ยามตรุษวสันต์¹เวียนมาบรรจบ อากาศยังคงเย็นยะเยือก
ทว่าภายในเรือนเล็กของสกุลตู้กลับอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและบรรยากาศอันผ่อนคลาย ตู้เยี่ยนอวี่ในวัยสิบห้าปีบริบูรณ์ นั่งอยู่บนเสื่อฟางผืนบางภายในห้องของตนเอง ดวงตาหลับพริ้ม ใบหน้าสงบนิ่ง ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ เป็นจังหวะที่มิเร่งร้อน มิช้าเกินไป
นี่มิใช่การพักผ่อนธรรมดา หากแต่เป็นการฝึกฝนวิชากำลังภายในจากม้วนคัมภีร์เก่าแก่ที่นางค้นพบโดยบังเอิญเมื่อหลายเดือนก่อน แม้ตำราจะเขียนด้วยภาษาที่ยากจะเข้าใจในตอนแรก แต่ด้วยความเพียรพยายามและสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด ตู้เยี่ยนอวี่ก็ค่อย ๆ ตีความและทำความเข้าใจหลักการต่าง ๆ ได้ทีละน้อย
‘ลมปราณคือรากฐานแห่งชีวิต พลังงานหมุนเวียนในกายเปรียบดุจแม่น้ำที่ไหลหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง’ เสียงท่องจำในตำราดังขึ้นในห้วงความคิดของนาง ‘หากแม่น้ำบริสุทธิ์และไหลเวียนสะดวก ร่างกายย่อมแข็งแรงและอายุยืนยาว’
นางจินตนาการถึงเส้นลมปราณในร่างกายของตนเอง แต่สัมผัสได้ถึงกระแสพลังงานที่ไหลเวียนอยู่ภายใน ทุกครั้งที่ลมปราณไหลเวียนผ่านจุดชีพจรสำคัญ ความรู้สึกร้อนวูบวาบก็แผ่ซ่านไปทั่วร่าง
แรกเริ่ม การฝึกฝนเป็นไปด้วยความยากลำบาก นางมิอาจควบคุมลมปราณได้อย่างใจนึก บางครั้งก็รู้สึกเจ็บปวด บางครั้งก็รู้สึกเหนื่อยล้า แต่ด้วยความมุ่งมั่นและอดทน ตู้เยี่ยนอวี่ก็มิเคยท้อถอย นางระลึกอยู่เสมอว่าวิชาความรู้เหล่านี้ อาจเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้นางเอาชีวิตรอดในโลกใบนี้ได้ และยังสามารถนำไปช่วยเหลือผู้อื่นได้อีกด้วย
“คุณหนูเจ้าคะ ถึงเวลาอาหารเช้าแล้วเจ้าค่ะ” เสียงเรียกของเสี่ยวจูดังขึ้นจากนอกห้องอย่างแผ่วเบา เกรงว่าจะรบกวนนายหญิงของตน
ตู้เยี่ยนอวี่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ทว่าแววตาของนางฉายประกายความสงบและแจ่มใส ดุจท้องฟ้าหลังพายุฝนผ่านพ้นไป ความรู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่าแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย
“เข้ามาเถิดเสี่ยวจู” นางตอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
เมื่อเสี่ยวจูเข้ามาในห้อง นางก็สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวคุณหนูของตน ดวงตาที่เคยฉายแววกังวลเมื่อแรกเริ่มนั้น บัดนี้กลับเปี่ยมไปด้วยความมั่นคงและสงบนิ่ง รูปร่างที่เคยบอบบางก็ดูแข็งแรงขึ้นเล็กน้อย
“วันนี้คุณหนูดูสดใสยิ่งนักเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูเอ่ยชมด้วยความจริงใจ
ตู้เยี่ยนอวี่เพียงยิ้มตอบ มิได้กล่าวอันใด
