนี้ สายตาก็ชะงักไปตอนที่เงยหน้าขึ้นมองปันอวิ๋น ก็ไม่ได้รู้สึกตกตะลึงอะไร ดูสงบนิ่งมาก "ฝีมือก็ดีขึ้นมากจริงๆ เพียงแต่ว่า...ข้ากับเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันมากมายนัก"ปันอวิ๋นไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้ เขาโบกไม้โบกมือ "ไม่เป็นไร ถึงยังไงพวกเราก็ไม่ได้มีพ่อที่ดีกันนักหรอก"จั๋วซือหรานขมวดคิ้วมองเขา "เจ้ามองออกตั้งแต่เมื่อไรกัน?""ข้าไม่ได้ตาบอดนะ เหล่าจวงเองก็แอบมองจวงชิ่งหมิงอยู่ตลอด ทั้งสองคนสกุลจวงเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นในแววตาของเหล่าจวงกับจวงชิ่งหมิงก็คล้ายคลึงกันด้วย แค่มองเฉยๆ อาจไม่รู้สึก แต่ถ้าสองคนอยู่ในภาพเดียวกัน ก็จะสัมผัสได้เลย"ปันอวิ๋นบางครั้งดูแล้วก้เหมือนเป็นคนขี้เกียจที่เหมือนไม่ใส่ใจกับอะไรเลยแต่อันที่จริง เขาเป็นคนละเอียดอ่อนและเฉียบแหลมมากมีหลายเรื่อง ที่แม้เขาจะไม่พูด แต่อันที่จริงในใจก็รู้แจ้งเห็นจริงทุกอย่างปันอวิ๋นเอ่ยต่อ "ไม่เป็นไร ถ้าไม่ชอบฟังคราวหลังจะไม่พูดอีก"แต่เขาคิดๆ จากนั้นก็เสริมมาอีกคำหนึ่ง "น่าจะเพราะว่า ข้ากับเฟิงเหยียนแต่ก่อนรู้ว่าตนเองต้องแบกภาระโชคชะตาแบบไหนไว้ ดังนั้นจึงค่อยๆ ปรับความเข้าใจกับตนเอง จะพูดถึงยังไงก็ได้

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1400

    ถึงยังไงการทำงานในโรงคณิกา บ่อยครั้งที่จะตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกแม่เล้ากลอกตาไปมา "ทั้งสามท่านมาที่นี่เพื่อหาความสำราญแบบใดหรือ? เคาะประตูดีดีก็พอนี่นา ไม่เห็นต้องพังประตูใหญ่แบบนี้..."นางจ้องปันอวิ๋นไม่วางตา "แขกท่านนี้ต้องการจะฟังดนตรี หรือจะค้างคืนกันล่ะ? ต้องการแม่นาง...หรือว่าต้องการชายหนุ่ม?"ปันอวิ๋นฟังครึ่งประโยคแรก ก็ขมวดคิ้วแล้ว พอได้ยินครึ่งประโยคหลังก็หนักเลย "อะไรนะ?"แม่เล้าเห็นความเย็นชาในสายตาเขา ก็รู้สึกสันหลังวาบ สั่นเทาไปทั้งตัวจั๋วซือหรานที่อยู่ข้างๆ ฟังแล้วอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ ปันอวิ๋นหน้าตาดี ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นความงามเฉพาะตัวด้วย บุคลิกเย้ายวนชวนหลงใหลแต่กำเนิดนั่น ก็ไม่น่าแปลกใจที่ผู้คนจะอดคิดไม่ได้ว่าเขาจะต้องการแม่นาง...หรือว่าต้องการชายหนุ่มกันแน่...จั๋วซือหรานกระแอมแล้วอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ เอ่ยขึ้นว่า "...แค่ก พวกเรามากินข้าวน่ะ พวกเจ้าที่นี่มีกับข้าวและสุราอะไรที่อร่อยก็ยกมาให้หมดเลย"หลังจากที่แม่เล้าได้ยิน เดิมทียังคิดจะถามอยู่ว่าพวกเขาต้องการแม่นางหรือชายหนุ่มไหม แต่ก็รู้สึกว่าถ้าทำแบบนั้นมันจะเหมือนว่าตนเองเบื่อชีวิตแล้วก็เลยอ้าปากพะ

