หน้าหลัก / โรแมนติก / วราลีคนนี้ไม่เหมือนเดิม / ตอนที่ 1 ตัวฉัน...ในร่างใหม่ 

แชร์

ตอนที่ 1 ตัวฉัน...ในร่างใหม่ 

ผู้เขียน: MoonDust
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-16 20:29:34

"เฮือก!"

ฉันลืมตาขึ้นพร้อมกับสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ แสงไฟจ้าบนเพดานทำให้ต้องหรี่ตา กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโชยเข้าจมูก ฉันพยายามสำรวจรอบตัว พบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงในห้องสีขาว ที่แขนมีสายน้ำเกลือ

เกิดอะไรขึ้น ที่นี่ที่ไหน? ฉันพยายามรวบรวมความคิด ความทรงจำสุดท้ายของฉันคือการปะทะกับกลุ่มค้าอาวุธเถื่อน ก่อนที่จะถูกยิงที่หน้าอก แถมยังฝันประหลาดอย่างเหลือเชื่อว่าฉันได้ไปเยือนปรโลกและเกือบต่อยกับยมทูต ฉันคลำที่หน้าอกตัวเองและพบว่ามันปกติดี ไม่เจ็บปวด

นี่ฉันหลับไปนานขนาดไหนจนแผลหายเนี่ย?

"วี…ลูกแม่"

เสียงสะอื้นของหญิงวัยกลางคนดังขึ้นข้างเตียง เธอกุมมือฉันแน่น น้ำตาไหลพรากเต็มใบหน้า

วี? ใครคือวี ฉันก้มมองตัวเอง สวมชุดคนไข้สีฟ้าซีด สลับกับมองผู้หญิงตรงหน้าที่กำลังร้องไห้พร่ำเรียกชื่อของใครสักคนที่ฉันไม่รู้จัก พลางเข้ามาจับตามตัวฉันอย่างทะนุถนอมราวกับกลัวฉันจะแตกสลาย

ฉันชื่ออลิสา แต่ผู้หญิงตรงหน้าเอาแต่เรียกชื่อ ‘วี’

นี่มันเรื่องอะไรกันล่ะเนี่ย

“เอ่อ...ฉันว่าคุณคงจำคนผิดแล้วล่ะค่ะ ฉันไม่ใช่วีหรอกค่ะ” ฉันบอกไปตามความจริง เธอชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะร้องไห้หนักกว่าเดิมก่อนจะกดปุ่มเรียกพยาบาล

“วี…ลูกเป็นอะไรไป? นี่ลูกจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ นี่แม่เอง แม่แพรวไงลูก” เธอว่าพลางปาดน้ำตา ฉันที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

แม่? ฉันไม่เคยมีแม่!

อย่างที่บอก ฉันชื่ออลิสา เป็นสายลับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยจู่โจมของหน่วยลับพิเศษ ฉันโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อแม่ จนกระทั่งหัวหน้าหน่วยเห็นแววและรับฉันเป็นลูกบุญธรรม

ว่าแต่…ทำไมฉันถึงได้ตื่นขึ้นมาในห้องรวมล่ะ? ปกติแล้วหน่วยของเราจะมีโรงพยาบาลพิเศษสำหรับสมาชิกของหน่วยเท่านั้นนี่ วันนี้มันเกิดอะไรขึ้น…ทำไมทุกอย่างดูแปลกประหลาดอย่างนี้นะ

“คนไข้ฟื้นแล้ว รู้สึกยังไงบ้างครับ?” หมอหนุ่มที่ดูจากลักษณะแล้วน่าจะนอนไม่พอเท่าไหร่เอ่ยถามฉันตามขั้นตอนการรักษา

“ก็เพลีย ๆ ค่ะ ว่าแต่ฉันหลับไปนานเท่าไหร่คะ”

“หนึ่งวันเต็ม ๆ ครับ”

หนึ่งวัน? ฉันคลำหน้าอกตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะเปิดเสื้อเพื่อส่องดูข้างใน

“คนไข้ทำอะไรครับ!?” หมอหนุ่มร้องด้วยความตกใจ คงไม่คิดว่าอยู่ ๆ คนไข้หญิงจะเปิดเสื้อส่องดูหน้าอกตัวเองต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ฉันตกใจยิ่งกว่าก็คือ...