นางรู้ดีว่านี่เป็นผลมาจากการฝึกฝนกำลังภายในที่นางเพิ่งเริ่มต้น เส้นทางนี้ยังอีกยาวไกล แต่เพียงแค่การเริ่มต้นก็ทำให้ร่างกายและจิตใจของนางแข็งแกร่งขึ้นมากแล้ว
–
วันเวลาผันผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทว่ายามนี้วันเวลาก็ผันผ่านมาได้เดือนแล้วเดือนเล่าแล้ว
ยามฤดูใบไม้ผลิกลับมาเยือนอีกครา ต้นไม้ในหมู่บ้านซีหลินเริ่มผลิใบอ่อน ดอกไม้นานาชนิดเริ่มเบ่งบานส่งกลิ่นหอมกรุ่น
ในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาชื่อเสียงของหมอเทวดาตู้ได้เป็นที่เลื่องลือไปไกลยิ่งนัก ดุจสายลมที่พัดพานำพาเอาข่าวสารไปทุกทิศทุกทาง ไม่เพียงแต่ชาวบ้านในหมู่บ้านซีหลินและหมู่บ้านใกล้เคียงเท่านั้นที่มาขอความช่วยเหลือ แม้แต่ผู้คนจากหัวเมืองอื่นก็เริ่มหลั่งไหลมาขอคำปรึกษาจากนาง
วันหนึ่ง ชายสูงวัยผู้หนึ่งในชุดผ้าไหมเนื้อดี ใบหน้าฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด ได้เดินทางมาพร้อมกับบุตรสาวที่ป่วยหนัก บุตรสาวของเขามีอาการผื่นคันแดงไปทั่วตัว มีไข้สูง และอ่อนเพลียอย่างมาก
“คารวะหมอเทวดาตู้ ขอท่านโปรดเมตตาช่วยบุตรสาวของข้าด้วยเถิด” ชายผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “ข้าเดินทางมาจากเมืองจิ่นหยาง มิมีแพทย์ผู้ใดในเมืองจิ่นหยางสามารถรักษาบุตรสาวของข้าได้เลยขอรับ”
ตู้เยี่ยนอวี่ก้าวเข้ามาใกล้ มองดูอาการของเด็กสาวอย่างละเอียดถี่ถ้วน นางสัมผัสที่ผิวหนังที่ร้อนผ่าว และตรวจดูอาการอื่น ๆ อย่างใจเย็น
“นี่คือโรคผื่นไฟ ซึ่งเกิดจากความร้อนสะสมในกายและลมปราณอุดกั้น” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง “มิใช่โรคร้ายแรง แต่ต้องใช้เวลาในการบำบัดรักษา”
ชายผู้นั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ขอท่านโปรดช่วยบุตรสาวของข้าด้วยเถิด หากนางหายจากอาการป่วย ข้ายินดีตอบแทนท่านอย่างงาม”
ตู้เยี่ยนอวี่ส่ายหน้าเบา ๆ “ข้ามิได้หวังสิ่งใดตอบแทน ท่านเพียงแค่พาบุตรสาวของท่านมาพักรักษาตัวที่เรือนเล็กของข้าสักระยะก็พอแล้ว”
คำพูดของนางทำให้ชายผู้นั้นซาบซึ้งใจยิ่งนัก ดุจน้ำทิพย์ที่ชโลมจิตใจที่แห้งแล้งของเขา
ตลอดระยะเวลาการรักษา ตู้เยี่ยนอวี่มิได้ใช้เพียงความรู้ทางการแพทย์โบราณที่ได้ศึกษามาเท่านั้น แต่นางยังนำความรู้ด้านสุขอนามัยที่ทันสมัยกว่าจากโลกเดิมมาปรับใช้ด้วย เช่น การแยกภาชนะ การรักษาความสะอาดของบาดแผล และการให้ผู้ป่วยพักผ่อนในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก
“หากร่างกายสะอาด ปราศจากสิ่งสกปรก โรคภัยไข้เจ็บย่อมมิอาจเข้าสู่กายได้” นางกล่าวแนะนำแก่บ่าวรับใช้ที่ดูแลคนป่วย
เมื่อการรักษาดำเนินไป อาการของเด็กสาวก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ ผื่นคันที่เคยแดงก่ำก็เริ่มจางลง ไข้ก็ลดลง และกลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง
“หมอเทวดาตู้ ! บุตรสาวของข้าหายแล้วขอรับ !” ชายผู้นั้นร้องอุทานด้วยความยินดี ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ก่อนที่ชายผู้นั้นจะจากไป เขามอบถุงผ้าไหมบรรจุทองคำจำนวนหนึ่งให้แก่ตู้เยี่ยนอวี่
“นี่คือสินน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากใจของข้า ขอท่านโปรดรับไว้ด้วยเถิด”
ตู้เยี่ยนอวี่ส่ายหน้าเบา ๆ “ข้ามิอาจรับสิ่งเหล่านี้ไว้ได้เจ้าค่ะ การได้เห็นผู้ป่วยหายจากอาการเจ็บป่วย นั่นคือสิ่งตอบแทนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับข้าแล้วเจ้าค่ะ”
ชายผู้นั้นรู้สึกประทับใจในคุณธรรมของตู้เยี่ยนอวี่เป็นอย่างมาก ก่อนจากไปเขาได้โค้งคำนับนางอย่างนอบน้อม และให้คำมั่นสัญญาว่าหากมีสิ่งใดที่เขาจะช่วยเหลือได้ เขาจะมิมีวันปฏิเสธ
–
ยามฤดูใบไม้ผลิผลิบานเต็มที่ หมู่บ้านซีหลินเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
ตู้เยี่ยนอวี่มิได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ นางยังคงใช้เวลาในการฝึกฝนกำลังภายในอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้นางยังศึกษาตำราโบราณที่เกี่ยวกับธรรมชาติและสมุนไพร เพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้แก่ตนเองอย่างไม่หยุดหย่อน
วันหนึ่ง ในขณะที่นางกำลังนั่งสมาธิอยู่กลางสวนหลังบ้าน ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน ก็สัมผัสได้ถึงกระแสลมปราณที่ไหลเวียนในกายอย่างราบรื่นและรวดเร็วกว่าที่เคยเป็น แต่ทว่าก็มิได้รุนแรง
นางลองรวบรวมพลังงานภายในไว้ที่ฝ่ามือช้า ๆ ปรากฏว่าเกิดแสงเรืองรองสีฟ้าอ่อน ๆ ขึ้นที่ปลายฝ่ามือเล็กน้อย
“นี่คือพลังภายในงั้นหรือ ?” นางพึมพำกับตนเองด้วยความประหลาดใจ แววตาของนางฉายประกายความตื่นเต้น
แม้พลังนี้จะยังไม่แข็งแกร่งมากนัก แต่ก็เป็นสิ่งยืนยันว่าการฝึกฝนของนางมิได้ไร้ผล
ตู้เยี่ยนอวี่รู้ดีว่าเส้นทางแห่งการฝึกฝนวิชากำลังภายในนั้นยังอีกยาวไกลนัก แต่นางก็มิได้หวาดหวั่น จิตใจของนางเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นและอดทน ดุจหินผาที่มิสะทกสะท้านต่อลมพายุ
นางตั้งใจว่าจะใช้พลังนี้เพื่อช่วยเหลือผู้คนให้ได้มากที่สุด ดุจแสงเทียนที่ส่องสว่างนำทางให้แก่ผู้ที่หลงทาง และจะมิยอมให้พลังนี้ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดโดยเด็ดขาด
ในยามค่ำคืนนั้น ตู้เยี่ยนอวี่นอนอยู่บนเตียงไม้แข็งกระด้าง แต่จิตใจกลับเปี่ยมด้วยความสุขสงบ ดุจทะเลสาบที่ราบเรียบยามไร้ลมพัด นางนึกถึงชีวิตในโลกเดิมที่วุ่นวายและเต็มไปด้วยการแข่งขัน บัดนี้ชีวิตในโลกใบนี้ แม้จะเรียบง่ายกว่า แต่กลับทำให้นางค้นพบความสุขและความหมายที่แท้จริงของชีวิต
