ซินอี๋เลื่อนชาถ้วยเล็กยื่นส่งไปเบื้องหน้าฉงเสว่ปิง นางยิ้มเยาะพลางเอ่ยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร "เก็บชาของเจ้าไว้เถิด ไหนเล่าสาส์นจากท่านพี่เหยียนเฟิง"
ซินอี๋ส่งยิ้มละไม ทว่าภายใต้รอยยิ้มกลับเคลือบไปด้วยพิษสงร้ายกาจ "องค์หญิงท่านพระทัยร้อนนัก ไยจึงไม่ชมความงามของหิ่งห้อยพร้อมแสงจันทร์กระจ่างตาให้สบายอารมณ์ก่อนหรือเพคะ"
"ซินอี๋ เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่ เดิมทีในราชวังพื้นที่ชมหิ่งห้อยมิใช่ริมสะพานสัตตบงกชหรือ ไยจำต้องเลือกพื้นที่เงียบสงัดร้างไร้ผู้คน อย่าให้ข้าต้องหมดความอดทนกับเจ้า"
ซินอี๋ยังคงแย้มยิ้ม กระนั้นในใจของนางกลับเกิดคำถามขึ้นมาเสียแล้ว
นางเพิ่งมาแคว้นไต้เจียครั้งแรกมิใช่หรือ ไยจึงรู้ว่ามีสถานที่แห่งนั้นด้วย
ฉงเสว่ปิงทนมองสีหน้าเสแสร้งแกล้งทำอีกไม่ไหว จึงตัดสินใจลุกขึ้นทันควัน ซินอี๋ยืนตามอีกฝ่าย "องค์หญิง"
"หากอยากล่อลวงข้าก็ช่วยแนบเนียนกว่านี้หน่อย"
"เปล่านะเพคะ" ซินอี๋ยื่นสาส์นไปเบื้องหน้า
นางเอื้อมรับด้วยท่าทีคลางแคลง ดูจากวัสดุภายนอกนับว่าเป็นสาส์นจากแคว้นสุ่ยเหอจริง ฉงเ
"ปิงเอ๋อร์ ปิงเอ๋อร์" เสียงทุ้มดังมาจากธรณีทางเข้า ฉงเสว่ปิงงัวเงีย"เพคะ" นางลุกขึ้นยืนพร้อมจัดเผ้าผมและเครื่องแต่งกายเล็กน้อยอยู่ ๆ ความทรงจำเมื่อคืนก็แล่นเข้ามา กายของนางแข็งทื่อ มองร่องรอยของการร่วมสวาทก็พลันใบหน้าแดงเรื่อ ทว่าเมื่อเหลียวมองข้างกายไต้ฮ่าวเฉินกลับหายไปที่ใดเสียแล้ว ร่างบอบบางยืดกายยืนขึ้น นางคิดว่าอีกฝ่ายคงมีธุระต้องไปสะสางเป็นแน่ ยามนี้มู่หลินก็อยู่ห้องของตน ฉงเสว่ปิงจึงตัดสินใจสาวเท้าเข้ามาเปิดประตูด้วยตนเอง ทันทีที่พบว่าผู้ใดมาเยือน ฉงเสว่ปิงถึงกับผงะเก็บอาการไม่มิด ตู้เหยียนเฟิงหรี่นัยน์ตามองด้วยความแคลงใจ "ปิงเอ๋อร์ไม่สบายหรือ วันนี้เจ้ามีนัดกับพี่ ไยจึงยังไม่ออกไป" "เอ่อ" ฉงเสว่ปิงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก วันนี้นางคิดว่าคงต้องตะล่อมบอกยกเลิกงานอภิเษกกับเขา แต่ว่ายามนี้ไต้ฮ่าวเฉินไม่อยู่ นางไม่อาจกระโตกกระตากได้ ตู้เหยียนเฟิงมองท่าทีกระอึกกระอักของอีกฝ่าย เขาพลันยกมือขึ้นหมายแตะหน้าผากคนเบื้องหน้า ทว่าฉงเสว่ปิงกลับผงะถอยหลัง ฝ่ามือกว้างจึงเก้อค้างกลางอากาศอยู่เช่นนั้น ฉงเสว่ปิงใจเต้นกระหน่ำ ความหวาดกลัวผุดขึ้นเป็นริ้วเมื่อฉุกนึกถึงสิ่งที่เขากระทำ มือไม