ไม่มีแผลถูกยิง.... ไม่มีแม้แต่ร่องรอย

เป็นไปไม่ได้

“ฉัน... ไม่มีแผลเลยเหรอคะ”

หมอขมวดคิ้ว “แผล? คนไข้ไม่ได้มีบาดแผลอะไรนะครับ แค่หมดสติไปเท่านั้น”

หมดสติ? ฉันถูกยิงแท้ ๆ แต่นี่ไม่มีแม้แต่รอยกระสุน...

ฉันมองทุกคนอีกครั้ง ไล่ไปตั้งแต่หมอที่ทำหน้างุนงง ผู้หญิงชื่อแพรวกำลังร้องไห้และเอาแต่เรียกฉันว่าวี

“ฉัน...ขอเข้าห้องน้ำหน่อยค่ะ” ไม่รอคำตอบ ฉันเดินลากสายน้ำเกลือไปหาห้องน้ำที่ใกล้ที่สุด ฉันเดินไปที่กระจกบนผนัง มือสั่นเทาแตะที่ผิวกระจก

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย?” 

ใบหน้าที่สะท้อนกลับมาช่างแปลกประหลาด ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน จมูกเล็ก ๆ และริมฝีปากบาง ไม่มีอะไรเลยที่คุ้นเคย ไม่มีแม้แต่แผลเป็นเหนือคิ้วซ้ายที่ฉันได้มาจากภารกิจแรก ยิ่งดูยิ่งสมจริง ฉันลองหยิกที่ต้นแขนของตัวเองและพบว่ามัน...เจ็บ คราวนี้ลองตบหน้าตัวเอง เจ็บ...แถมยังเป็นรอยแดงที่แก้มซ้าย หรือนั่นไม่ใช่ความฝัน! ฉันได้ไปเยือนปรโลก เจอยมทูต และถูกส่งมาเข้าร่างใหม่!

ฉันพยายามควบคุมลมหายใจ ไม่ให้ตัวเองตื่นตระหนกเกินไป ตอนนี้ฉันต้องหาข้อมูลก่อน ถ้าฉันฟื้นขึ้นมาในร่างของใครสักคน แสดงว่าร่างเดิมของฉัน... ตายไปแล้วจริง ๆ ใช่ไหม?

ฉันหมุนตัวออกมาจากห้องน้ำและเดินกลับไปที่เตียง คนชื่อแพรวและหมอไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว คงออกไปคุยกันเรื่องอาการของฉัน

ฉันทรุดตัวลงนั่งที่ขอบเตียง และกวาดตามองรอบๆ ตัว พบเข้ากับกระเป๋าสตางค์ใบเล็กวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาดูและพบกับบัตรประชาชน

ชื่อ วราลี พาณิชย์วงศ์ ...... นี่คือชื่อของเจ้าของร่างสินะ เธอคงมีชื่อเล่นว่า วี...

ดูท่าว่านี่จะไม่ใช่ความฝันจริง ๆ ฉันตาย...โดยที่ดวงยังไม่ถึงฆาต ยมทูตเอาวิญญาณฉันไปผิด และชดเชยด้วยการให้ฉันตื่นมาในร่างของคนอื่น

“เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับฉันจริง ๆ เหรอเนี่ย..." ฉันพึมพำ

ไม่นานผู้หญิงที่ชื่อแพรวก็กลับเข้ามา เธอเดินมานั่งข้าง ๆ เตียง กุมมือฉันแน่นและลูบๆ ไปตามตัวฉันอย่างห่วงใย

