เสียงเกือกม้าวิ่งกระทบพื้นและเสียงล้อของรถม้าที่กำลังขับเคลื่อนเหยียบดินเหยียบหินเป็นจังหวะโยกคลอน
ทำเอาหลิงเวยเริ่มมีสติขึ้นมาอีกคราพร้อมอาการปวดหัวและเจ็บหน่วงรุนแรงช่วงกลางลำตัว นางเป็นลมหมดสติไปหลายรอบหลังจากที่ตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนให้ห้องพักนั้นแล้วเห็นตนเองอยู่ในสภาพไม่คาดฝัน
“อา...เจ็บ” หลิงเวยถึงกับหลุดอุทานออกมาพร้อมกับน้ำตาที่รินไหลเป็นทางยาวสายใหม่ทับถมคราบน้ำตาหลายสายก่อนหน้านี้ นางร้องไห้มาหลายครั้งแล้วตั้งแต่ตื่นลืมตาขึ้นมา
“ฟื้นแล้วหรือ” จู่ๆ เสียงทุ้มต่ำทรงพลังพลันดังอยู่ข้างๆ กายกันพาเอาหลิงเวยถึงกับสะดุ้งเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มได้สติเด่นชัด
หลิงเวยยิ่งกะพริบตาปริบๆ เมื่อรับรู้ได้แล้วว่านางกำลังนั่งอยู่ภายในรถม้าคันหนึ่งและข้างกายกันก็เป็นบุรุษลึกลับร่างหนาที่นางเจอบนเตียงนอนนั่น
“ท่าน ท่าน ไยถึง...ฮึก...” หญิงสาวเอ่ยคำได้แค่นั้นพลันรู้สึกว่ามีก้อนปริศนาลูกใหญ่ขวางตันอยู่กลางลำคอ
นางมองชายหนุ่มร่างใหญ่ที่นั่งมาด้วยกันภายในรถม้าอย่างไม่เข้าใจอันใด เขากำลังนั่งกอดอกอยู่ข้างๆ นางและมองมาทางนางด้วยอาการโกรธกรุ่น สันกรามคร้ามแกร่งของเขาขบเข้าหากันแน่นจนเป็นสันนูน สายตาเรียวคมของเขาก็เต็มไปด้วยไอสังหาร ใบหน้าของเขาถึงจะหล่อเหลาคมคายแต่รูปร่างใหญ่โตและแววตาขึงเครียดอย่างนั้นทำให้ความหล่อเหลาคล้ายกับเทพเซียนของเขาเสมือนถูกปีศาจกลืนกินไปจนหมดสิ้น
หลิงเวยยิ่งงงงันแต่กระนั้นนางก็แน่ใจว่าไม่เคยรู้จักกับชายผู้นี้และไม่เคยมีความแค้นอันใดต่อกัน ไยเขาถึงต้องทำกับนางอย่างนั้น ทำไมกัน!?
หญิงสาวเริ่มร้องไห้หนักๆ ออกมา น้ำตาของนางไหลเป็นทางยาวไม่หยุดราวกับเขื่อนกั้นทะเลสาบแตกทลาย
“ท่าน...ท่านขืนใจข้า” นางกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเจ็บปวดรวดร้าวที่สุดในชีวิต ทำเอาชายหนุ่มที่นั่งมาด้วยกันต้องคำรามออกมาเสียงดัง
“หยุดเล่นงิ้วเสียที!”
