공유

บทที่ 5 พวกญาติผีดูดเลือด

작가: ฮวาฮวาน่งหยวี่
ทุกคนต่างคิดว่านางหยูเจ็บเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าการล้มครั้งนี้จะเป็นการเจ็บหนัก

เมื่อซูจื่อหังอุ้มนางหยูเดินขึ้นมา ด้านหลังศีรษะของนางหยูถูกก้อนหินกระแทกแตกเห็นเป็นโพรง เลือดไหลพุ่งออกมาอย่างไม่คิดชีวิต แขนของนางก็ถูกไม้แหลมแทง น่าสยดสยองยิ่งนัก

ไม่มีสิ่งใดจะเล็ดลอดสายตาคนในหมู่บ้านไปได้ เรื่องที่นางหยูหกล้มกระจายไปทั่วหมู่บ้านในชั่วพริมตาเดียว

หน้าบ้านของตระกูลซูเต็มไปด้วยฝูงชนที่แห่มามุงดู เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านทราบเรื่อง ก็ได้ไปตามหมอหลี่จากท้ายหมู่บ้านมา

"กรุณาหลีกทางด้วย หลีกทางด้วย" ผู้นำหมู่บ้านตะโกนเสียงดัง ฝูงชนก็แบ่งออกเป็นสองฝั่งราวกับกระแสน้ำแยก

เขาเดินก้าวยาวเข้าไปในลานบ้าน ซูจื่อหังรีบวิ่งพรวดออกมาจากห้องพร้อมกับทำมือคำนับ "ขอบคุณท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ท่านหมอหลี่รีบเข้าไปเถอะ ท่านแม่ข้า...."

อาการของนางหยูหนักเอาการ เลือดที่ไหลบนหัวของนางหยุดแล้ว แต่แขนขวาของนางยังมีเลือดไหลริน ดูท่าแล้วอาจจะใช้การไม่ได้อีก

หัวหน้าหมู่บ้านรู้ว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน ก็ไม่ได้ทักทายอะไรมากนักกับตระกูลซู รีบพาหมอหลี่เข้าไปข้างในโดยเร็ว

ภายในห้องเล็ก ๆ นางหยูนอนอยู่บนเตียงไม่รู้สึกตัว ใบหน้าและลำตัวของนางเต็มไปด้วยเลือด ริมฝีปากของนางขาวซีดราวกับผี แต่มือของนางกลับกำกระดาษแผ่นหนึ่งไว้แน่น หัวหน้าหมู่บ้านออกแรงดึงกระดาษออกมาก็พบว่าเป็นเกิงเทีย (ใบที่บันทึกวันเดือนปีเกิดของคู่หมั้น) ของถูซินเยว่

เรื่องที่เมื่อวานตระกูลถูแต่งงานผิดฝาผิดตัว เขาก็ได้ยินมาบ้างแล้ว มาวันนี้เมื่อเห็นใบเกิงเทียนี่ ก็พอจะคาดเดาเรื่องราวทั้งหมดได้

หัวหน้าหมู่บ้านกระแอมขึ้นหนึ่งที วางเกิงเทียลงบนโต๊ะอย่างเงียบ ๆ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็พบกับดวงตาที่สดใสคู่หนึ่ง

กลับพบว่าเป็นหลานคนโตของตระกูลถูใส่ชุดสีแดงนั่งยอง ๆ อยู่ตรงมุมห้อง เมื่อเห็นว่าหัวหน้าหมู่บ้านมองมา เธอก็รีบแสยะยิ้มโง่ ๆ ใส่ เมื่อเห็นสีชาดแดงสดเต็มหน้าที่เหมือนผีของเธอ หัวหน้าหมู่บ้านกระตุกมุมปากเล็กน้อย ลูกสะใภ้ที่อัปลักษณ์เช่นนี้ ไม่น่าแปลกที่นางหยูจะตกใจจนสะดุดตกคันนา

ถูซินเยว่ก็เป็นแค่หญิงสติไม่ดี หัวหน้าหมู่บ้านจึงไม่ได้สนใจอีกฝ่าย แล้วหันไปหาซูเฟิ่งอี๋และคนอื่น ๆ เพื่อสอบถามเหตุการณ์

