"จำฉันได้ไหม?" เขาถามขึ้น รอยยิ้มกว้างขึ้นอีกนิดเมื่อเห็นฉันทำหน้าตึงเครียด
ฉันจ้องเขาอย่างพิจารณา...เมื่อกี้อรพูดถึงใครนะ...ลูกชายของลุงชม...
"อาทิตย์เหรอ?"
เขาหัวเราะเบาๆ "ใช่ พ่อกับน้าแพรวบอกว่าวีความจำเสื่อม ฉันตกใจแทบแย่ แต่ดีใจนะที่วียังจำฉันได้อยู่”
อันที่จริง ฉันไม่รู้จักนายด้วยซ้ำ ขอโทษที
อาทิตย์ยิ้มให้ฉันอย่างเปิดเผยเหมือนเราสนิทกัน เขาเดินเข้ามาหมายจะจับมือฉัน แต่ฉันกลับถอยหนีตามสัญชาตญาณ ทำให้อาทิตย์ชะงักและถอยไป
“ขะ…ขอโทษที พอดีฉันไม่ยังไม่ค่อยชิน”
“ไม่เป็นไรหรอกฉันเข้าใจ แล้วนี่จะไปไหนเหรอ?" เขาถาม พลางก้มมองถุงผ้าในมือฉัน
"ตลาด" ฉันตอบสั้น ๆ
"ให้ไปส่งไหม?"
"ฉันเดินไปเองได้"
“แค่อยากไปด้วยเฉย ๆ น่ะ"
...อะไรของเขา?
ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกแปลก ๆ กับท่าทางของเขานิดหน่อย...
แต่เอาเถอะ ถ้าเขาอยากไปด้วยก็เชิญ ฉันก็ไม่ได้เสียอะไรอยู่แล้ว
"ตามใจ" ฉันตอบ ก่อนจะเดินนำออกไป ทิ้งให้อาทิตย์หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเดินตามฉันมา
วันนี้ฉันแค่จะไปซื้อปลาทูให้ป้าแป้น แต่ดูเหมือนจะได้ของแถมที่ไม่คาดคิดมาด้วยแล้วล่ะ...
ช่วงบ่ายวันนี้คนเดินตลาดสดมีไม่มากนัก คงเป็นเพราะเป็นวันธรรมดาหรือเปล่านะ หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ฉันต้องมาซื้อของที่นี่บ่อยเพราะคำสั่งของป้า และอยู่ไม่ไกลจากบ้าน นั่นทำให้เหล่าพ่อค้าแม่ขายคุ้นหน้าคุ้นตาฉันไปแล้ว ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะป้าแป้นเป็นคนอัธยาศัยดี คุยเก่งจนสนิทกับคนและกลายเป็นผู้กว้างขวางของตลาด เป็นผลพลอยได้ทำให้ฉันแค่บอกว่าเป็นหลานของป้าแป้น พ่อค้าแม่ค้าก็จะลดแแหลกแจกแถมให้ทุกครั้งไป
แต่วันนี้ดูจะแตกต่างนิดหน่อย...ฉันเหลือบมองคนข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ อาทิตย์ เดินไปตามทางด้วยท่าทีสบาย ๆ แม้จะโดนแม่ค้าหลายคนหันมามองเป็นระยะ บางคนยิ้ม บางคนกระซิบกระซาบกันเอง ซึ่งฉันเดาได้ไม่ยากว่าพวกเขากำลังนินทาเรื่องอะไร
"หลานเจ๊แป้นมากับหนุ่มด้วยแหละ"
"หรือว่าจะเป็นแฟนมัน? หล่อใช้ได้"
"ดูเข้ากันดีนะเนี่ย"
ให้ตายเถอะ…
ฉันพยายามทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรให้คนพวกนั้นจับผิดได้ แต่ในใจนี่อยากถอนหายใจสักสิบรอบ
“วันนี้มีคนมาช่วยถือของด้วย แฟนเหรอ? หล่อดีนะเจ้าวี” แม่ค้าขายผักยิ้มกรุ้มกริ่มพลางกระซิบกระซาบ ฉันส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะยื่นเงินสด