“เป็นยังไงบ้างลูก หมอบอกว่าอาจจะเป็นภาวะความจำเสื่อมชั่วคราว ไว้เดี๋ยวเรามาตรวจอย่างละเอียดอีกทีนะลูกนะ”

“เอ่อ...ค่ะ ขอโทษค่ะ หนู…วีจำอะไรไม่ได้เลยจริง ๆ” ฉันจำต้องเล่นบทความจำเสื่อมไปก่อน มันง่ายกว่าการที่ฉันจะดึงดันบอกว่าตัวเองไม่ใช่วราลี แบบนั้นแทนที่จะได้สืบเพิ่มคงไม่พ้นโดนส่งไปโรงพยาบาลจิตเวชแทน

สรุปว่าแม่ (เธอคงต้องเป็นแม่ฉันแล้วล่ะ) ออกไปคุยกับหมอเกี่ยวกับอาการของฉัน หมอบอกว่าอาจจะมีภาวะความจำเสื่อมชั่วคราว สาเหตุไม่แน่ชัด แต่คนที่รู้ดีที่สุดคือฉัน ที่จริง ๆ แล้วไม่ได้ความจำเสื่อม มันคือเรื่องเหนือธรรมชาติต่างหาก

หมอเข้ามาตรวจร่างกายฉันอีกครั้งและไม่พบปัญหาใด ๆ จึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ ระหว่างที่ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ ฉันก็เจอบางสิ่งแปลก ๆ ที่ต้นคอ

มันเหมือนมีรอยมือบีบ...

แม้จะจางจนแทบมองไม่เห็น แต่ฉันมั่นใจว่ามันคือรอยมือแน่ ๆ เมื่อกดลงไปยังรู้สึกถึงความปวดอยู่

นี่เป็นสิ่งที่กวนใจฉัน ดูท่าว่านี่จะไม่ใช่การหมดสติธรรมดา ๆ

เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ แม่รอฉันอยู่แล้ว พวกเราเดินออกมาหน้าโรงพยาบาล มันคือโรงพยาบาลรัฐในเมืองที่ฉันก็รู้จัก หมายความว่าฉันยังอยู่โลกเดิมงั้นเหรอ? ก่อนที่จะหยิบมือถือขึ้นมาเช็ก รถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่ก็มาจอดเทียบหน้าโรงพยาบาล คุณลุงวัยไล่เลี่ยกับแม่ลงมาช่วยขนสัมภาระ หน้าตาเขาดูใจดีและเป็นมิตรมากทีเดียว ฉันได้ยินแม่เรียกว่า ‘พี่ชม’ แต่ดูมีระยะห่างพอสมควร ฉันเดาว่านี่ไม่ใช่พ่อของฉัน ลุงชมถามไถ่อาการฉันอย่างเป็นห่วง พลางพูดว่า ‘น่าสงสาร ๆ ทำงานหนักสินะ ต้องพักให้หายเครียดบ้าง’ ฉันไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่ยิ้มกลับไปเท่านั้น

กว่าพวกเราจะถึงบ้านก็เกือบค่ำแล้ว จะเรียกว่าบ้านก็ไม่ใช่ ต้องบอกว่ามันใหญ่กว่าคำว่าบ้านไปมาก คฤหาสน์หลังใหญ่สไตล์โคโลเนียลตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า สวนกว้างถูกจัดแต่งอย่างดี แต่บางส่วนเริ่มทรุดโทรม

"เกิดอะไรขึ้น!?" เสียงตวาดดังมาจากระเบียงชั้นลอยของชั้นสองทันทีเราสองแม่ลูกก้าวเข้าบ้าน ชายวัยกลางคนในชุดลำลองดูราคาแพงยืนกอดอกมองลงมา

ฉันเงยหน้าขึ้นสบตากับชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างบน ใบหน้าเข้มงวดและแววตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชา

"คุณพิชิต..." แม่ก้มหน้างุด "ยัยวีกลับมาแล้วค่ะ"

เขาเหลือบมองฉันแวบหนึ่ง สีหน้าไม่บอกอารมณ์ใด ๆ ก่อนจะหันไปสั่งเสียงห้วน “ไปเตรียมข้าวเย็นได้แล้ว”

"ค่ะ..." แม่ตอบเบา ๆ พลางพาฉันเดินอ้อมไปทางประตูหลัง ฉันว่าฉันพอจะเดาสถานะของเจ้าของร่างนี้ออกแล้วล่ะ....