บทสนทนาทุกอย่างสิ้นสุดลงแล้ว บุรุษเบื้องบนแทบอดรนทนไม่ไหวเขาก้มลงซุกไซ้ สูดดมความหอมไปตามผิวเนียนละเอียด ฝ่ามือหยาบกร้านลูบไล้เข้าไปด้านในอาภรณ์เชื่องช้า จากนั้นจึงค่อย ๆ ปลดออกทีละชิ้น เขาประคองกายคนตัวเล็กขึ้นนั่งประจันหน้า ฉงเสว่ปิงมิได้ขัด ต่างฝ่ายต่างปลดอาภรณ์ให้กันด้วยความเร่งร้อน พลางประกบปากบดจูบอย่างดูดดื่ม ความปรารถนาและความโหยหาถึงสามภพสามชาติกำลังถูกเติมเต็มอื้อ...กายกำยำและเรือนร่างบอบบางเปลือยเปล่า สองแขนเรียวโอบรอบคอของเขาเอาไว้ ริมฝีปากผละออกจากกันจนเกิดเป็นเส้นใยสีเงินยืดเยิ้ม ไต้ฮ่าวเฉินไม่รั้งรอให้ปากของตนว่างมากนัก เขาขบงับประทับรอยสีกุหลาบไล่ลงไปตามลำคอขาวผ่อง ลากลิ้นเลียละเลียดชิมจนถึงปทุมเนื้อนวล ปากร้อนครอบงับพลางระรัวลิ้นหยอกล้อตุ่มไต่สีชมพูระเรื่อ มืออีกด้านเคล้นคลึงยอดถันฝั่งที่ยังว่างด้วยความมัวเมาใบหน้างามแหงนเงยไปเบื้องหลัง เสียงใสครวญครางด้วยความเสียวกระสัน แม้ปากนางมักต่อว่าเขาไม่ได้เรื่อง แท้จริงแล้วลีลาของชินอ๋องดุเดือดแทบขาดใจต่างหาก สัมผัสที่นับว่าห่างหายไปนานหวนกลับมายังที่เดิม ความสยิวแล่นไปทั่วแผ่นหลังและท้องน้อยไต้ฮ่าวเฉินโถมกายดันร่างเล็กให
ร่างบอบบางพยายามยันกายลุกทว่าข้อมือทั้งสองด้านถูกฝ่ามือกว้างกดติดไว้กับฟูกนอนจนไม่อาจขยับ นางเหลือบมองใบหน้าแดงก่ำของบุรุษด้านบนก็พลอยรู้สึกใจหวิว จังหวะหายใจของเขาบ่งบอกว่าไม่สามารถควบคุมไฟปรารถนาที่ลุกโชติช่วงไว้ได้เสียแล้ว "เจ้าบอกจะลงโทษข้าไม่ใช่หรือ ไยเปลี่ยนใจง่ายนัก" เสียงทุ้มออดอ้อนระคนแหบห้าว "แต่ว่ายามนี้ท่านและข้ายัง..." ความร้อนผ่าวลุกลามจากสองแก้มไปยังใบหู ร่างสูงโน้มกระซิบ "เราเคยตั้งหลายครั้งแล้ว ยังอายอีกหรือ ถึงยามนี้ยังไม่เป็นต่อไปก็ต้องเป็น" เขาลดสายตามองแต้มพรหมจรรย์บริเวณซอกคอ จากนั้นจึงพรมจูบลงไปหนึ่งครา ฉงเสว่ปิงขนลุกซู่ พลางเบี่ยงหลบริมฝีปากร้อนชื้นที่ประทับลงมา "อื้อ...