“ทีม Local ไปกันเถอะ ไม่อยากคุยกับ...หมา มันเห่าแล้วหนวกหู”
นรินทร์พูดพร้อมหันไปเน้นย้ำคำหลังอย่างหนักแน่นและมองตรงไปยังภากรณ์อย่างตั้งใจ คนในทีมหัวเราะคิกคักชอบใจกับความดื้อร้ายไม่ยอมใครของนรินทร์ ก่อนเทวินจะถอนหายใจแล้วเงยหน้าพูดกับภากรณ์ที่ขมวดคิ้วอย่างขุ่นเคืองกับคำพูดของนรินทร์
“เฮ้อ...นี่สินะตัวอย่างสุภาษิตไทยที่ว่า...หมาหวงก้าง”
ภากรณ์ได้ยินดังนั้นจึงหันไปมองขวางเทวินที่ยืนยิ้มตาปริบๆ หน้าระรื่นใส่เขา ภากรณ์แค่นหัวเราะออกมาอย่างเยาะเย้ยพร้อมกับกอดอกเหมือนผู้ชนะ
“อย่าได้ใจไปเลย ยังไงนรินทร์ก็ไม่มีทางเลิกรักฉันได้หรอก ไม่งั้นคงไม่อยู่กับฉันมาถึงเจ็ดปี ป่านนี้คงนึกเสียใจอยู่ข้างใน แค่ไม่แสดงออกก็เท่านั้น”
“ครับ ผมจะรักษาแผลใจนั้นอย่างดีเลย ขอบคุณ...คุณภากรณ์ที่ช่วยเปิดทางให้”
เทวินพูดขึ้นทั้งรอยยิ้มไม่มีทีท่าว่าจะสลดใจกับคำพูดของภากรณ์เลยแม้แต่น้อย การที่ผู้หญิงกำลังอ่อนแอแล้วมีใครสักคนเข้าไปดูแลอย่างจริงใจย่อมโอนเอนไปทางคนผู้นั้น ภากรณ์เข้าใจความหมายคำพูดของเทวินเป็นอย่างดี สีหน้าที่ยิ้มเยาะเทวินในตอนแรกกลับบึ้งตึงในทันทีพร้อมกับจ้องมองตามหลังเทวินที่วิ่งตามนรินทร์ไป
“ฉันไม่มีทางให้มันเป็นอย่างนั้นแน่ ไอ้เทวิน”
ห้องประชุม
“ฉันไม่เห็นด้วยค่ะบก.! งานเลี้ยงของบริษัททำไมทีมฉันถึงไปไม่ได้แล้วต้องไปทำงานแทน!”
“เอาน่านรินทร์ นิตรสารของทีมเธอขายดีมากนะ งานมันเลยต้องต่อเนื่องเรื่อยๆลูกค้าจะได้ไม่หาย”
“แต่ฉันทำ Local ของประเทศอื่นๆที่เรายังไม่รู้จักนะคะ ทำไมอยู่ๆ ถึงให้ทำ Local ภายในประเทศทั้งๆที่เราก็รู้จักประเทศเราดีอยู่แล้ว”
“ก็นี่ไง หมู่บ้านนี้ไงที่ยังไม่มีข้อมูลที่ไหน เราจึงยิ่งต้องนำเสนอไม่ใช่หรือ สมัยนี้น่ะเขานิยม Local Trend ภายในประเทศจะตาย ยิ่งที่ไหนยังไม่มีใครเคยไปมาก่อนก็ยิ่งน่าสนใจ ยิ่งเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ก็ยิ่งดีไปกันใหญ่ เรามีแต่ได้กับได้”
“ถ้าบก. ยังไม่ฟัง ฉันคงจะต้องยุบทีมแล้วไปรวมกับทีมแฟชั่นที่ฉันเคยตั้งขึ้นมาแทน ไม่ต้องมีทีม Local Trend ดีไหมนะ? ล้มเลิกไปเลย!”