ก่อนจะเดินออกมา ฉันสังเกตเห็นเงาผู้หญิงคนหนึ่งแอบมองอยู่จากหน้าต่างชั้นสอง ใบหน้าสวยเชิดขึ้นอย่างหยิ่งยโส ก่อนจะผละหายไปในความมืด

แม่พาฉันเข้าไปในห้องเล็ก ๆ ด้านหลังครัว

"ลูกเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ แม่จะไปต้มน้ำขิงมาให้"

เมื่อได้อยู่ตามลำพัง ฉันรีบสำรวจห้อง เป็นห้องเล็ก ๆ ที่จัดอย่างเป็นระเบียบ มีเตียงเดี่ยว โต๊ะเล็ก ๆ และตู้เสื้อผ้าเก่า ๆ บนโต๊ะมีหนังสือและสมุดบัญชีวางอยู่หลายเล่ม

ฉันเปิดดูสมุดบัญชี พบว่ามีการจดบันทึกรายรับรายจ่ายของโรงสีอย่างละเอียด พร้อมวิเคราะห์ปัญหาและแนวทางแก้ไขไว้จนเต็มสมุด นี่คือสิ่งที่คนรับใช้ควรมีงั้นเหรอ?

เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา ฉันรีบวางสมุดคืนที่เดิม แม่เดินเข้ามาพร้อมถ้วยน้ำขิง

"ดื่มให้หมดนะลูก" เธอยื่นถ้วยให้ "แล้วพักผ่อนเถอะ" ฉันรับถ้วยน้ำขิงมา เป่านิดหน่อยก่อนจะจิบมัน

"แม่คะ..." ฉันลองถาม “เรา…เป็นคนใช้ในบ้านนี้เหรอคะ”

แม่ชะงัก ดวงตาฉายแววเศร้า

"ใช่แล้วล่ะ.." เธอกลืนน้ำลาย "พวกเราเป็นแค่คนรับใช้ในบ้านนี้"

"แล้วผู้ชายคนนั้น..."

"คุณพิชิต... อันที่จริง...เขาเป็นพ่อของลูก แต่ลูกต้องจำไว้นะ เราไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไร เราต้องอยู่ในฐานะคนรับใช้เท่านั้น"

ฉันพยักหน้า เริ่มเข้าใจสถานการณ์ วราลี…ลูกนอกสมรสที่ถูกบังคับให้อยู่ในฐานะคนรับใช้ และอาจมีคนปองร้ายเธออยู่

เสียงฝนที่ตกกระทบหลังคาดังแว่วมา ฉันมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเงาสะท้อนของตัวเองซ้อนทับกับภาพด้านนอก ใบหน้าแปลกหน้าที่ต้องทำความคุ้นเคย ร่างกายใหม่ที่ต้องเรียนรู้ และชีวิตใหม่ที่ฉันต้องดำเนินต่อ

ฉันลองคิดอีกที

หรือว่านี่จะเป็นโอกาสให้ฉันได้ใช้ชีวิตธรรมดากันนะ?

ตอนนี้ฉันไม่ใช่อลิสาแล้ว ไม่มีภารกิจ ไม่มีการฝึก ไม่ต้องปิดบังตัวตนอีกต่อไป...

ฉันควรจะหนีออกไปเลย แล้วเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่ในแบบที่อยากเป็น

แต่รอยที่คอของวราลีมันกวนใจฉันเหลือเกิน สัญชาตญาณบอกว่ามันเหมือนจะมีเงื่อนงำซ่อนอยู่

อีกอย่าง ตอนนี้ก็ดึกแล้ว จะให้ฉันออกไปแบบไร้จุดหมายก็คงไม่ดีเท่าไหร่

ฉันถอนหายใจอย่างยอมจำนน เอาเป็นว่าคืนนี้นอนก่อนแล้วกัน...

แสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านผ้าม่านเก่า ๆ เข้ามาในห้องเล็ก ฉันลืมตาขึ้นช้า ๆ มวลรอบตัวที่ไม่คุ้นชินย้ำเตือนว่า นี่ไม่ใช่ชีวิตเดิมของฉันอีกแล้ว ฉันลุกขึ้นนั่งบนเตียงขนาด 3 ฟุตในห้องเล็ก ๆ ที่มีเพียงผ้าห่มบาง ๆ ปกคลุมร่าง

"เรื่องจริงแฮะ..." ฉันส่องกระจกสำรวจใบหน้า ยังคงเป็นผิวเนียนละเอียด ไม่ใช่ผิวที่ผ่านการฝึกหนักมาหลายปีของอลิสา

เมื่อสมองเริ่มทำงาน ฉันต้องหาข้อมูลให้มากที่สุด ต้องรู้ว่าใครพยายามทำร้ายหรือฆ่าวราลี และทำไม อย่างน้อยก็เพื่อเป็นการทวงความยุติธรรมให้เธอ ก่อนที่ฉันจะออกไปจากบ้านนี้

ฉันแต่งตัวด้วยชุดกระโปรงสีน้ำเงินเข้มและเสื้อขาวเรียบ ๆ ที่แม่เตรียมไว้ให้ ซึ่งเป็นเครื่องแบบคนรับใช้ในบ้าน แล้วย่องออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ สัญชาตญาณเก่าทำงานทันที ฉันสังเกตทุกมุม ทุกประตู ทุกหน้าต่าง วิเคราะห์เส้นทางหนีทีไล่และจุดอับสายตา

บ้านยังเงียบสงัด มีเพียงเสียงนกร้องแว่วมาจากสวน ฉันเดินสำรวจชั้นล่าง ผ่านห้องรับแขกหรูหราที่เริ่มมีร่องรอยของความทรุดโทรม แม้จะถูกทำความสะอาดอย่างดีจนไม่มีฝุ่น แต่บางชิ้นที่เก่าและใกล้พัง กลับไม่ได้รับการซ่อมแซม

ฉันเดินมาหยุดที่หน้าภาพถ่ายครอบครัวขนาดใหญ่บนผนัง นายพิชิตในชุดสูทยืนสง่า ข้างกายคงเป็นภรรยาในชุดผ้าไหมไทยหรูหรา และเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับวราลีในชุดราตรีสีชมพู ไม่มีวราลีในภาพ

ขณะที่กำลังจดจ่อกับภาพ ประสาทสัมผัสที่ถูกฝึกมาอย่างดีส่งสัญญาณเตือนภัย มีการเคลื่อนไหวจากด้านหลัง... เงาดำพุ่งเข้าใส่ศีรษะ!

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • วราลีคนนี้ไม่เหมือนเดิม   ตอนพิเศษ 2 ครั้งหนึ่งเคยเจอกัน