“ไม่ใช่ค่ะ เพื่อนค่ะ” น่าจะเป็นรายที่ 5 แล้วมั้งที่ถามฉัน คนข้าง ๆ ก็ไม่ตอบปฏิเสธ จนฉันต้องแอบกลอกตาเพราะเบื่อที่จะตอบคำถามเดิมแล้ว
“วีรู้จักคนเยอะนะ” อาทิตย์พูดขึ้นระหว่างที่เรากำลังเดินไปป้ายรถเมล์
“อืม ฉันมาซื้อของให้ป้าแป้นบ่อย คนรู้จักแกอยู่แล้ว เลยพลอยเอ็นดูฉันไปด้วย”
ฉันยิ้ม พลางนึกไปถึงสมัยที่ยังเป็นอลิสา การมาซื้อของที่ตลาดเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับฉันเลย เพราะอย่างที่บอก ตารางชีวิตของฉันมีแค่ ฝึก-ปฏิบัติภารกิจ-ฝึก วนไปแบบนั้น สกิลการเข้าสังคมของฉันจึงค่อนข้าง ต่ำ มาก เพราะไม่ค่อยได้พูดคุยแบบคนปกติเท่าไหร่ หนึ่งเดือนกว่า ๆ ที่เป็นวราลีนั้นพัฒนาสกิลการพูดคุยกับฉันได้มาก ไม่นับตอนคุยกับพลอยไพลินนะ รายนั้นไม่กล้าทำร้ายฉันแล้วก็จริง แต่ยังค่อนแคะ ค่อนขอดกันทุกครั้งที่เจอหน้ากัน
แต่ก็ช่างมันเถอะ เธอไม่ได้รับมือยากขนาดนั้น
ส่วนอาทิตย์...จากที่เห็นเขาก็ดูเป็นคนดี อาจจะเป็นเพื่อนที่จริงใจกับวราลีคนหนึ่ง
"นายไม่อึดอัดเหรอ?" ฉันถามขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ
"ทำไมต้องอึดอัด" อาทิตย์เอียงคอถามกลับ
"ก็...คนที่ตลาดเขาพูดถึงนาย"
"อ้อ เรื่องนั้น?" เขายักไหล่ "ก็ไม่ได้เป็นปัญหานะ"
ฉันหรี่ตา "หมายความว่าไง"
“ก็ไม่ยังไง…อีกอย่าง...จริง ๆ แล้วเราสองคนสนิทกันมากเลยนะ เราคุยกันบ่อย ๆ ตอนว่าง ๆ ก็ไปเที่ยวกัน สมัยนี้เรียกอะไรแล้วนะ? ...อ้อ คนคุยไง”
อาทิตย์หยุดเดินและหันมามองฉัน ไม่รู้ว่าสายตานั้นหมายถึงอะไร
“วีจำเรื่องของเราไม่ได้เลยจริงๆ เหรอ?” เสียงเขาเริ่มตัดพ้อ ฉันได้แต่นิ่งเงียบ จะให้บอกไปว่าจริงๆ แล้วฉันไม่ใช่วราลีคงจะฟังดูเหมือนคนบ้า เมื่อเขารู้ว่าคงไม่ได้คำตอบอะไรจากฉัน เขาก็ถอนหายใจ
“ไม่เป็นไร เราค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปก็ได้เนอะ ฉันไม่เร่งอะไรวีอยู่แล้ว แต่ว่าอยากให้วีรู้ไว้นะ...”
สายตาของเขาอ่อนลง
“ว่าฉันยังชอบวีเหมือนเดิม...”
เวรกรรม...ยุ่งแล้วสิ
ฉันกะพริบตาปริบ ๆ ไม่รู้จะตอบอะไรกลับไป ฉันชอบเขาไหม? แน่นอนว่าไม่ ฉันเพิ่งเจอเขาเอง ถ้าถามว่าฉันรู้สึกยังไงตอนนี้ คงเป็น อึดอัด
“อาทิตย์...ฉัน...”
ยังไม่ทันพูดจบประโยค เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นข้างหน้า
“ขโมย! ใครก็ได้ช่วยด้วย! มันกระชากกระเป๋าไป!”
คุณยายคนหนึ่งหน้าร้านทองยืนหน้าตื่น น้ำตาคลอเบ้า ขณะที่ชายร่างสูงสวมเสื้อฮู้ดสีดำวิ่งพรวดพราดออกมา พร้อมกระเป๋าหนังใบเล็กในมือ
คนในตลาดแตกฮือ บางคนหลบ บางคนตะโกนให้จับโจร บางคนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิป
ฉันโยนถุงปลาทูให้คนข้าง ๆ “อาทิตย์ ถือไว้!”