ประโยคอย่างนั้น น้ำเสียงอย่างนั้น ทำเอาหลิงเวยถึงกับสะดุ้งตกใจเฮือกใหญ่ ดวงตาพองโตเพ่งมองเขาผ่านน้ำตาชุ่มฉ่ำคล้ายม่านน้ำตก
อันใด!? ต้องเป็นนางมิใช่หรือไรที่ต้องโกรธจนอยากจะฆ่าเขา
“ท่าน...ท่าน...” หลิงเวยเริ่มละล่ำละลักทั้งน้ำตาหมายเรียกร้องความสูญเสียของตนที่เขาพรากไป แต่ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะว่ากล่าวต่อคำสิ่งใด เสียงเกือกม้ากระทบพื้นพลันเงียบลงรถม้าพลันจอดนิ่ง
บุรุษร่างหนาใบหน้าหล่อเหลาสายตาดุดันเหี้ยมเกรียมก็ลุกออกไปจากรถม้าโดยไม่หันหน้ามามองหลิงเวยแต่อย่างใด
เขาลุกออกจากรถม้าไปด้วยอาการฉุนเฉียวไม่แม้แต่จะเหลียวหลังมองนาง หรือรอรับร่างบางของนางให้ลงจากรถม้าแต่อย่างใด
หญิงสาวพยายามเรียกสติของตนอีกครู่หนึ่งจึงเริ่มขยับกายตามเขาออกมาจากรถม้าหวังจะด่าทอเขาสักหลายๆ คำ
แต่ทว่าความเจ็บแปลบช่วงกลางลำตัวพลันเล่นงาน นางถึงกับต้องนั่งลงเอื้อมฝ่ามือขึ้นกุมหน้าท้องอยู่ครู่หนึ่ง คิ้วเรียวสวยต้องขมวดพันกันมุ่นสายตาคู่สวยพลันผงะเมื่อมองเห็นเบื้องหน้าของนางเป็นจวนของตระกูลหลิง
“คุณหนู โปรดลงมาเถิด” และตามด้วยเสียงของบ่าวชายผู้หนึ่งเอ่ยมาทางหลิงเวย
หลิงเวยลงจากรถม้าด้วยตนเองอย่างยากลำบากเพราะอาการเจ็บร้าวไปหมดตั้งแต่ศีรษะลงมา นางพยายามประคองเรือนร่างของตนเดินตามหลังของบ่าวชายผู้หนึ่งมาตามทางเมื่อบ่าวชายผู้นี้บอกกล่าวให้นางเดินตามเขามายังห้องโถงกลางเรือนพร้อมกับมีบ่าวชายอีกสามคนเดินตามหลังนางเพื่อคุมตัวนาง
นี่มันเรื่องบ้าอันใด ไยนางถึงอับโชคปานนี้ นี่คงเป็นแผนการของบิดาใช่หรือไม่ เขาโกรธที่นางแอบหนีออกจากจวนไปใช่หรือไม่ ไยต้องทำกันถึงขนาดนี้ ที่ผ่านมายังทรมานกันไม่พอหรืออย่างไร ไยต้องใช้วิธีการที่ชั่วช้าสามานย์ปานนี้กัน เขายังเป็นคนอยู่หรือไม่
หลิงเวยพร่ำบ่นอยู่ในใจด้วยความชอกช้ำที่สุดในชีวิตน้ำตาแห่งความเสียใจพลันเริ่มเอ่อคลอหน่วยของดวงตาจนล้นออกมาเป็นทางยาว นางเดินก้มหน้าก้มตาเข้ามายังเรือนรับรองอย่างยอมจำนนต่อโชคชะตาอันอับแสง
ทันใดนั้นเสียงทุ้มต่ำของผู้หนึ่งพลันดัง
“ข้าย่อมรับผิดชอบ ชายชาติทหารกล้าทำย่อมกล้ารับ”
เสียงนั้นเป็นเสียงของบุรุษที่นั่งมาในรถม้าคันเดียวกันกับหลิงเวยนั่นเอง หญิงสาวจำน้ำเสียงนี้ได้จึงเงยหน้าขึ้นมองหลังจากที่ก้มหน้าก้มตาเดินเข้าห้องมาแล้วนั่งลงกับพื้นกลางห้องเพื่อรอรับโชคชะตาอันอับเฉา นางเห็นเป็นเขาจริงๆ บุรุษร่างใหญ่ผู้นั้น
“เช่นนั้นย่อมดี” เสียงของบุรุษสูงวัยอีกเสียงหนึ่งพลันดังตาม เสียงนั้นเป็นเสียงของประมุขแห่งจวนตระกูลหลิงนั่นเอง หลิงเวยจึงผินหน้าไปมองบิดาของตนตาปริบๆ ผ่านม่านน้ำตา
