หลงอวิ๋นมีสีหน้าเงียบขรึม ก่อนจะหมุนกายพาฉันก้าวออกจากห้องบัญชาการ ผ่านโถงหินอ่อนสู่ลานกว้างเบื้องหน้าวังท่ามกลางเสียงกลองศึกที่ดังก้องกลางรัตติกาล
ท้องฟ้ายามค่ำคืนพร่างพรายด้วยดาว ดวงจันทร์เต็มดวงลอยเด่นเหนือหอคอยน้ำแข็ง แสงเงินของมันส่องกระทบชุดเกราะของเหล่าทหารกว่า 50 นายในชุดสีน้ำเงินเข้มที่ยืนเรียงแถวเป็นระเบียบ ม้าศึกตัวแล้วตัวเล่าถูกผูกเตรียมไว้เรียบร้อย
กลางลานนั้น มีม้าสีขาวเงินตัวหนึ่งยืนสงบนิ่ง ทว่าท่วงท่ากลับเปี่ยมไปด้วยพลัง เขาใหญ่โตกว่าม้าศึกทั่วไป เขายืนนิ่งอย่างสง่างาม มีเขาเรียวยาวสีเงินโค้งอยู่กลางหน้าผาก ดวงตาของเขา... เป็นสีฟ้าใสลึกล้ำราวธารน้ำแข็งโบราณ
หลงอวิ๋นนำฉันเข้าไปใกล้ เขาเอื้อมมือไปลูบแก้มม้าอย่างอ่อนโยน ขณะเอ่ยเสียงนุ่มลึก
“นี่คือเสวี่ยเหยียน พาหนะคู่ใจของข้า... ม้าเทพแห่งเทือกเขาเทียนหลง”
ฉันก้าวเข้าใกล้ด้วยหัวใจที่เต้นระรัว เสวี่ยเหยียนเอียงศีรษะเล็กน้อยก่อนจะก้มหัวให้ฉันเบา ๆ — ฉันแทบไม่เชื่อสายตา
“เขาชอบเจ้า” หลงอวิ๋นกล่าว มุมปากกระตุกยิ้มบาง ๆ
“นับเป็นสัญญาณที่ดี เ
หิมะยังคงโปรยลงมาไม่หยุด ละอองขาวบางร่วงหล่นอย่างแผ่วเบาเหมือนไม่มีน้ำหนัก แต่ยามนี้...หัวใจของฉันกลับหนักอึ้งจนแทบหายใจไม่ออก“หยกหิมะ…ตรงนี้ล่ะ” ฉันกระซิบกับจิ้งจอกหิมะร่างกลางซึ่งตัวแทบเท่าฉัน มันยืนเคียงข้างด้วยท่าทีตื่นตัว พลังเวทบางเบากำลังแผ่ออกจากฝ่ามือฉัน ลงสู่เส้นวงเวทที่วาดไว้บนพื้นน้ำแข็งใต้ต้นสนเก่าแม้เวทนี้จะยังไม่สมบูรณ์ แต่...มันคือคีย์ที่จะเปิดทางออกไปจากมิตินี้ฉันใช้ทั้งค่ำคืนฝึกมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า รอยแผลบนฝ่ามือยังไม่ทันหายดี แต่เวลาของหลงอวิ๋นก็ร่นเข้ามาทุกที...“อีกนิดเดียว...”ฉันพึมพำเบา ๆ พลางลากเส้นเวทต่อ แสงจันทราเหนือยอดไม้สะท้อนลงปลายนิ้ว สาดประกายอ่อนลงสู่อักขระบนพื้นหิมะที่เริ่มเปล่งแสงราง ๆแต่แล้ว—หยกหิมะชะงัก เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว หูเล็กตั้งชัน ขนหลังลุกชันราวถูกสายลมเย็นกระแทกใส่“...มีคนมา”ฉันรู้สึกถึงแรงสั่นบางอย่างใต้ฝ่าเท้า เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ย่ำลงบนหิมะ...เข้าใกล้เรื่อย ๆ“ต้องหนี”ฉันลบเวททั้งหมดบนพื้นหิม