“ห๊ะ!? เดี๋ยว! วี!?” ”
ไม่ทันเขาจะพูดจบ ฉันก็ออกตัววิ่งเต็มฝีเท้า
ร่างกายนี้อาจจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าตอนเป็นอลิสา แต่การฝึกตลอดเดือนที่ผ่านมาไม่เสียเปล่า ฉันเร่งฝีเท้า เบี่ยงตัวหลบผู้คนที่ยืนมุงได้อย่างแม่นยำ สายตาล็อกเป้าหมายไว้ไม่พลาด
เมื่อเห็นช่องว่างพอดี ฉันพุ่งตัวไปด้านข้าง ดึงจังหวะและใช้เข่าด้านนอกตัดเข้าด้านขาเขา
ผลั่ก!
คนร้ายล้มกลิ้ง กระเป๋าหลุดมือกระเด็นไปบนทางเท้า
“โอ๊ย! มึง! อีบ้า!”
“วิ่งราวของคนแก่นี่ดีมากเลยสินะ” ก่อนที่ฉันจะกระโดดเอาเข่ากระทุ้งลงไปที่หลังของมันเต็มแรง ทำให้มันร้องครางลั่นด้วยความเจ็บปวด
“วี!” เสียงอาทิตย์ดังมาจากข้างหลัง เขาวิ่งมาในจังหวะที่ฉันลุกขึ้นพอดี ก่อนที่เขาจะย่อตัวกดหัวคนร้ายไว้กับพื้นอย่างเฉียบพลัน ใช้ท่อนแขนล็อกแขนข้างหนึ่งของมันบิดไปด้านหลัง
“โอ๊ยยยย!”
คุณยายวิ่งเข้ามาหอบ ๆ พร้อมเสียงปรบมือประปรายจากคนแถวนั้น
“ขอบคุณมาก ๆ เลยนะ ถ้าไม่ได้พวกหนูช่วยไว้ ยายคงแย่” เธอพูดพลางยื่นมือมารับกระเป๋าคืนไป ก่อนจะกุมมือฉันไว้
“ไม่เป็นไรค่ะ ดีที่คุณยายไม่ได้รับอันตราย” ฉันยิ้มให้เธอ ไม่นานตำรวจก็มาถึงและจับตัวคนร้ายไว้ อาทิตย์เองก็เดินตามไปเพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติม
คุณยายกุมมือฉันแน่น ดูค่อนข้างเสียขวัญ ฉันกระชับมือเธอตอบ ก่อนจะมีเสียงผู้ชายสองสามคนดังขึ้นจากฝูงชน ไม่นานพวกเขาก็แหวกไทยมุงออกมา เป็นชายในชุดสูทสีดำ หน้าตาตื่นราวกับเพิ่งทำความผิดใหญ่หลวง
“คุณท่าน! คุณท่านไม่เป็นอะไรนะครับ!” ฉันหันไปมองคุณยายสลับกับชายชุดสูท เพิ่งสังเกตเห็นว่าแม้เธออยู่ในชุดลำลอง แต่การออกแบบและตัดเย็บดูประณีตและหรูหรา อีกอย่าง…ดูจากที่มีคนติดตามถึงสองคน คุณยายคนนี้อาจไม่ธรรมดาเลย
“ไม่เป็นไร ดีที่สาวน้อยคนนี้ช่วยฉันเอาไว้ เฮ้อ...แค่อยากมาซื้อของด้วยตัวเอง ดันเกิดเรื่องแบบนี้เสียได้” เธอพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ ทว่าดูมีอำนาจ ชายในชุดสูทสองคนหน้าซีดเหงื่อตกกว่าเดิม
“ผมขอโทษครับ ผมจะไม่ได้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก” ก่อนทั้งสองจะก้มหัวแทบติดพื้น คุณยายส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะหันมายิ้มให้กับฉัน