“ข้าจะจัดงานสมรสให้หลังจากนี้อีกสามเดือนตามความเหมาะสม” เสียงเข้มข้นของบุรุษร่างใหญ่คนเดิมกล่าวออกมาอีกครั้ง หลิงเวยก็ผินใบหน้าเบนสายตากลับมามองเขาอีกครา
“กำหนดมงคลสมรสนั้น ข้าต้องการให้เกิดขึ้นภายในสามวัน นางเป็นบุตรีของข้าที่มิใช่สตรีข้างถนน ในเมื่อข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกถึงเพียงนี้ ท่านจักรอให้อับอายแก่วงตระกูลยิ่งกว่าเดิมไปไย” หลิงอี้ถังเสนาบดีกรมคลังเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยินยอมด้วยสีหน้าจริงจังเอาเรื่องทั้งยังวางตัวเป็นผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่าไปทางบุรุษร่างใหญ่ในอาภรณ์สีน้ำตาลเข้ม หลิงเวยจึงพลิกสายตากลับมายังฝั่งบิดา
ฟงชินหยางกัดฟันกรอดตอบกลับเสียงกดต่ำ “ย่อมได้” จบคำก็สะบัดชายผ้าเสียงดังเดินออกจากห้องโถงของเรือนรับรองไป
หลิงเวยหันหน้ามองบุรุษผู้ที่นั่งรถม้ามากับนางอย่างอึ้งๆ และยังคงมองตามเขาอยู่อย่างนั้น
นางมองตามแผ่นหลังกว้างใหญ่งามสง่าของเขาอย่างเงียบงัน นางเห็นเรือนร่างสูงใหญ่ของเขาเดินจากไปโดยที่เขาไม่หันมามองนางอีกเลย
หญิงสาวขมวดคิ้วพันกันแน่นมากยิ่งขึ้น บิดาของนางคงเป็นเจ้าของแผนการจับเสือให้กระต่ายอย่างไม่ต้องสงสัย
หลิงเวยผินใบหน้าหันกลับมามองบิดาของตนอีกคราอย่างมิรู้ได้ว่าจะต้องกล่าวคำอันใดกับบิดาเช่นนี้ที่ไม่สมควรเป็นบิดาของนางเลยสักเสี้ยว
หลิงอี้ถังมองธิดาตัวเล็กของตนด้วยรอยยิ้มละไมประดับใบหน้าหล่อเหลารูปงามที่คมคร้ามตามอายุ บุตรีตัวดีของเขาบังอาจคิดหนีงานแต่งที่เขาหมายจะยกระดับอำนาจตระกูล
ไม่คิดไม่ฝันว่านางจะแอบรักอยู่กับท่านแม่ทัพหนุ่มผู้เกรียงไกรผู้ถือกำลังพลมากมายอย่างฟงชินหยาง ถึงขั้นแอบไปนอนพรอดรักกันในโรงเตี๊ยม ถึงแม้ว่าฟงชินหยางจะมีท่าทางคล้ายกับโกรธขึงประหนึ่งว่าถูกวางยากระนั้น
แต่หากว่าเขาถูกวางยาจริงก็นับว่าบุตรีของเขาช่างฉลาดล้ำยิ่งแล้ว ฮึฮึ!
หลิงอี้ถังคิดอย่างปลื้มปริ่มดีใจยิ่งอยู่ภายในใจหาได้เสียใจอันใดไม่พลางเอ่ยเสียงเรียบไปทางสาวใช้รายรอบ
“เวยเอ๋อร์คงเหนื่อยมากแล้ว พวกเจ้าตามไปดูแลปรนนิบัตินางให้ดีอย่าให้คลาดสายตา” ประมุขตระกูลหลิงเน้นย้ำตรงปลายประโยคด้วยเกรงว่าบุตรีผู้นี้เกิดเปลี่ยนใจหนีตามบุรุษไปประเดี๋ยวเขาจะมิได้อันใดตอบแทนให้สาสมกับค่าน้ำแกงที่เลี้ยงดูมา
“เจ้าค่ะ” เสียงบ่าวรับใช้ตอบรับกันอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะเดินเข้ามากึ่งจับกึ่งประคองหลิงเวยที่ยังคงหมดเรี่ยวแรงแม้แต่จะหายใจคล้ายกับสิ่งไร้ชีวิตให้เดินออกไปจนลับตา