ท่านทำอันใดเพคะ แต่นั่นมันเรื่องของชาติก่อนผู้ใดจะนับ" "เจ้าเสียดายแต้มสีชาดนี่น่ะหรือ" ริมฝีปากบางเม้มสนิท อันที่จริงนางก็หาใช่พวกคร่ำครวญในพรหมจรรย์แต่อย่างใด เพราะถึงอย่างไรแม้จะกลับมาบริสุทธิ์ดังเดิม นางก็ยังคงจำสัมผัสของเขาได้มิเคยลืม"ก็...ข้าไม่รู้" ฉงเสว่ปิงแสร้งเฉไฉด้วยความขัดเขิน นางไม่อาจหนีใจตัวเอง กับความจริงที่ว่าตนกำลังร่ำร้องและปรารถนาในกายบุรุษเบื้องหน้าอย่างแรงกล้าเช่นกัน
ฉงเสว่ปิงเบิกตากว้าง "ท่านอย่าบอกว่าท่านเองก็...""ข้าปลิดชีพตนเองตามเจ้า"ดั่งถูกคมมีดกรีดลึกลงกลางหัวใจ ความคับแค้นที่อัดอั้นถูกสะบั้นไม่เหลือชิ้นดี คำพูดของเขาประดุจรสขมของสุราพิษในครานั้น น้ำตาของนางไหลย้อมอาบลงข้างแก้มนวลไม่ทันรู้ตัว เสียงใสสั่นพร่า "ทะ...ท่าน ไยจึงโง่งมนัก เป็นถึงชินอ๋องทว่ากล้าปลิดชีพตนเองตามสตรีอย่างนั้นหรือ"ไต้ฮ่าวเฉินปาดน้ำตาที่ยังหลั่งรินไม่หยุดหย่อนด้วยความอ่อนโยน "ไม่ต้องร้อง เป็นข้าที่โง่จริง ๆ โง่ที่ทำกับเจ้าอย่างป่าเถื่อนดุร้าย ข้าทรมานสมความปรารถนาเจ้าถึงสามภพชาติแล้ว เจ้าพอใจหรือไม่ หากยังเจ้าอยากบั่นคอข้า ทะลวงหัวใจข้า เจ้าก็ทำเถิด"เขาจับมือเล็กแนบยังหน้าอกตน ฉงเสว่ปิงได้ยินเสียงหัวใจอีกฝ่ายเต้นกระหน่ำ นางทำได้เพียงจ้องมองเขาตาไม่กะพริบ ฉงเสว่ปิงไม่รู้ว่าตนควรเชื่อคำพูดหวานหูของเขาอีกหรือไม่ นั่นอาจเป็นเพียงกับดักเพื่อล่อหลอกให้นางตายใจอีกชาติหนึ่ง"ท่านกำลังวางหลุมพรางข้าหรือ คงมิใช่ว่าแอบล้วงความลับของข้ายามเมาใช่หรือไม่" ฉงเสว่ปิงหวาดระแวงไต้ฮ่าวเฉินยิ้มขัน "คงต้องขอบคุณความขี้เมาของเจ้า ทำให้ข้าได้สติขึ้นมา""นั่นปะไร" ฉงเสว่ปิงหน้างอ นางพยาย
บรรยากาศยามราตรีแสนเย็นเยียบ ฉงเสว่ปิงยังคงนั่งเหม่อลอยไร้ทิศทาง ไต้ฮ่าวเฉินกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้มั่น ภายในห้องบรรทมยามนี้สงบเงียบดั่งกระแสน้ำไร้ระลอกคลื่น เสียงทุ้มเอ่ยเบาหวิว "เสว่ปิงเช่นนั้นเจ้าพักผ่อนเถิด ไว้ข้าจะเร่งสะสางเรื่องนี้ให้เจ้าโดยเร็ว" ฉงเสว่ปิงผินหน้ามองเขา "ข้านอนไม่หลับ ข้ายังมีบางสิ่งที่คาใจ" "ได้ เจ้าคาใจเรื่องใดก็เอ่ยมาเถิด" ใบหน้าหล่อเหลาส่งยิ้มละไม ฉงเสว่ปิงหลุบตาลง มองฝ่ามือกว้างที่กุมมือของตนไว้อย่างเหนียวแน่น เดิมทีนางวิ่งหนีมืออบอุ่นคู่นี้ราวกับเขาเป็นภูตผีปีศาจ ยามนี้คนที่ตนหมายให้เป็นที่พึ่งพิงกลับตาลปัตรราวสัตว์ร้ายเหี้ยมโหด "ท่านเอ่อ...