“ขอบคุณอีกครั้งนะจ๊ะหนู นี่นะ...ถ้าหนูมีอะไรก็ติดต่อหาฉันได้เลย...” เธอค้นหาบางอย่างในกระเป๋าถือของเธอ “เอ๊ะ...สงสัยจะลืมเอามา แย่จริง”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณยายปลอดภัยก็ดีแล้ว” ฉันพูดไปตามจริง ฉันไม่ใช่พวกช่วยคนหวังผลสักหน่อย
“ไม่ได้ ๆ” เธอยังคงควานหาบางอย่างในกระเป๋าอยู่ จนสุดท้ายเธอก็ยอมแพ้
“หนูชื่ออะไรจ๊ะ? ชื่อจริง นามสกุลน่ะ”
ฉันเห็นว่าไม่ได้เสียหายอะไรจึงตอบออกไป
“วราลีค่ะ วราลี พาณิชย์วงศ์” ฉันแอบเห็นคุณยายชะงักไปนิดหน่อย ก่อนจะยิ้มกว้างและพยักหน้า ฉัน...ไม่แน่ใจในความหมายของรอยยิ้มนั้นเท่าไหร่
“ฮ่า ๆ โลกกลมเสียจริง...วราลีเหรอ...ยายจำชื่อหนูไว้แล้ว เดี๋ยวเราได้เจอกันอีกแน่ ระหว่างนี้ก็รักษาเนื้อรักษาตัวนะลูกนะ” เธอบีบมือฉันอีกครั้งก่อนจะจากไปพร้อมกับบอดี้การ์ดทั้งสอง ทิ้งให้ฉันงุนงงอยู่กับประโยคสุดท้ายของเธอ
แสงเจิดจ้าระยิบระยับจากแชนเดอเลียร์หรูหราขนาดใหญ่ภายห้องโถงใหญ่ในโรงแรมระดับห้าดาวกลางใจเมืองดูจะแพ้แสงแฟลชจากเหล่ากล้องสื่อมวลชนที่เข้าประจำการตั้งแต่เช้า ด้านหน้าตึกแน่นขนัดไปด้วยผู้คน ทั้งสื่อ นักข่าว แขกผู้มีเกียรติ และหุ้นส่วนธุรกิจจากทั่วเอเชียที่ต่างเดินทางมาเพื่อร่วมเป็นพยานในวันสำคัญของ ‘ภูริ ทรัพย์ไพศาลอนันต์’ข่าวการขึ้นรับตำแหน่งผู้นำสูงสุดของ TP กรุ๊ป ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนผ่านภายในตระกูล แต่คือ ‘เหตุการณ์ระดับชาติ’ สำหรับวงการธุรกิจสื่อทุกแขนงถ่ายทอดสด บรรยายตื่นเต้นราวกับกำลังดูฟุตบอลนัดชิง พาดหัวข่าวเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วทั้งคำว่า‘ทายาทหมื่นล้านเปิดตัวอย่างสง่างาม’‘ภูริ ผู้นำอาณาจักรทรัพย์ไพศาลอนันต์สู่อนาคตใหม่’หรือแม้แต่ ‘จับตา! ยุคใหม่ของ TP กรุ๊ปจะไปทางไหนเมื่ออยู่ภายใต้ผู้นำคนใหม่’แต่ในห้องรับรองชั้นบนสุดของตึก…โลกทั้งใบของภูริกลับเงียบงัน มีเพียงเสียงสูดหายใจลึก ๆ ของเขา กับมือเล็ก ๆ ที่กำลังช่วยจัดปกสูทให้เข้าที่“แน่ใจเหรอครับว่าพี่ไม่ดูต
เสียงเครื่องวัดชีพจรเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอในห้องสีขาวสะอาดตาฉันรู้สึกถึงความเย็นของผ้าปูเตียง และกลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ลอยเข้าจมูกเมื่อค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ภาพแรกที่เห็นคือเพดานโรงพยาบาล และแสงแดดอ่อนยามเช้าส่องลอดผ้าม่าน“ฟื้นแล้วเหรอครับ ลูกพี่”เสียงคุ้นเคยดังขึ้นข้างเตียง ก่อนที่ใบหน้าของชนกันต์จะโผล่เข้ามาในสายตาฉันพยายามยันตัวขึ้น เขารีบช่วยประคองทันที“ใจเย็นครับ เพิ่งได้สติไม่ถึงชั่วโมงเอง”ฉันยิ้มบาง พลางหลุบตาลง“…เรา…ชนะแล้วเหรอ?”