ภายในห้องพักอีกห้องหนึ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับห้องพักห้องแรกที่มีสตรีนางหนึ่งนอนติดเตียงด้วยอาการบาดเจ็บตามเรือนร่าง “นางจำสิ่งใดไม่ได้รึ? ก็ดี! ต่อไปนี้ให้นางเป็นบ่าวไพร่ คอยรับใช้เพื่อทดแทนคุณ” เสียงทุ้มห้าวดังมาจากบุรุษที่มีบาดแผลจนเต็มตัว พันด้วยผ้าสีขาวจนเต็มพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นแผงอกตึงแน่น ลำแขนกำยำ กระทั่งเอวสอบและโคนขาล่ำสัน ทุกสัดส่วนแห่งเรือนกายใหญ่หนานั้น เต็มไปด้วยบาดแผลน่าเกลียดน่ากลัว เขาเอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกับสตรีโง่งมที่กระโดดลงหน้าผาทั้งๆ ที่เขาฆ่าเจ้านั่นจนตายไปแล้ว ทำให้เขาต้องกระโดดหน้าผาตามนางลงไปจนเนื้อตัวได้เลือดอาบร่าง ฮึ่ม!“ใจเย็นนะ จินหมิง” หลิงเวยรีบเอ่ยอย่างขอลุแก่โทษแทนหลี่ลี่เหมย เมื่อนางเห็นริ้วโทสะของน้องสามีทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่เขาได้ฟังข่าวจากนางว่าหลี่ลี่เหมยฟื้นแล้วแต่กลับจำสิ่งใดๆ ไม่ได้เลย นางเพียรพยายามแนะนำว่านางเป็นใคร และบอกนามของทุกคนให้ลี่เหมยฟังแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนที่ช่วยนางชื่อจินหมิง สามีของนางและลูกๆ ของนางชื่ออันใด แต่ลี่เหมยก็ยังเงียบงัน นัยน์ตาสั่นเทา ไร้วี่แววของความร้ายกาจเฉกเช่นวันวาน เห็นได้ชัดว่าลี่เหมยไม่เหม
ดวงตาเรียวสวยร้ายกาจบนใบหน้างามซีดเผือด เริ่มกะพริบตาขึ้นลงเบาๆ เพื่อสู้แสงตะวันที่สาดส่องลอดช่องเล็กแคบของหน้าต่างที่ปิดสนิท ในโรงเตี้ยมทรุดโทรมอันห่างไกลความเจริญ บนทางเชื่อมต่อระหว่างแคว้นเฉินและแคว้นเป่ยฉีบนเตียงนอนไม้เก่าๆ ที่คลุมด้วยผ้าปูเตียงสีหมองปรากฏร่างระหงงดงามของหญิงสาวในอาภรณ์เนื้อหยาบสีหม่นผู้เป็นเจ้าของดวงตาเรียวสวยร้ายกาจนางเริ่มระลึกได้ ถึงภาพเหตุการณ์ในวันที่นางอยู่ใต้ต้นของดอกกุ้ยฮวา แล้วถูกไล่ล่าจากพี่ชายของสหาย ผู้ถูกชักใยโดยเชื้อพระวงศ์ในวันนั้นเป็นวันครบรอบวันตายครบสามปีของบิดามารดา นางจึงถือโอกาสขึ้นไปยังสถานที่เฉพาะของพวกเขา แต่แล้วพลันเกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญ จนนางต้องวิ่งหนีเอาตัวรอดแบบสุดกำลังเยี่ยงคนสิ้นคิด ทันใดนั้นเมื่อยามที่นางถูกดาบพาดบ่าหมายปาดคอ สติอันน้อยนิดของนางที่กำลังจมดิ่งสั่งให้นางหลับตายอมตายอย่างจำนนแต่ทว่าในขณะที่ความสิ้นหวังกำลังถาโถม อำนาจแห่งความกลัวตายกลับมีมากยิ่งกว่า นางยังไม่อยากตาย...ถึงแม้ว่าการมีชีวิตในวังหลวงจะเสี่ยงอันตรายแต่ความตายเป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่งกว่ามากนัก หากนางยอมตายง่ายๆ แล้วบิดามารดาที่สู้อุตส่าห์ให้ชีวิตแก