    เลือดอุ่น ๆ ไหลผ่านแผลที่หน้าท้อง เปื้อนเสื้อพรางจนไม่รู้ว่าสีจริงของมันเป็นสีอะไรกันแน่อลิสากัดฟันแน่น พิงตัวกับโขดหินในป่ารก หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ“บ้าเอ๊ย…ล่อพวกเราเข้าไปตายชัด ๆ”เสียงปืนที่เคยดังสนั่นเมื่อชั่วโมงก่อนยังดังก้องอยู่ในหัวเธอจำภาพตอนที่ลูกทีมคนหนึ่งล้มทั้งยืนได้ชัด คำสั่งล่าถอยถูกขัดจังหวะด้วยระเบิดแรงสูง และหลังจากนั้น...ก็ไม่มีเสียงของใครอีกเลย นอกจากลมหายใจตัวเอง ตอนนี้เธอหนีมาไกลหลายกิโลเมตรจากจุดที่ปะทะครั้งสุดท้ายอลิสาขยับตัวอีกนิด ร่างกายประท้วงทันทีด้วยความเจ็บและเหนื่อยล้าเธอแตะวิทยุสื่อสารที่อยู่ด้านในเสื้อ...ไร้สัญญาณไม่มีเสียงตอบ ไม่มีอะไรนอกจากเสียงของลมกับนก“ฉันต้องไม่ตายที่นี่…ฉันจะไม่ตายในป่าเงียบ ๆ แบบนี้แน่”เธอเริ่มคลานต่อ มือจับปืนไว้แน่นข้างตัว ทุกย่างก้าวคือการต่อรองกับความอดทน ภาพรอบตัวเริ่มเบลอจากเลือดที่เสียไป แต่สัญชาตญาณยังผลักให้เธอไปข้างหน้าจนกระทั่ง...เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นกร๊อบ...กร๊อบ...เสียงกิ่งไม้หัก เสียงเท้าเดินบนพื้นใบไม้ชื้น เสียงนั้นเบา แต่ไม่เบาพอจะรอดหูของเธอไปได้ อลิสากระชับปืน ปรับทิศสายตาดึงพลังเฮือกสุดท้ายให้

  • วราลีคนนี้ไม่เหมือนเดิม   ตอนพิเศษ 1 ความอดทนของสามี

    ช่วงนี้ภูริรู้ตัวว่า…เขากำลังเข้าสู่โหมด ‘กลั้นใจ’ เต็มรูปแบบเพราะตั้งแต่แต่งงานกันมา พูดกันตรง ๆ เลยว่าเขาก็หื่น แต่หื่นแบบ รักมาก หลงมาก มองเมียทีไรก็อยากกระโจนใส่ทุกครั้งแต่ใช่ว่าวราลีจะไม่รู้ เมื่อไม่กี่วันก่อน เธอหันมามองเขาตอนเช้าแล้วพูดเสียงอ่อนว่า“พี่ภูคนดีคนเดิมหายไปไหน…”พร้อมทำตาแป๋ว ๆ นอนกอดผ้าห่มอยู่บนเตียง ในขณะที่เขายืนใส่กางเกงนอนอยู่ข้างหน้า…“ทำไมเหลือแต่คนหื่น…”แค่คำนั้นคำเดียว ทำเอาเขารู้สึกเหมือนหมาตัวโต ๆ ที่โดนตีหัวเบา ๆ ด้วยไม้เรียวเมียตั้งแต่นั้นมา เขาก็พยายาม ‘เป็นคนดีคนเดิม’ ไม่รุก ไม่ปล้ำ ไม่ซุกซนยามดึกแม้จะนอนเตียงเดียวกันทุกคืน…แม้จะได้เห็นเธอใส่ชุดนอนสายเดี่ยวตัวหลวมที่ชอบหล่นจากไหล่ แม้จะมีบางคืนที่เธอเอาขามากอดเขาทั้งตัว…แต่เขาก็อดทนคืนแรก…เขาหันหลังให้คืนที่สอง…เขาเปิดพอดแคสต์วิธีฝึกสมาธิก่อนนอนคืนที่สาม…เขาสวดบทภาวนาขอพรจากจักรวาลให้เขาผ่านคืนนี้ไปได้แต่แล้วก็…คืนนี้...เขาเห็นวราลีก้มลงหยิบของจากพื้น โดยที่เสื้อยืดคอกว้างเผยให้เห็นเนินอกอิ่มเต็มตา เสี้ยววินาทีนั้นเขาเหมือนโดนตบหน้าโดยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งขอพรไป“อดทนไว้ภูริ…อดทนเพื