ชนกันต์พยักหน้า“ครับ พวกผมเข้าเคลียร์พื้นที่ทั้งหมดหลังเสียงปืนนัดสุดท้าย ฝ่ายเราเข้าควบคุมโกดังได้หมดแล้ว พวกของจงเหวินที่เหลือถูกจับเรียบ พร้อมของกลางเป็นอาวุธเถื่อนล็อตใหญ่…ตอนนี้เป็นข่าวใหญ่ระดับประเทศเลยล่ะครับ”ฉันถอนหายใจยาว ความโล่งอกแล่นวาบไปทั่วร่างแม้จะยังอ่อนแรง“แล้ว…ภูริล่ะ?”ชนกันต์ยิ้ม“ห้องตรงข้ามนี้เองครับ พักฟื้นอยู่เหมือนกัน ผมว่าจะไปเยี่ย
สายตาฉันเหลือบไปเห็นมอเตอร์ไซค์อีกคันนอนตะแคงอยู่ข้างถนน ห่างออกไปไม่ถึงสิบเมตร...คันนั้นยังดูใช้งานได้ฉันกัดฟันแน่น ฝืนพาร่างตัวเองที่เต็มไปด้วยรอยถลอกลุกขึ้นยืน มือขวากำปืนไว้แน่น ส่วนมือซ้ายลากขาเปื้อนเลือดค่อย ๆ พาตัวเองไปยังมอเตอร์ไซค์“ฟื้นตัวให้ไวนะ…ฉันยังต้องลุยต่อ” ฉันบ่นกับตัวเอง ขณะยกรถขึ้นและลองบิดเครื่อง เสียงเครื่องยนต์คำรามเบา ๆ ขึ้นมาทันทีราวกับตอบรับฉันคว้าหมวกกันน็อกเก่า ๆ ใบหนึ่งที่แขวนอยู่ข้างเบาะ สวมมันอย่างรวดเร็ว แล้วบิดคันเร่งออกตัว บนถนนที่เริ่มว่างเปล่า เป้าหมายของฉันคือ...ลินามือข้างหนึ่งของฉันล้วงเครื่องมือสื่อสาร พยายามติดต่อหาชนกันต์ด้วยเสียงหอบแฮก[ลูกพี่!?] ในที่สุดชนกันต์ก็ตอบกลับมาเสียที ฉันถอนหายใจโล่ง“กันต์…พวกมันได้ตัวพี่ภูไปแล้ว!” ฉันเร่งเสียง “ฉันติดเครื่องติดตามไว้ในเสื้อเขา ส่งพิกัดที่ได้มาให้ฉันด่วน!”[เวรเอ๊ย! พวกมันรู้ได้ยังไง!?] เขาสบถ [เดี๋ยวส่งพิกัดให้ภายในสิบวินาที]ฉันตัดสายไป แล้วเร่งเครื่องอย่างเต็มแรงฝ่าเส้นทางสลับซ
ยังไม่ทันที่เราจะได้เริ่มวางแผนอย่างจริงจัง เสียงโทรศัพท์ของภูริก็ดังขึ้นขัดจังหวะทุกคนเหลือบตาไปมองทันที...เป็นเบอร์ไม่รู้จักภูรินิ่งไปครู่หนึ่งก่อนกดรับ พร้อมเปิดลำโพงให้ทุกคนได้ยิน“ครับ?” น้ำเสียงเขานิ่งสนิทตามสไตล์[…คุณภูริ] เสียงปลายสายดังขึ้นชัดเจนจนน่าขนลุกเล็ก ๆฉันกับชนกันต์หันไปสบตากันทันทีโดยไม่ต้องนัดหมายเสียงนั้นคือ ‘ลินา'[…ฉันอยากนัดพบคุณ] เธอพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ แต่มีความสั่นไหวเล็กน้อย […มีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับจงเหวินที่คุณควรรู้]ฉันขมวดคิ้วทันที สัญชาตญาณมันตะโกนดังลั่นในหัวว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ภูริเหลือบตามองฉันฉันพยักหน้าเบา ๆ เป็นสัญญาณให้รับนัดนั้นไว้เขากลับมาสนทนาต่ออย่างราบเรียบ“ตกลงครับ บอกสถานที่มาได้เลย”หลังวางสาย ฉันก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยเสียงต่ำ“กับดักชัด ๆ”“ผมรู้” ภูริตอบเรียบ “แต่ถ้าเธอเปลี่ยนใจมาบอกอะไรจริง ๆ เราอาจได้ข้อมูลเพิ่มก่อนถึงวันจริง…คุ้มท