“ไอหย๋า พูดอะไรอย่างนั้น นิตยสาร Local Trend ตอนนี้ชูสำนักพิมพ์เราเลยนะ ยิ่งเธอเป็นคนเขียนบทความยอดขายยิ่งดีไปกันใหญ่ อย่าคิดโง่ๆ ปิดกั้นโอกาสตัวเองแบบนั้นสินรินทร์”
บรรณาธิการของสำนักพิมพ์เริ่มทำหน้าเครียด เหงื่อตกท่วมใบหน้าเต็มไปหมด เมื่อได้ยินว่านรินทร์จะยุบทีมเพราะนรินทร์ถือว่าเป็นคนที่เขียนบทความสร้างรายได้ให้สำนักพิมพ์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ และไหนจะลูกชายตัวดีของตนเป็นคนมาขอร้องอ้อนวอนบรรยายสรรพคุณหมู่บ้านนี้ให้ส่งทีมนรินทร์ไปเพราะไม่มีใครทำได้ดีเท่าเธอ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เหมือนกับเล่นสงครามประสาทเพราะพึ่งหย่ากันไปแล้วเมื่อวานทำเอาเขาหนักใจไม่น้อย
ภากรณ์หัวเราะเยาะนรินทร์ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาถามหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาอย่างหาเรื่อง
“หรือว่าเธอกลัวความลำบากกันแน่นะ...ไม่งั้นคงไม่มาจับฉันหรอกใช่ไหม”
“สำคัญตัวเกินไปมาก แค่เดินตกท่อหัวฟาดหรอกย่ะถึงไปคว้านายมาน่ะ...คนอย่างฉันทำ Local Trend ในสถานที่ที่ลำบากมาเป็นร้อย ๆเล่ม จะมากลัวความลำบากอะไรตอนนี้ใช้สมองอันน้อยนิดคิดหน่อย”
“แต่ที่นั่นมันทุรกันดารมากเลยนะ ไม่มีแม้แต่ไฟฟ้าจะใช้...”
“ฉันจะทำ!”
“หัวหน้า!!”
นรินทร์พูดตอบรับอย่างลืมตัวกับการยั่วยุของภากรณ์ เพราะเขาอยู่กับเธอมานานจึงรู้นิสัยของเธอดี มันจึงง่ายที่เขาจะหลอกล่อให้เธอตอบรับ คนในทีมถึงกับร้องห้ามแทบไม่ทันพร้อมกับกุมขมับไปตามๆ กัน นรินทร์ที่เพิ่งได้สติจากเสียงเรียกของคนในทีมก็ถึงกับทำหน้าเจื่อนพร้อมกับเม้มปากแน่นอย่างรู้สึกผิด
“หึ...”
“หัวหน้าไม่น่าไปหลงกลเลย โธ่...” เทวินเอ่ยด้วยใบหน้าเสียดาย
“เอาเป็นว่าตกลงตามนี้ เลิกประชุมได้”
บรรณาธิการของสำนักพิมพ์รีบพูดขึ้นอย่างกระตือรือร้นพร้อมกับหัวเราะร่วนอย่างพอใจ แล้วหันไปยกนิ้วโป้งให้ลูกชายของตนเป็นเชิงบอกว่าเขาทำได้ดีมาก ภากรณ์ยักคิ้วให้ผู้เป็นพ่อพร้อมกับยกยิ้ม นรินทร์มองเหตุการณ์ทั้งหมดตาขวางก่อนจะรีบเก็บสมุดบันทึกในที่ประชุม แล้วเดินกระฟัดกระเฟียดออกไป ปล่อยให้สองพ่อลูกดีใจกันอยู่อย่างนั้น
“ผมว่า ผมเปลี่ยนใจจะไปกับทีม Local นะพ่อ”
“อ้าว แล้วงานเลี้ยงบริษัทที่ญี่ปุ่น?”