“ท่านคิดว่าคนที่หาศพตัวปลอมมาแอบอ้างเป็นใครกัน” หญิงสาวหน้าขาเอ่ยถามตามตรงอย่างใคร่รู้“อืม...เรื่องนี้ยังต้องสืบอีกมาก” ชายหนุ่มตอบคำตามตรงไม่มีปิดบัง “ศพตัวปลอมละม้ายคล้ายคลึงกับลี่เหมยมากหากคนของเจ้ามิได้ช่วยนางเอาไว้ได้ทันท่วงทีข้ายังคิดว่าศพนั้นเป็นลี่เหมยตัวจริง กระทั่งฝ่าบาทยังดูไม่ออก” “พวกเขาเป็นถึงคู่หมั้นกันอยู่วังเดียวกันประหนึ่งแต่งงานกันแล้วกระนั้น ทำไมถึงดูไม่ออก” เฉินลี่หลินขมวดคิ้วแปลกใจ“ถึงแม้ลี่เหมยจะมีตำแหน่งแลอำนาจมากล้น ทว่าพี่ชายของข้ากับลี่เหมยยังมิได้มีสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อกัน เนื่องด้วยมีการไว้ทุกข์ของบิดามารดาขวางกั้น และอีกอย่างลี่เหมยตัวปลอมเหมือนลี่เหมยตัวจริงอยู่หลายส่วนคล้ายกับเป็นคนๆ เดียวกัน ทั้งยังมีบาดแผลฉกรรจ์มากมายจนเต็มใบหน้าและลำตัว การนอนหลับตาแน่นิ่งไร้ท่วงท่ากิริยาอันใดที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ในยามมีชีวิต นั่นยิ่งทำให้ไม่เห็นถึงความแตกต่าง” ชายหนุ่มอธิบายพลางก้มหน้าลงต่ำที่ซอกคอนางอย่างเนียนๆ นี่เขากำลังคุยกันถึงเรื่องเคร่งเครียดใช่หรือไม่?"อา...คนที่ทำเรื่องนี้ช่างน่ากลัวยิ่ง” เฉินลี่หลินถึงกับร้องครางเมื่อถูกริมฝีปากของใครบางคนดูดดันตรงซอกค
ภายในห้องบรรทมอันรโหฐานโอ่อ่ากว้างขวางมีเครื่องเรือนสูงค่ามากมายของเฉินลี่หลินหญิงสาวนั่งอ่านจดหมายที่ถูกส่งมาแบบลับๆ ของพี่ใหญ่ว่าด้วยเรื่องของหลี่ลี่เหมยที่ปลอดภัยดีหากแต่ความจำกลับลบเลือนไปจนสิ้นเฉินลี่หลินยิ้มบางเบาอย่างพึงพอใจกับข่าวที่ได้รับ ถึงแม้ว่าท่านหญิงผู้สูงศักดิ์จะมีสภาพไม่เหมือนเดิม แต่การเริ่มต้นใหม่ของหลี่ลี่เหมยที่เป็นเช่นนี้ย่อมนับว่าดีมากนักลืมเรื่องเก่าแสนเศร้าจำเรื่องใหม่แสนสุข...ในขณะที่หญิงสาวกำลังยกยิ้มพริ้มเพรายามเผากระดาษจดหมายกับเปลวเทียนร้อนแรงจนสิ้นแผ่นสีหมึกเหลือเพียงเศษเถ้าธุลี เสียงทุ้มนุ่มสุขุมพลันดัง “จะบอกความจริงกับข้าได้หรือไม่?”“...!?”ผู้กำลังเผากระดาษจดหมายอย่างอารมณ์ดีถึงกับสะดุ้งตกใจฉีเล่อพาวรกายงามสง่ามาลงนั่งเคียงข้างชายาหนึ่งเดียวของตนก่อนจับแก้มนวลบีบเบาๆ อย่างที่ชอบทำ“โอย...” เฉินลี่หลินถึงกับร้องครวญเจ้าของเรียวมือที่บีบแก้มนางจึงเปลี่ยนมาลูบแก้มนวลของนางอย่างรักใคร่พลางยกยิ้มตรงมุมปากสีแดงมากเสน่ห์ชวนหลงใหลพาใจของอิสตรีให้ถูกล่อลวง “บอกมาได้แล้ว”หญิงสาวย่นจมูกเล็กน้อยแล้วหลอกล่อเขาเพื่อหยั่งเชิงเรียกความเชื่อมั่นให้ศีรษะบนบ่า