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1399

    ทั้งซื่อหนานล้วนเป็นขอบเขตขั้วอำนาจของเนี่ยคุน ดังนั้นข่าวของบ่อนพนัน ไม่นานนักก็ส่งไปถึงหูของเนี่ยคุนแล้วเขาโมโหจนแทบกระอักเลือด!ใครจะคิดว่าหญิงสาวคนนี้ เอาจวนของเขาไปแล้วก็ยังไม่พอตอนนี้ยังคิดจะทำลายกิจการของเขาอีก!เนี่ยคุนทำได้แค่รีบกำชับออกไป "หญิงสาวคนนี้น่าจะจงใจเล่นงานข้า เร็ว กำชับออกไป ให้โรงคณิกาทางนั้นวันนี้ปิดประตูไม่รับแขก จะได้ไม่ให้นังมารร้ายนั่นพอเบื่อบ่อนพนันแล้วหันไปเล่นทางโรงคณิกาต่อ"คนใช้รู้สึกว่าเนี่ยคุนจะคิดมากเกินไป "ท่านเจ้าเมือง คงไม่หรอกกระมัง? นางเป็นหญิงสาวนะ จะไปโรงคณิกาทำไมกัน..."นั่นมันที่ที่ชายหนุ่มไปเล่นกับหญิงสาวนะ!เนี่ยคุนหัวเราะเย็นชา "นางเป็นโหว ขนาดบ่อนพนันยังไปได้ ยังมีเรื่องอะไรที่นางไม่กล้าทำอีกกัน...?"ตอนนี้ต่อให้มีคนมาบอกเขาว่า หญิงสาวคนนี้บินได้!เนี่ยคุนก็อาจจะรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรด้วยซ้ำ!ส่วนอีกด้านหนึ่ง จั๋วซือหรานก็พาปันอวิ๋นกับชิ่งหมิงมาอยู่หน้าประตูโรงคณิกาอย่างสบายอารมณ์"เจ้ามาจริงๆ ด้วยแฮะ" ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว จมูกก็ย่นลง เหมือนได้กลิ่นเครื่องประทินเข้มข้นลอยออกมาจากในโรงคณิกา"เจ้าเด็กนี่ยังเด็กอยู่เลยนะ" ป

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1398

    "ได้"จั๋วซือหรานมองเขา ถามขึ้นว่า "ถ้างั้น ใครจะมาเขย่าล่ะ?"ผู้ดูแลเอ่ยขึ้น "ข้า ข้าเอง ข้าเขย่าเอง...ข้าเขย่าเสร็จจะปล่อยมือทันที ไม่มีโอกาสทำอะไรแน่นอน!"จั๋วซือหรานพยักหน้ายิ้มๆ "ได้ได้ งั้นเจ้าเขย่าเลย"ผู้ดูแลให้คนเอากระบอกเขย่าลูกเต๋ามาด้านในมีลูกเต๋าไม้สามลูกวิธีการก็เหมือนกับกติกาในชาติที่แล้วของจั๋วซือหราน เป็นวิธีเล่นที่ง่ายที่สุดจริงๆจั๋วซือหรานไม่ได้ติดใจที่จะเล่นกับเขาสักตา ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากเขามือสะอาดจริง ชนะก็ชนะแพ้ก็แพ้ นางก็ไม่ใช่จะเล่นไม่ได้แต่ใครจะรู้ ว่าก็ยังมีวิะีการโกงอยู่จริงๆคนผู้นี้น่าจะรู้สึกว่าตัวเขามั่นในใจในแรงควบคุมลูกเต๋าเป็นพิเศษ ดังนั้นพริบตาที่นางตอบตกลงให้เขามาเขย่าลูกเต๋า บนหน้าเขาก็มีสีหน้าถอนใจโล่งออกมาอย่างชัดเจนมันชัดเสียจนทำให้จั๋วซือหรานมองข้ามไปไม่ได้เลยจั๋วซือหรานดูท่าทางเขย่าลูกเต๋าของเขา น่าจะเป็นท่าทางบวกกับการสร้างขึ้นเป็นพิเศษของลูกเต๋า ดังั้นพอรวมกับการเคลื่อนไหวที่พิเศษของเขา สามารถหมุนไปตามที่เขาคิดได้และสามารถทำให้เขาได้แต้มที่เขาต้องการแม้จั๋วจะไม่ได้ดูล้ำสมัยเหมือนพวกอุปกรณ์การพนันที่จั๋วซือหรานรู้ในชาติ