“ฟ้าลิขิตให้ข้ามายังโลกใบนี้” นางรำพึงรำพัน “ข้าจะใช้ชีวิตนี้ให้คุ้มค่าที่สุด”
————————
¹ยามตรุษวสันต์ หมายถึง ช่วงเวลาแห่งเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ หรือกล่าวให้ง่ายคือช่วงตรุษจีน ซึ่งในวัฒนธรรมจีนถือเป็นช่วงเวลาเริ่มต้นปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติ เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข การเฉลิมฉลอง และการกลับบ้านหาครอบครัว
บรรยากาศตึงเครียดจนแทบระเบิด รองแม่ทัพจ้าวคุนยืนอยู่ที่ปากประตูด้วยรอยยิ้มแห่งผู้ชนะ สาส์นลับในมือของเขาเปรียบดั่งตราบาปที่ประทับลงบนชะตากรรมของคนทั้งสาม“ยอมจำนนเสียเถิดเหล่ากบฏ ! หลักฐานมัดตัวแน่นหนาถึงเพียงนี้ พวกเจ้ายังจะดิ้นรนไปไย !”กู้เหยียนหลงและจางอู๋จีชักอาวุธออกมาทันที แววตาของพวกเขาแน่วแน่และพร้อมที่จะสู้ตาย แม้จะรู้ว่านี่คือการต่อสู้ที่ไร้ซึ่งความหวังก็ตามทว่า ในขณะที่การปะทะกำลังจะเกิดขึ้น ตู้เยี่ยนอวี่กลับก้าวออกมาขวางคนทั้งสองไว้“รอก่อนเจ้าค่ะ !” นางกระซิบ “การต่อสู้ในยามนี้ คือสิ่งที่พวกมันต้องการที่สุด”นางล้วงหยิบเอาลูกกลอนกระเบื้องเคลือบขนาดเล็กออกมาจากแขนเสื้อ มันดูเป็นเพียงของประดับธรรมดาชิ้นหนึ่ง“สิ่งนี้... จะซื้อเวลาให้เราได้สามลมหายใจ”สิ้นคำพูด นางก็ขว้างลูกกลอนนั้นลงบนพื้นอย่างแรงเพล้ง !แทนที่จะเป็นควันพิษ สิ่งที่ระเบิดออกมากลับเป็นลำแสงสีขาวที่สว่างจ้าจนแสบตา พร้อมกับเสียงแหลมสูงที่กรีดลึกเข้าไปในโสตประสาท เหล่าองครักษ์และจ้าวคุนต่างยกมือขึ้นปิดตาและหูด้วยความเจ็บปวด โลกทั้งใบของพวกเขากลายเป็นสีขาวโพลนและเงียบงันไปชั่วขณะ“เร็วเข้า !”ในสามลมหายใจแห่งค
ช่วงเวลาหลายสัปดาห์ต่อมา บรรยากาศในวังหลวงสงบสุขลงอย่างเห็นได้ชัด ถุงหอมหนิงอันของตู้เยี่ยนอวี่ดูเหมือนจะได้ผลชะงัด เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์มีท่าทีที่ผ่อนคลายและจิตใจที่แจ่มใสขึ้น ความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ลดลงจนแทบไม่ปรากฏกู้เหยียนหลงเองก็ประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนกำลังพล เขาสามารถโยกย้ายคนของรองแม่ทัพจ้าวคุนออกไปจากตำแหน่งสำคัญ และแทนที่ด้วยนายทหารรุ่นใหม่ที่มีความสามารถและภักดีได้อย่างราบรื่นดูเหมือนว่าฝ่ายของพวกเขาจะกุมชัยชนะและควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ทั้งหมด ทว่า นี่เป็นเพียงความสงบก่อนพายุจะโหมกระหน่ำอย่างแท้จริงหอเหมยแดงยังคงเปิดให้บริการตามปกติ ภายใต้เสียงดนตรีอันไพเราะและกลิ่นกำยานหอมกรุ่น นักดนตรีขลุ่ยมายาในม่านลูกปัดกำลังสนทนากับนักปลอมแปลงเอกสารมือหนึ่งของยุทธภพ“ข้าต้องการสาส์นลับฉบับหนึ่ง ที่มีลายมือของจางอู๋จี แต่เนื้อความต้องเป็นบทเพลงที่พวกเราบรรเลง” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เยียบเย็นแผนการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความระแวงได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเงียบงัน///ณ กระทรวงกลาโหมหลายวันต่อมา…