  • วราลีคนนี้ไม่เหมือนเดิม   บทส่งท้าย

    เสียงเพลงบรรเลงแผ่วเบาดังคลอภายในโบสถ์หินอ่อนที่ประดับด้วยดอกไม้โทนขาวครีมและเขียวอ่อน สะอาดตาและอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก แสงแดดจากหน้าต่างกระจกสีที่สูงจรดเพดานสาดลงมาอย่างอ่อนโยนราวกับพระเจ้ากำลังอวยพรฉันยืนอยู่หลังประตูไม้ของโบสถ์ ลมหายใจตื่นเต้นจนต้องกลั้นเอาไว้ มือแน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขนของคุณพิชิตผู้เป็นบิดา ที่วันนี้มารับหน้าที่จูงฉันเข้าไปในโบสถ์“พร้อมไหม” เขาถามเสียงเบาฉันพยักหน้า กลั้นยิ้มอย่างเกร็งนิด ๆ“พร้อมค่ะ”ประตูโบสถ์เปิดออก เสียงเปียโนท่อนแรกของ Canon in D ดังขึ้นทุกสายตาหันมามองฉันในชุดเจ้าสาวสีงาช้างที่ตัดเข้ารูปอย่างสง่างาม ผ้าคลุมยาวลากพื้นพลิ้วไหวตามจังหวะก้าวเดินคุณหญิงสมศรียิ้มกว้างสุดหัวใจ น้ำตาคลอจนต้องยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดบ่อยครั้ง แต่ไม่วายหันไปกระซิบกับนาลันว่า“สวยเหมือนย่าตอนสาว ๆ เลยใช่ไหมล่ะ”นาลันหัวเราะเบา ๆ ยกนิ้วโป้งให้ฉันแทนคำชม ข้าง ๆ เธอ ภาวินท์และชนกันต์ยกกล้องขึ้นถ่ายช็อตสำคัญไม่หยุด ส่วนพลอยไพลินที่นั่งเงียบ ๆ อยู่ข้างแม่ฉัน ก็ยิ้มบา

  • วราลีคนนี้ไม่เหมือนเดิม   ตอนที่ 46 ฤกษ์ดี

    แสงเจิดจ้าระยิบระยับจากแชนเดอเลียร์หรูหราขนาดใหญ่ภายห้องโถงใหญ่ในโรงแรมระดับห้าดาวกลางใจเมืองดูจะแพ้แสงแฟลชจากเหล่ากล้องสื่อมวลชนที่เข้าประจำการตั้งแต่เช้า ด้านหน้าตึกแน่นขนัดไปด้วยผู้คน ทั้งสื่อ นักข่าว แขกผู้มีเกียรติ และหุ้นส่วนธุรกิจจากทั่วเอเชียที่ต่างเดินทางมาเพื่อร่วมเป็นพยานในวันสำคัญของ ‘ภูริ ทรัพย์ไพศาลอนันต์’ข่าวการขึ้นรับตำแหน่งผู้นำสูงสุดของ TP กรุ๊ป ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนผ่านภายในตระกูล แต่คือ ‘เหตุการณ์ระดับชาติ’ สำหรับวงการธุรกิจสื่อทุกแขนงถ่ายทอดสด บรรยายตื่นเต้นราวกับกำลังดูฟุตบอลนัดชิง พาดหัวข่าวเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วทั้งคำว่า‘ทายาทหมื่นล้านเปิดตัวอย่างสง่างาม’‘ภูริ ผู้นำอาณาจักรทรัพย์ไพศาลอนันต์สู่อนาคตใหม่’หรือแม้แต่ ‘จับตา! ยุคใหม่ของ TP กรุ๊ปจะไปทางไหนเมื่ออยู่ภายใต้ผู้นำคนใหม่’แต่ในห้องรับรองชั้นบนสุดของตึก…โลกทั้งใบของภูริกลับเงียบงัน มีเพียงเสียงสูดหายใจลึก ๆ ของเขา กับมือเล็ก ๆ ที่กำลังช่วยจัดปกสูทให้เข้าที่“แน่ใจเหรอครับว่าพี่ไม่ดูต