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องห่วง”
“แล้วทำไมอยู่ๆ นึกอยากจะไปล่ะนั่น”
“ผมคิดว่านรินทร์คงทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่มีผม”
ภากรณ์พูดกับผู้เป็นพ่อก่อนจะยิ้มกริ่มออกมา พลางนึกหลงตัวเองว่านรินทร์จะอยู่ไม่ได้ถ้าขาดเขาไป เพราะฉะนั้นเขาจึงคิดจะใจดีกับเธอเพื่อมิตรภาพที่ดีในอนาคตเพียงเท่านั้น ถึงแม้เขาจะคิดอย่างนั้นแต่ความรู้สึกของเขากลับบอกว่า กลัวเธอจะไปอยู่กับชายอื่นสองต่อสองในที่แบบนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รักเธอแล้วแต่ก็ไม่ได้อยากให้เธอเลิกรักเขาเสียหน่อย
หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นจิตใจของนรินทร์ก็ไม่เคยสงบยังคงนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นบางครั้งก็เหม่อลอยอยู่นานไม่ได้สติ เธอแทบไม่มีสมาธิในการทำงาน แม้ว่าสภาพร่างกายของนรินทร์จะฟื้นตัวจนเกือบจะหายดี แต่สภาพจิตใจของนรินทร์ไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อยยังคงเซื่องซึมหวาดผวาทุกครั้งที่ได้ยินเสียงดังตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาเธอพยายามทุกวิถีทางที่จะหาเขาให้เจอแม้กระทั่งเดินทางไปยังหมู่บ้านบูรบุรีทุกๆสุดสัปดาห์แต่ทว่าทางที่เธอเคยไปกลับไม่มีอยู่ ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่สามารถไปถึงที่นั่นได้เธอพยายามติดต่อพชรและแสงศรทั้งข้อความทั้งโทรศัพท์แต่สิ่งที่ได้ยินคือไม่มีเลขหมายที่เธอต้องการติดต่อ นรินทร์พยายามหาข้อมูลทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเชื่อมโยงกับพชรแต่ก็ไม่คืบหน้าเลยเหมือนเธอกำลังวนอยู่ในอ่าง ตั้งแต่วันนั้นนรินทร์ไม่เคยได้พบพชรหรือแสงศรอีกเลยราวกับว่าพวกเขาไม่เคยเดินเข้ามาในชีวิตเธอ แต่รอยแผลบนตัวเธอยังคงย้ำเตือนว่าเรื่องราววันนั้นมันเกิดขึ้นจริงๆเขามีตัวตนจริงๆ ‘ฮือ...ทำยังไงฉันถึงจะติดต่อคุณได้คะพชร ฉันคิดถึงคุ
“ข้ามิได้มาเพื่อเข่นฆ่าผู้ใด ท่านจงวางใจในข้า” พญานกเอ่ย ก่อนจะกระพือปีกสีน้ำเงินนั้นพัดเข้าหาพญานาคทั้งสองมีเพียงมันตราที่กระเด็นกลิ้งออกไปตามแรงพัดนั้น มิอาจต้านแรงพญาครุฑาได้ พญาเพชรแก้วเหลียวมองพญานกนั้นก่อน พญาทศยันต์จ้องมองพญาเพชรแก้วก่อนจะเอ่ยขึ้น“ข้าจักจัดการนางเอง” ว่าแล้วก็กระพือปีกบินขึ้นสง โฉบเฉี่ยวคว้าร่างของนาคีสีเขียวตองอ่อนนั้นขึ้นสู่น่านฟ้า