หิมะโปรยลงมาเบา ๆ ราวม่านบางของความเงียบงันที่ปกคลุมพระราชวังน้ำแข็งยามค่ำคืนเอลาเรียเดินช้า ๆ ไปตามโถงทางเดินแกะสลักที่เย็นเฉียบ แม้จะใส่เสื้อคลุมกำมะหยี่ของราชสำนักอยู่เต็มตัว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนกำลังเดินเปลือยเปล่าในดินแดนของศัตรูหนาว—ไม่ใช่เพราะลม แต่เพราะสายตานับไม่ถ้วนที่กำลังจับจ้องวันนี้...มีบางอย่างไม่เหมือนเดิมสายตาของเหล่าทหารเวรที่เคยนิ่งเฉย กลับดูตั้งใจเกินเหตุบางคนมองสบตาเธอแล้วรีบหลบสายตาบางคน…ไม่ได้หลบเลยแววตาเหล่านั้นไม่ได้เปล่งความเคารพ—...แต่มากไปด้วยความระแวง เหมือนเธอคือระเบิดเวลาที่อาจระเบิดได้ทุกเมื่อ“เราไปทำอะไรผิด...หรือพวกเขาเริ่มรู้เรื่องคำทำนาย...หรือแม้แต่...”“...หลงอวิ๋น?”เสียงหัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นอย่างไม่อาจห้ามเธออยากไปหาเขา อยากถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นแต่หอประชุมชั้นในของราชสภาถูกผนึกด้วยม่านเวท ห้ามผู้ใดเข้าใกล้โดยไม่ได้รับอนุญาตและเขา...ก็ไม่ได้กลับมาหาเธอเลยนับตั้งแต่รุ่งเช้าเอลาเรียก้า
เสียงลมหายใจของฉันแผ่วเบาในห้องเงียบ มีเพียงแสงจันทร์อ่อนที่ส่องลอดผ้าม่านลงมากระทบหลังมือฉันขณะสับไพ่ทาโรต์ เสียงกระดิ่งจากข้อมือดังกริ่งเบา ๆ ทุกครั้งที่นิ้วลากผ่านไพ่ ราอูลเพิ่งจากไปหลังเอ่ยคำเตือนเพียงประโยคเดียว—ประโยคที่ยังสั่นอยู่ในอกฉันจนถึงตอนนี้“หากเจ้าอยากรู้ว่าความรักครั้งนี้จะสิ้นสุดอย่างไร...จงถามไพ่ของเจ้า”ฉันวางไพ่สามใบเรียงลงบนโต๊ะไม้เก่า ทุกใบเหมือนจะสั่นเล็กน้อย—หรืออาจเป็นฉันเองที่กำลังสั่นอยู่ใบแรก: The Lovers (กลับหัว)ใบที่สอง: Death (ตั้งตรง)ใบที่สาม: The Star (กลับหัว)ฉันรู้ทันที…ว่ามันไม่ใช่คำตอบที่ดีนักรักที่ต้องเลือกระหว่างสองทางการจบสิ้น…และความหวังที่ริบหรี่ หากใจไม่มั่นพอ“จะต้องมีคนหนึ่ง...ที่เสียสละ” ฉันกระซิบออกมา ลูบแผ่นไพ่ด้วยปลายนิ้ว เสียงหัวใจเต้นหนักจนรู้สึกได้ถึงชีพจรที่ข้อมือ รอยสักที่ข้อมือฉันเรืองแสงจาง ๆทันใดนั้นเอง—แสงสีฟ้าม่วง
หลังจากเอลาเรียฟื้นคืนจากห้วงหลับใหล เธอได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดภายในตำหนักส่วนพระองค์แม้หลงอวิ๋นจะไม่อยากห่างจากเธอแม้เพียงหนึ่งลมหายใจ แต่ในฐานะองค์ชายผู้ถือดุลอำนาจแห่งราชวังเทียนหลง เขายังต้องแบกรับภาระ…เพื่อทั้งราชวงศ์ และโลกทั้งใบทุกเช้า เขาจะเป็นผู้ประคองเธอลุกจากเตียงด้วยมือตนเอง ก่อนจะก้มจูบหน้าผากเธอแผ่วเบา แล้วผละจากมาอย่างเงียบ ๆ พร้อมคำมั่นสัญญาซ้ำเดิม“อีกไม่นาน ข้าจะกลับมา...พร้อมข่าวดี”แต่ภายในห้องประชุมของราชสภามังกร ไม่มีสิ่งใดใกล้เคียงคำว่า ‘ข่าวดี’เหล่าองค์ราชาแห่งมังกรทั้งห้าทิศประจำที่อยู่ในที่นั่งสูง แวดล้อมด้วยขุนนางอาวุโส มังกรเวท และบรรดาสายสืบจากแต่ละแคว้น ผู้ทำหน้าที่รายงานการเคลื่อนไหวของเหล่าศัตรูที่ยังหลบซ่อนอยู่ในเงามืด“...