  • วราลีคนนี้ไม่เหมือนเดิม   ตอนที่ 45 ยิ้มกว้าง

    เสียงเครื่องวัดชีพจรเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอในห้องสีขาวสะอาดตาฉันรู้สึกถึงความเย็นของผ้าปูเตียง และกลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ลอยเข้าจมูกเมื่อค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ภาพแรกที่เห็นคือเพดานโรงพยาบาล และแสงแดดอ่อนยามเช้าส่องลอดผ้าม่าน“ฟื้นแล้วเหรอครับ ลูกพี่”เสียงคุ้นเคยดังขึ้นข้างเตียง ก่อนที่ใบหน้าของชนกันต์จะโผล่เข้ามาในสายตาฉันพยายามยันตัวขึ้น เขารีบช่วยประคองทันที“ใจเย็นครับ เพิ่งได้สติไม่ถึงชั่วโมงเอง”ฉันยิ้มบาง พลางหลุบตาลง“…เรา…ชนะแล้วเหรอ?”ชนกันต์พยักหน้า“ครับ พวกผมเข้าเคลียร์พื้นที่ทั้งหมดหลังเสียงปืนนัดสุดท้าย ฝ่ายเราเข้าควบคุมโกดังได้หมดแล้ว พวกของจงเหวินที่เหลือถูกจับเรียบ พร้อมของกลางเป็นอาวุธเถื่อนล็อตใหญ่…ตอนนี้เป็นข่าวใหญ่ระดับประเทศเลยล่ะครับ”ฉันถอนหายใจยาว ความโล่งอกแล่นวาบไปทั่วร่างแม้จะยังอ่อนแรง“แล้ว…ภูริล่ะ?”ชนกันต์ยิ้ม“ห้องตรงข้ามนี้เองครับ พักฟื้นอยู่เหมือนกัน ผมว่าจะไปเยี่ย

  • วราลีคนนี้ไม่เหมือนเดิม   ตอนที่ 44 ปิดฉาก

    สายตาฉันเหลือบไปเห็นมอเตอร์ไซค์อีกคันนอนตะแคงอยู่ข้างถนน ห่างออกไปไม่ถึงสิบเมตร...คันนั้นยังดูใช้งานได้ฉันกัดฟันแน่น ฝืนพาร่างตัวเองที่เต็มไปด้วยรอยถลอกลุกขึ้นยืน มือขวากำปืนไว้แน่น ส่วนมือซ้ายลากขาเปื้อนเลือดค่อย ๆ พาตัวเองไปยังมอเตอร์ไซค์“ฟื้นตัวให้ไวนะ…ฉันยังต้องลุยต่อ” ฉันบ่นกับตัวเอง ขณะยกรถขึ้นและลองบิดเครื่อง เสียงเครื่องยนต์คำรามเบา ๆ ขึ้นมาทันทีราวกับตอบรับฉันคว้าหมวกกันน็อกเก่า ๆ ใบหนึ่งที่แขวนอยู่ข้างเบาะ สวมมันอย่างรวดเร็ว แล้วบิดคันเร่งออกตัว บนถนนที่เริ่มว่างเปล่า เป้าหมายของฉันคือ...ลินามือข้างหนึ่งของฉันล้วงเครื่องมือสื่อสาร พยายามติดต่อหาชนกันต์ด้วยเสียงหอบแฮก[ลูกพี่!?] ในที่สุดชนกันต์ก็ตอบกลับมาเสียที ฉันถอนหายใจโล่ง“กันต์…พวกมันได้ตัวพี่ภูไปแล้ว!” ฉันเร่งเสียง “ฉันติดเครื่องติดตามไว้ในเสื้อเขา ส่งพิกัดที่ได้มาให้ฉันด่วน!”[เวรเอ๊ย! พวกมันรู้ได้ยังไง!?] เขาสบถ [เดี๋ยวส่งพิกัดให้ภายในสิบวินาที]ฉันตัดสายไป แล้วเร่งเครื่องอย่างเต็มแรงฝ่าเส้นทางสลับซ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status