มุ่งหน้าไปยังอีกฝากฝั่งของมหานทีพระครูบามันที่เห็นว่าเรื่องราวสงบลงแล้ว ท่านจึงเดินเข้ามาหาพญาเพชรแก้วที่กลับร่างกายหยาบเป็นพชรด้วยท่าทีสงบนิ่ง มองดูจ้าวจอมผู้เป็นใหญ่ช้อนกอดร่างของนางอันเป็นที่รักร่ำไห้ปานจะขาดใจอย่างเวทนาสงสาร“นางยังมิสิ้นใจหรอกท่าน…จิตของนางยังคงช่วยค้ำยันชีวิตและร่างกายนี้เอาไว้อยู่” พระครูบามันเอ่ยว่าแล้วร่างโปร่งใสของนรินธราก็ปรากฏอยู่ต่อหน้าเขา ร่ำไห้นั่งลงเคียงข้างพชร พลางเอื้อมมือไปจับมือหนาของเขาที่กำลังพยายามช่วยชีวิตของนรินทร์ พลังเหนือธรรมชาติของทั้งสองดวงจิตผสมผสานกันเพื่อช่วยหญิงสาวตรงหน้า&l
“ข้าคอยตักเตือนเจ้าแล้ว…คีภัทรา!! แต่เจ้ากลับไม่มีทีท่าจักสำนึก!! จงกลับลงไปจมสู่ใต้ธาราชั่วนิรันดร์เสีย” ดวงตาสีน้ำผึ้งจ้องมองคีภัทราอย่างเกรี้ดกราด โกรธแค้นเคืองใจนางตรงหน้าที่เคยรักเหมือนดั่งพี่น้อง ค่อยวางร่างของนรินทร์ลงกับพื้นอย่างเบามือทั้งน้ำตา ลุกขึ้นมาหุนหันย่างก้าวเข้าหาพญานาคีห้าเศียรตรงด้วยโทสะ ดวงตาฉายแววอาฆาตต้องการจักปลิดชีพนางเสีย“หยุดก่อนท่าน…จงระงับโทสะแล้วไตร่ตรองดูเสียเถิดท่านพญานาคราชผู้ยิ่งใหญ่ หากท่านพลาดพลั้งไปสิ่งที่ท่านทำมามันก็สูญเปล่า…อย่าได้ต่อเวรต่อกรรมกันเลย ให้มันเป็นหน้าที่ของเวรกรรมที่นางจะต้องได้รับผลนั้นเองเสียเถิด”เสียงนุ่มเย็นดังขึ้นอยู่กึ่งกลางระหว่างทั้งสอง ก่อนจะปรากฏร่างของพระครูบามันเดินเข้ามาขวางทางทั้งคู่ด้วยท่าทีที่นิ่งสงบ พชรยังคงไม่คลายโทสะลงจ้องมองพระครูและคีภัทราสลับกันไปมา“มันมิใช่กิจของท่าน จงอย่าได้แส่!” คีภัทราเอ่ยขึ้นอย่างไม่เคารพ เวลานี้นางเองก็อยากจะทวงขอความรักจากชายตรงหน้าเช่นกัน หากมิได้ความรักก็ขอต่อเวรต่อกรรมจองจำพบเจอกันมันไปทุกภพทุกช
รถตู้หยุดอยู่ที่ขอบหน้าผาหมิ่นเหม่เหมือนจะตกลงไปอยู่รอมร่อ แต่เพราะลำกายของงูใหญ่นั้นพันเกี่ยวรถตู้เอาไว้ ชูคอหันหน้ามาทางรถที่พชรและนรินทร์นั่งอยู่ราวกับกำลังต่อรอง ท่ามกลางเสียงกรีดร้องด้วยความกลัวของคนในรถดังออกมาจนได้ยินชัดคนในรถต่างพากันหาที่ยึดเหนี่ยวไว้อีกฝั่งก็พญานาคอีกฝั่งก็หน้าผาทุกคนต่างเริ่มร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวมีเพียงนิลนนท์ที่พอจะมีสติแต่เขาเองก็ปฎิเสธไม่ได้ว่ากลัวไม่ต่างกันสายตาของนิลนนท์มองไปรอบรถตู้อย่างน้อยน่าจะมีอะไรพอช่วยได้บ้างแต่ทว่ามีเพียงเข็มขัดนิรภัยเท่านั้นอย่างน้อยหากตกลงไปก็ยังพอมีโอกาสรอด“ทุกคนรัดเข็มขัด! ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นอย่าถอดออกเด็ดขาด” นิลนนท์พยายามทำเสียงแข็งทั้งที่ในใจหล่นวูบ“ฮืออ พี่นิลมินกลัวนี่มันฝันใช่ไหม” มินตราร้องไห้ด้วยความกลัว“กูอยู่นี่ไม่ต้องกลัว” เทวินปลอบมินตราก่อนจะรีบรัดเข็มขัดของตัวเองและหันไปสำรวจของมินตรา“นายท่านครับ…” แสงศรหันไปเรียกผู้เป็นเจ้านายด้วยสีหน้าจริงจัง พชรพยักหน้าก่อนที่แสงศรจะหักรถกลับไปยังที่เกิดเหตุ
ในคราวแรกความสัมพันธ์ของเธอและเขานั้นพึ่งจะได้ตกลงปลงใจกันได้เพียงวันเดียวก็เกิดเรื่อง เธอรับรู้ความจริงในตัวตนของเขาและปฏิเสธเขาด้วยความกลัวและเกรงขามในบทบาทที่เขาเป็น แต่คราวนี้เธอรับรู้ถึงตัวของเขาทั้งหมดและยอมรับมัน ยอมรับใจตัวเองที่หลงรักเขาไปแล้วตั้งแต่แรกเจอทั้งที่เธอไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนอีกทั้งเรื่องราวความสัมพันนธ์ของเธอและเขามันก็เลยเถิดมาถึงขนาดนี้แล้ว เธอก็อยากจะลองดูสักตั้งเหมือนกัน อยากมองเขาในฐานะผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ใช่สิ่งศักดิ์หรือสิ่งลี้ลับอะไรทำนองนั้นแม้ว่าเธอไม่รู้เลยว่า…อะไรจะเกิดขึ้นกับอนาคตความรักของเธอ…“เลิกหวานกันสักแป๊บได้ไหมคะ มินอิจฉาไปหมดแล้วเนี่ย” มินตราเอ่ย ขณะที่ทุกคนนั่งทานอาหารกันพร้อมหน้ารวมถึงภากรณ์และพนิตาที่ลอบมองพชรและนรินทร์เป็นระยะด้วยสีหน้าไม่พอใจเท่าไหร่นักที่เห็นทั้งสองคนตักอาหารให้กันไปมองตากันหวานเชื่อมโดยไม่สนใจคนรอบข้างราวกับว่าโลกทั้งใบมีแค่พวกเขา“ไม่กงไม่กินมันละ เลี่ยน!” พนิตาวางช้อนส้อมลงอย่างใส่อา
ภากรณ์ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเมื่อยล้าเขามองไปรอบๆห้องก็พบว่านี่คือห้องของเขาไม่ใช่ห้องของนรินทร์และคนที่นอนอยู่ข้างๆคือพนิตา“นิตา นิตา!”“อื้ม อะไรคะกรณ์เสียงดังจังเลย”“ทำไมคุณมาอยู่นี่ แล้วไอ้พชรล่ะ”“ไม่รู้สิคะ เมื่อคืนนิตาจำได้ว่าอยู่กับคุณพชร”พนิตารวบรวมสติพยายามนึกถึงเมื่อคืนเธอจำได้ว่าพชรกำลังจะจูบเธอแล้วแท้ๆ พนิตานึกเสียดายและมองไปที่ภากรณ์อย่างหัวเสีย “แล้วคุณล่ะ กลับมาตอนไหนเรื่องนรินทร์ล่ะว่าไง?” ภากรณ์ได้ยินอย่างนั้นก็ฉุกคิดในหัวพอตั้งสติได้ก็ไม่รอช้ารีบลุกพรวดออกไปยังห้องของนรินทร์ทันทีด้วยความหงุดหงิด ต้องเป็นพชรทุกทีที่เข้ามาได้ทันเวลามันเสียทุกครั้ง คิดๆแล้วก็เจ็บใจทางด้านมันตราได้แอบออกมาพบคีภัทราด้วยเส้นทางด้านหลังของคฤหาสน์ เห็นผู้มีพระคุณยืนรออยู่ก็รีบเข้าไปหาด้วยความดีอกดีใจ แต่ทว่านางตรงหน้าก