ในห้องประชุมลับใต้ดิน บรรยากาศเงียบสงัดจนได้ยินเสียงเปลวเทียนสั่นไหว ใบหน้าของกู้เหยียนหลงและจางอู๋จีเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลังจากที่ตู้เยี่ยนอวี่ได้เปิดเผยความจริงอันน่าสะพรึงกลัวเกี่ยวกับเครื่องหอมในหอเหมยแดง“พวกมันมิได้ต้องการแค่ราชบัลลังก์ แต่ต้องการควบคุมวิญญาณของขุนนางทั้งแผ่นดิน” จางอู๋จีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า “นี่คือแผนการที่ชั่วร้ายและทะเยอทะยานเกินกว่าที่ผู้ใดจะคาดคิด”“การบุกทำลายหอเหมยแดงในยามนี้เป็นไปไม่ได้” กู้เหยียนหลงวิเคราะห์ “นั่นเท่ากับเป็นการเปิดศึกโดยตรง และจะทำให้องค์ชายจ้าวเฟิงมีข้ออ้างในการเคลื่อนไหวทางการทหารทันที”“ถูกต้องเจ้าค่ะ” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวขึ้น ดวงตาของนางสงบนิ่งดุจน้ำในบ่อลึก แต่กลับฉายประกายแห่งความเด็ดเดี่ยว “ในเมื่อพิษเข้าทางลมหายใจ ยาแก้ก็ต้องออกฤทธิ์ผ่านลมหายใจเช่นกัน”นางได้เสนอแผนการที่แยบยลและเหนือความคาดหมาย นั่นคือการสร้างยาถอนพิษที่มองไม่เห็นขึ้นมาต่อกรตู้เยี่ยนอวี่ใช้เวลาหลายวันขลุกตัวอยู่แต่ในห้องปรุงยา นางศึกษ
เงาจันทร์ทาบทาลงบนตรอกซอกซอยอันมืดมิดของเมืองหลวง ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงเร้นกายออกจากหอเหมยแดงอย่างเงียบเชียบ บรรยากาศที่เคยหรูหราฟู่ฟ่า บัดนี้กลับให้ความรู้สึกน่าขยะแขยงราวกับสุสานที่ประดับประดาอย่างงดงามแต่ซ่อนเร้นไว้ด้วยซากศพและความเน่าเฟะทั้งสองมิได้เอ่ยวาจาใด ๆ ตลอดทาง แต่ในใจกลับปั่นป่วนดุจพายุคลั่ง ภาพของรองแม่ทัพจ้าวคุนที่หายลับเข้าไปในประตูทางลับนั้น ยังคงติดตาตรึงใจราวกับถูกเหล็กร้อนนาบ///ณ ที่พำนักลับของจางอู๋จีบรรยากาศในห้องประชุมใต้ดินนั้นหนักอึ้งและเยียบเย็นยิ่งกว่าค่ำคืนในฤดูเหมันต์“รองแม่ทัพแห่งต้าเฉิน คือหนอนบ่อนไส้” กู้เหยียนหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่กดต่ำจนน่ากลัว กำปั้นของเขากำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ในฐานะแม่ทัพใหญ่ การมีผู้ทรยศอยู่ในตำแหน่งสูงถึงเพียงนี้ ถือเป็นความล้มเหลวและความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวงจางอู๋จีถอนหายใจยาว“ข้าเคยสงสัยในตัวจ้าวคุนมานานแล้ว” เขากล่าว “ฐานะทางการเงินของเขาเติบโตขึ้นอย่างผิดปกติในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ข้ามิเคยมีหลักฐานมัดตัวเขาได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว จนกระทั่งวัน