“เดี๋ยวผมรอลูกพี่อยู่ที่นี่แหละ เสร็จแล้วเดี๋ยวไปหาคุณภูริด้วยกัน”ฉันพยักหน้าให้ ก่อนจะลงจากรถ“โอเค ฉันไปไม่นานหรอก”ฉันยืนอยู่หน้าประตูบ้าน สูดหายใจลึก พอคิดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้น หัวก็เริ่มหนึบเหมือนระเบิดเวลานับถอยหลังแต่มันจะต้องจบ...วันนี้แหละ ทับทิมจะไม่ได้ลอยนวลอีกต่อไปไม่ถึงนาทีหลังจากที่เปิดประตูเข้าไป ทันทีที่แม่เห็นฉัน เธอก็รีบลุกพรวดเข้ามาหา น้ำตาคลอเต็มสองตา ก่อนจะโผเข้ามากอดฉันแน่น“วี! ลูกปลอดภัยใช่ไหม?”ฉันยกมือกอดตอบแน่น “ไม่เป็นไรค่ะ แม่…วีไม่เป็นไร”ไม่รอช้า ฉันเรียกรวมตัวสมาชิกภายในบ้านทันที ไม่นานคุณพิชิต ทับทิม และพลอยไพลิน ต่างทยอยกันมานั่งในห้องรับแขก บรรยากาศเงียบกริบ ตึงเครียดจนได้กลิ่นความกลัวลอยฟุ้งไม่ทันที่ฉันจะพูดอะไร ทับทิมก็เปิดปากก่อนทันที เสียงเย้ยหยันดังลั่น“อุ๊ย ตายจริง! ได้ข่าวว่าไปทำงามหน้ามาเหรอ? ทำตระกูลทรัพย์ไพศาลอนันต์เสียหายเป็นพันล้าน แกจะรับผิดชอบยังไงหา?!”ฉันไม่ตอบ หันไปมองเธอนิ่ง ๆ
ฉันลุกจากเตียงอีกครั้งในช่วงสาย พลางยืดตัวบิดขี้เกียจ เสียงครางเบา ๆ หลุดจากลำคอด้วยความเมื่อยล้าไปทั่วทั้งตัว พอหันไปมองชายที่นอนหลับสบายอยู่ข้าง ๆ ก็อดถอนหายใจไม่ได้คนอะไร...เจ็บตัวแท้ ๆ แต่ความหื่นไม่มีวันพักเลยสิน่าแม้อยากจะทิ้งตัวลงไปนอนต่อข้างเขา แต่ก็รู้ดีว่ายังมีเรื่องมากมายต้องจัดการ โดยเฉพาะการติดต่อชนกันต์ยังไม่ทันคิด มือถือของภูริก็ดังขึ้นจากโต๊ะข้างเตียงสายเรียกเข้า ‘กวิน’ฉันเหลือบมองภูริที่ยังนอนหลับสนิท ไม่วี่แววจะตื่นง่าย ๆ ด้วยความเหนื่อยสะสม จึงถือวิสาสะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับแล้วเดินออกไปที่ระเบียง“ฮัลโหล…นี่ฉันเอง”[ลูกพี่! ลูกพี่ปลอดภัยดีใช่ไหมครับ!] เสียงตะโกนจากปลายสายทำฉันต้องย่นคิ้ว“นายหายหัวไปไหนมา?” ถามเสียงเข้มแต่ไม่ได้ตั้งใจจะดุ[อย่าเพิ่งด่าผมนะ พอลูกพี่โดนจับตัวไปผมก็รีบตามรอยทันที เช้าวันถัดมาคุณภูริฟื้น ผมเลยรีบรวบรวมหลักฐานแล้วก็แชร์ข้อมูลบางส่วนกับเขา แผนดีลพันล้านนั่น...ผมก็มีส่วนนะ...]เขาว่าเสียงอ่อยฉันหัวเราะเบา ๆ