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1397

    น่าจะเพราะกลุ่มของหญิงสาวคนนี้ พอเข้ามาถึงก็มีแรงคุกคามมหาศาลกระทั่งท่าทีของผู้ดูแลที่มีต่อพวกเขาก็ยังหวาดหวั่นมากเขาเป็นแค่คนแจกไพ่ แน่นอนว่าไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามแต่ก็ไม่กล้ามองสายตาของผู้ดูแลด้วย จึงทำได้แค่เปิดไพ่อย่างว่าง่ายไปจั๋วซือหรานจึงชนะสองตาของผู้ดูแลดำเมี่ยมไปแล้ว ถ้าปล่อยให้นางชนะต่อไป...แล้วยังมีสหายที่เก่งกาจเรื่องพนันของนางกวาดเรียบที่โต๊ะอื่นด้วยแบบนี้ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ต่อให้พวกนางไม่เอาชีวิตเขา หลัจากนี้เนี่ยคุนก็เล่นเขาตายอยู่ดีดังนั้นสีหน้าผู้ดูแลจึงบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับกำลังกลัดกลุ้มกับเรื่องที่ตัดสินใจได้ยากมากมองออกว่าค่อนข้างลำบากใจแล้วจั๋วซือหรานยืนขึ้นมา เดินไปทางโต๊ะของปันอวิ๋น บอกกับเขาว่า "เอาล่ะ พอจบตาของเจ้าแล้ว พวกเราก็พอเถอะ"ปันอวิ๋นมองตั๋วทองบนมือจั๋วซือหราน ตาก็เป็นประกาย "ถ้างั้นข้าก็ชนะแล้วสิ?"จั๋วซือหรานยิ้มๆ "ได้ได้ ข้ายอมแพ้แล้ว"เดิมทีนางก็ไม่คิดจะเอาชนะปันอวิ๋นอยู่แล้ว ก็แค่ให้เขาได้เป็นพ่อทูนหัวอย่างสมใจอยากก็เท่านั้นเห็นท่าทางนี้ของเขา จั๋วซือหรานรู้สึกว่าเขาน่าจะไม่คิดมีลูกหลานสืบทอดอะไรแล้วเห

  • ยอดหญิงแกร่งของเฟิงอ๋อง   บทที่ 1396

    "เอาล่ะไม่พูดแล้ว ข้าต้องรีบหน่อย ไม่งั้นเดี๋ยวปันอวิ๋นได้ชนะพอดี เขาดูแล้วก็ไม่ใช่พวกเคี้ยวง่ายด้วยนี่สิ"ไม่นานนักบรรยากาศในบ่อนพนันก็ผิดปกติไปแล้วโต๊ะที่ปันอวิ๋นอยู่ อารมณ์ของทุกคนก็เหมือนจะไม่ไหวแล้ว...ไม่มีใครรู้ว่าชายหนุ่มหน้าตางดงามคนนี้ทำอะไรกันแน่ ทำไมถึงราวกับมีเนตรสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น ไม่แพ้เลยสักตาเดียว?ส่วนหญิงสาวที่อยู่อีกโต๊ะคนนั้นเองก็สุดยอดมาก...ไม่แพ้เลยสักครั้งเดียวเหมือนกันแต่พวกเขาก็ดูเป็นแค่นักพนันเท่านั้น...มาขลุกอยู่แต่ในบ่อนพนันคับแคบแบบนี้ ไม่ได้เข้าใจและไม่คิดจะไปทำความเข้าใจโลกภายนอกเลยว่าเป็นอย่างไรบ้าง...ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ตัวตนฐานะของจั๋วซือหรานกับปันอวิ๋นและคนอีกหลายคนก็ไม่ค่อยจะรู้ ว่าพวกเขาเป็นคนแบบไหน สังหารคนที่ประตูเมืองไปแล้วเท่าไร...และผู้ดูแลบ่อนพนันที่ถูกตั๋วทองทำให้เคลิ้มก่อนหน้าคนนั้น ตอนนี้ก็คลายลงมาจากสภาพนั้นแล้วเสียใจ ตอนนี้คือความสำนึกเสียใจขีดสุดเขารีบตรงไปข้างโต๊ะของจั๋วซือหราน เอ่ยอย่างอ้อนวอนว่า "แม่นาง เอ่อไม่ใช่สิ ใต้เท้า...ใต้เท้า! กิจการของเราเล็กๆ มีทุนน้อย ไม่ทราบว่าท่าน..."เขาชูตั๋วทองขึ้นมาสองใบ

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status