ชอบข้าหรือ" เสียงสั่นเครือกล่าวอ้อมแอ้ม "หืม..." เพราะอีกฝ่ายหลบตาของเขา ปลายนิ้วหยาบกร้านจึงช้อนปลายค้างขึ้น แม้ใบหน้านั้นเชิดตามการประคอง ทว่าดวงตาของนางยังคงหลุบต่ำ "เสว่ปิง มองหน้าข้า" ฉงเสว่ปิงลอบกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ ดวงตากลมโตสบประสานกับนัยน์ตาคมกริบ ริมฝีปากได้รูปเผยรอยยิ้มจาง ๆ "ข้าไม่ได้ชอบเจ้า" ฉงเสว่ปิงใจเต้นระรัว เมื่อได้ยินคำตอบของเขา นางรีบเบือนหน้าหนีทันควัน เอ่ยละล่ำละลักระคนผิดหวัง "แล้วท่านช่วยเ
ไต้ฮ่าวเฉินและฉงเสว่ปิงยังคงเร้นกายอยู่ในมุมมืดเพราะเมื่อครู่ไม่อาจหนีได้ทันการณ์ ฉงเสว่ปิงเห็นภาพทุกอย่างกระจะตา นางอยากกระโจนออกมาปกป้องบิดายิ่ง ทว่าไต้ฮ่าวเฉินปรามไว้เสียก่อน จึงทำได้เพียงมองภาพพี่ชายสุดรักของตน กำลังเอ่ยวาจาส่อเสียด ซ้ำยังทำร้ายผู้มีพระคุณอย่างน่าเวทนา ฉงเสว่ปิงพยายามกอดความอดสูเอาไว้ ร่างกายชาวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ากระทั่งอีกฝ่ายจากไปแล้ว ทั้งสองจึงรุดมาดูอาการฉงเจิ่งหมิน "ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าออกไปเถิด หากถูกจับได้ขึ้นมา เกรงว่าคงไม่มีโอกาสคราที่สอง"ไต้ฮ่าวเฉินพยักหน้า ฉงเสว่ปิงกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามคนร่างสูงที่ประคองตน นางเหลียวมองใบหน้าบิดาด้วยแววตาเศร้าหมอง "ท่านพ่อ รักษาตัวด้วย"ฉงเจิ่งหมินยิ้มตอบ กระทั่งทั้งสองลับตาไปแล้ว เขาพลันทอดถอนใจอย่างนึกปลงตก"ปิงเอ๋อร์ เหยียนเฟิง พ่อผิดต่อพวกเจ้าแล้ว"เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะบิดาเช่นเขาละเลยไม่ใส่ใจตู้เหยียนเฟิง จึงทำให้บุตรบุญธรรมผู้นี้เหิมเกริม ความคิดความอ่านอ่อนไหว หลงผิดจนจิตใจมืดบอดชั่วขณะ เดิมทีเขาเป็นเด็กที่หัวอ่อนเชื่อฟังตนโดยตลอด คงเป็นเรื่องฉงเสว่ปิงกระหน่ำซ้ำเพราะเขามิอาจสมหวัง เหตุจากฉงเจิ่งหมินไม่