มีรายงานจากหุบผาดำ” ไคเซอร์ องค์ชายแห่งมังกรดำ กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“พบร่องรอยเวทที่ใกล้เคียงกับเนรูไซร์ แม้มันจะถูกผนึก แต่แก่นเวท...ยังไม่สลาย”“มันจะตื่นไม่ได้” หลงอวิ๋นกล่าวเสียงเย็นเยียบ&
ณ ห้องบรรทมแห่งวังเทียนหลง — เมื่อม่านจันทราปิดบังสายตาจากท้องฟ้าเบื้องบนเสียงประตูห้องบรรทมปิดลงเบา ๆ ราวกับไม่อยากรบกวนเสียงหัวใจสองดวงที่เต้นรัวอยู่ในห้วงเดียวกันแสงเทียนนับสิบเล่มล่องลอยกลางห้องอย่างสงบ เปลวไฟสะบัดปลายไหวในจังหวะอ้อยอิ่ง พาแสงส้มอุ่นทอดเงาบนผนังหินแกะลาย เงาสองร่างทาบทับกัน ใกล้...จนแทบกลืนเป็นหนึ่งเดียวหลงอวิ๋นไม่ได้พูดสักคำ...แต่ในดวงตาของเขา มีคำมากมายที่ถูกกักเก็บไว้นานนับคืนความโหยหา ที่กัดกินทุกวินาทีของการรอคอยความรัก ที่ถูกหล่อหลอมด้วยทั้งเวทมนตร์และความเจ็บปวดความต้องการ ที่ไม่เคยลดน้อยลงเลยแม้ในวันที่ฉันไม่อาจรับรู้ถึงมันเขาก้าวเข้ามาใกล้ ช้า...แต่มั่นคงมือของเขาเลื่อนไปประคองแผ่นหลังฉันเบา ๆ อีกมือหนึ่งรั้งใต้เข่าด้วยความระมัดระวัง ก่อนที่ร่างสูงสง่าจะช้อนฉันขึ้นจากพื้น—อ้อมแขนของเขาอุ่นและแน่นหนาราวกับจะไม่ยอมให้ฉันหลุดหายไปอีกแม้เพียงวินาทีเดียวฉันซุกหน้าไว้ที่อกของเขา รับรู้ได้ถึงแรงเต้นของห
โลกทั้งใบ...เริ่มชัดขึ้นอีกครั้งแสงจันทร์ทอดพาดผ่านเปลือกตา กลิ่นชาอ่อน ๆ ลอยแตะจมูก ปลายนิ้วฉันรู้สึกถึงไออุ่นจากมืออีกข้างที่กำมันไว้แน่นหนา ไม่ยอมปล่อยแม้สักวินาทีฉันกะพริบตาช้า ๆ เสียงแรกที่ได้ยิน—“เอลาเรีย…!”เสียงที่ฉันรู้จักดี ไม่ว่าจะอยู่ในฝัน ในความมืด หรือแม้แต่ในความว่างเปล่า...เพราะเขา—คือ บ้าน ของฉันฉันลืมตาขึ้นช้า ๆ แสงจันทร์ที่ส่องผ่านม่านบางทำให้สายตาพร่ามัวเล็กน้อย แต่ภาพตรงหน้ากลับชัดเจนในใจชายผู้มีดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งงดงามราวผลึกเวทมนตร์นั่งอยู่ชิดขอบเตียง เขาจ้องฉัน...นิ่งงัน ไม่แม้แต่กะพริบตา ใบหน้าของเขาซีดเผือด ผมยาวกระเซิงไม่ได้รวบไว้เช่นทุกวันหลงอวิ๋น...เขาอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีดำในแววตานั้น—ฉันเห็นรอยแตกร้าว ...แต่มันเริ่มจางหายไปเมื่อฉันลืมตา“...เอลาเรีย...” เขาเอ่ยชื่อฉันอีกครั้ง เสียงสั่นเครือราวกับยังไม่แน่ใจว่านี่คือความจริงฉันยิ้มให้เขา ลมหายใจแผ่วเบา ฉันพยายามขยับริมฝีปาก...แต่สิ่งแรกที่หลุดออกมากลับเป็น—น้ำตา