ณ ที่พำนักลับของจางอู๋จีแผนที่ขนาดใหญ่ของเมืองหลวงถูกกางออกเต็มโต๊ะ“หอชาด” จางอู๋จีลูบเคราครุ่นคิด “ในเมืองหลวงแห่งนี้ มีสถานที่ที่ใช้ชื่อนี้อยู่สามแห่ง หนึ่งคือหอตำราเก่าแก่ สองคือร้านจำหน่ายผ้าไหม และสาม...” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้นิ้วชี้ไปยังจุดหนึ่งในย่านบันเทิงที่หรูหราและพลุกพล่านที่สุดของเมืองหลวง “คือโรงละครและหอคณิกาที่ชื่อเสียงโด่งดังที่สุด มีนามว่าหอเหมยแดง เป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ของเหล่าขุนนางและคหบดีผู้มั่งคั่ง เจ้าของของมันเป็นปริศนา และเป็นสถานที่ที่สายของข้ามิอาจแทรกซึมเข้าไปได้ง่ายนัก”“สถานที่ที่ลึกลับและมีอำนาจคุ้มครอง ย่อมเป็นแหล่งซ่องสุมที่ยอดเยี่ยมที่สุด” กู้เหยียนหลงกล่าว แววตาคมกริบดุจเหยี่ยว “เป้าหมายของเราคือที่นั่น”การจะบุกเข้าไปโดยตรงย่อมเป็นการตีหญ้าให้งูตื่น พวกเขาจำเป็นต้องปลอมตัวเพื่อเข้าไปสืบหาความจริงค่ำคืนนั้น ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงได้แปลงโฉมเป็นคุณชายเจ้าสำราญและภรรยาคนงามผู้ติดตาม กู้เหยียนหลงในอาภรณ์ผ้าไหมเนื้อดี ดูสง่างามและแฝงไว้ด้วยความหยิ่งผยองของทายาทคหบดี ส่วนตู้เยี่ยนอวี่ในชุดสีอ่อนหวานขับเน้นให้ใบหน้างดงามของนางดูบอบบางน่าทะ
ค่ำคืนนั้น วังหลวงตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวายการลอบปลงพระชนม์องค์หญิงถือเป็นเรื่องสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ฝ่าบาททรงพระพิโรธดั่งพายุคลั่ง มีราชโองการให้ปิดประตูวังและสืบสวนเรื่องนี้อย่างเข้มงวดที่สุดองค์หญิงลี่หัวปลอดภัยดีภายใต้การอารักขาอย่างแน่นหนา แม้พระวรกายจะมิได้รับบาดเจ็บ แต่พระทัยกลับตื่นตระหนกอย่างยิ่ง เหตุการณ์ในครั้งนี้ได้สลักลึกลงไปในใจของนาง และทำให้นางยิ่งเชื่อมั่นในตัวตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงมากขึ้นเป็นทวีคูณองค์ชายจ้าวเฟิงแสดงละครฉากใหญ่ได้อย่างแนบเนียน เขาทูลแสดงความขุ่นเคืองและห่วงใยต่อเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาท พร้อมทั้งเสนอที่จะให้ความร่วมมือในการสอบสวนอย่างเต็มที่“การกระทำอันอุกอาจของคนชั่วเหล่านี้ ถือเป็นการหยามเกียรติทั้งสองแคว้น กระหม่อมจะขออยู่ช่วยสืบหาความจริงให้ถึงที่สุด เพื่อนำตัวผู้บงการมาลงโทษให้จงได้ !”วาจาของเขานั้นเปี่ยมด้วยความจริงใจจอมปลอม แต่ก็ทำให้ผู้ที่มิรู้ความนัยต่างเชื่อสนิทใจ มีเพียงตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงเท่านั้นที่รู้ว่า พยัคฆ์ร้ายตัวนี้กำลังแสร้งทำเป็นสุนัขรับใช้ผู้ภักดีณ คุกใต้ดินของสำนักข่าวกรองลับนักฆ่าพรรคเมฆาโลหิตที่ถูกจับเป็นได้