ฉีเล่อเอ่ยอธิบาย "ทูลฝ่าบาท เรื่องการตายของลี่เหมยล้วนแล้วแต่เป็นแผนซ้อนแผนพ่ะย่ะค่ะ การที่องค์ชายสามใช้ท่านหญิงเป็นเครื่องมือแทนที่จะใช้แผนการอื่นกับพระองค์ ทั้งยังกระทำการอย่างโจ่งแจ้งที่เสี่ยงมาก ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มาจากการโยงใยของพระสนมไป๋"ฉีหย่งเหอถึงกับเลิกคิ้วแล้วถอนหายใจอย่างนึกเสียดายไม่สร่างซา ไป๋ฮวาเป็นสตรีงดงามมาก เนื้อนวลของนางช่างเย้ายวน ลีลาของนางช่างเหลือร้าย นางเป็นสนมที่เขาโปรดปรานเป็นอย่างมากฉีเล่อหรี่ตามองพี่ชายของตนตรงหน้าอย่างรู้ใจรู้ไส้รู้พุงแล้วเอ่ยต่อ "สนมไป๋กับองค์ชายสามแอบรักกันแอบมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง นางจึงร่วมมือกันวางแผนกับองค์ชายสาม เมื่อตำแหน่งฮองเฮาว่างลงสตรีที่เหมาะสมย่อมต้องเป็นคนจากตระกูลไป๋ และเมื่อพระสนมไป๋ได้เป็นฮองเฮา เมื่อนั้นฝ่าบาทย่อมถูกสั่นคลอน หากล้มฝ่าบาทลงได้ องค์ชายสามย่อมได้บัลลังก์มังกรเคียงคู่กับนาง แต่ในความเป็นจริงแล้ว องค์ชายสามยังมีสตรีอีกหนึ่งนางที่ทำสัญญาใจเคียงข้างยามเมื่อถึงฝั่งฝัน หาใช่พระสนมไป๋ไม่ และสตรีนางนั้นก็ตลบหลังพระสนมไป๋อีกทีหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ" ฮ่องเต้พยักพระพักตร์เป็นอันเข้าใจประโยคยาวเหยียดของฉีเล่อที่หมายเต
เวลาผ่านไปไม่นาน ความยิ่งใหญ่แห่งพิธีเถลิงราชสมบัติของฉีหย่งเหอจึงผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น คงเหลือเอาไว้เพียงพิธีพระราชทานพระราชอิสริยยศฮองเฮาที่ยังคงถูกทิ้งเอาไว้ให้ร้างหายเงียบงันภายในสุสานหลวงแห่งราชวงศ์ ปรากฏโลงไม้สลักลวดลายทองคำเลอค่า ที่ภายในโลงมีร่างไร้ลมหายใจของสตรีงดงามนางหนึ่ง ที่ดวงตาร้ายกาจของนางถูกปิดผนึกเอาไว้ด้วยเปลือกตาอย่างแนบแน่น ไร้วี่แววว่าจะลืมตาตื่นขึ้นมาอีกต่อไป นางมีริ้วรอยของการถูกทำร้ายเป็นแผลฉกรรจ์ตามร่างกายหลายแห่ง ใบหน้าสวยงามซีดขาว ริมฝีปากที่มักเป็นสีแดงตลอดเวลาบัดนี้กลับซีดเซียวไร้สีสัน ลำคอผ่องผาดมีรอยปาดลากยาวจากคมดาบและลำตัวระหงมีบาดแผลจากการถูกทำร้ายจนฟกช้ำ ความงามของนางถูกลบเลือนไปจนสิ้นนางยังคงอยู่ในอาภรณ์สีเขียวอ่อนปักลายดอกมู่ตานสีชมพูจัดจ้านปิดทับด้วยเสื้อคลุมสีแดงขลิบชายผ้าโดบรอบเป็นสีขาวพองฟู ม้วนผมปักปิ่นทองคำแท้สลักลายฉลุฝังมุกเม็ดงามนี่คือชุดที่นางสั่งตัดเอาไว้นานแล้วเพื่อสวมใส่ในวันครบรอบการตายของบิดามารดา มิคาดว่านางจะสิ้นชีพลงในวันเดียวกันนางนอนตายอย่างเดียวดายบนหุบเขาที่อยู่ไม่ไกลจากต้นดอกกุ้ยฮวาอันเป็นสถานที่ระลึกถึงบิดามารดาของนา