เขาที่หันไปแล้ว จึงไม่ได้เห็นว่าหญิงสาวที่อยู่มุมห้องจู่ ๆ ก็ตาเป็นประกายขึ้นมา

“วันนี้มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมนางหยูอยู่ดี ๆ ถึงได้ตกลงไปที่คันนาได้?" หัวหน้าหมู่บ้านยืนอยู่ตรงหน้าซูเฟิ่งอี๋ แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ ซูเฟิ่งอี๋ที่ปิดปากเงียบมาตลอดกลับกระโดดโหยงราวกับถูกเหยียบหาง "เจ้าหมายความว่าอะไรกัน?" นางกลิ้งตกคันนาก็จะมาโทษข้างั้นหรือ? นางเดินไม่ดูตาม้าตาเรือ มีสิทธิ์อะไรมาโทษข้า?"

ฝอยน้ำลายปลิวไปรอบทิศ หัวหน้าหมู่บ้านรีบถอยหลังหลบไปสองก้าว

ถึงขนาดนี้แล้ว คำพูดของซูเฟิ่งอี๋ก็ยังคงไม่น่าฟัง ซูจื่อหังที่เฝ้าอยู่ข้างเตียงเม้มปากแน่น ร่องรอยของความไม่พอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา

ซูเฟิ่งอี๋ยิ้มหยันอีกครั้ง "ถ้าท่านไม่เชื่อข้าล่ะก็ คำพูดของจื่อหังท่านน่าจะเชื่อนะ ท่านลองถามจื่อหังดูสิ วันนี้ข้าได้แตะแม่ของเขาแม้แต่ปลายก้อยหรือเปล่า?"

แม่เฒ่าตระกูลซูซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ขมวดคิ้วเริ่มพูดขึ้นว่า "ลูกสะใภ้ของลูกชายคนรองของข้าเดินไม่ดูตาม้าตาเรือ เกี่ยวอะไรกับเฟิ่งอี๋? หัวหน้าหมู่บ้าน ท่านกำลังสอบปากคำนักโทษอยู่หรือไง?"

"ใช่ที่ไหนกัน ข้าก็แค่ลองถามดู” หัวหน้าหมู่บ้านรีบส่ายหัวอย่างรวดเร็ว แม่เฒ่าตระกูลซูนิสัยเจ้าเล่ห์มาโดยตลอด ขืนยังถามต่อ เกรงว่าคงต้องเกิดปัญหาแน่ ตอนนี้นางหยูยังหมดสติอยู่ ควรสนใจอาการบาดเจ็บของนางดีกว่า

หมอหลี่ดึงกิ่งไม้ออกจากแขนของนางหยูแล้ว และตอนนี้เขาก็กำลังใส่ยาและพันแผลให้นาง

"ท่านหมอหลี่ แม่ข้าเป็นอย่างไรบ้าง?" ซูจื่อหังอดไม่ได้ที่จะถาม

หมอหลี่ได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ ไม่ตอบอะไร

หัวใจของซูจื่อหังเต้นแรง ถูซินเยว่ที่นั่งหลบอยู่ข้าง ๆ ก็เริ่มกังวล เมื่อครู่เธอเห็นวิธีการรักษาของหมอหลี่ที่มีความเชี่ยวชาญ ตอนที่ดึงกิ่งไม้ออกมาก็ดูไม่มีอะไรผิดพลาด แต่เนื่องจากเธออยู่ไกล จึงไม่สามารถมองเห็นได้อย่างถนัดว่าท่อนไม้นั้นแทงเข้าที่ตำแหน่งของเส้นลมปราณหลักหรือไม่ นางหยูมีจิตใจดีและปฏิบัติต่อเธอเป็นอย่างดี ถูซินเยว่ไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับนาง

เธอจ้องเขม็งไปที่หมอหลี่ รอฟังเขาพูด

กลับคาดไม่ถึงว่าหมอหลี่ยังไม่ทันจะเอ่ยปาก แม่เฒ่าตระกูลซูจู่ ๆ ก็พูดขึ้นว่า "ส่ายหน้าหมายความว่าอย่างไรกัน กำลังจะตายอย่างนั้นรึ?"

สีหน้าของซูจื่อหังนิ่งสนิท

แต่ดวงตาของซูเฟิ่งอี๋กลับเบิกกว้างและนางก็พูดว่า: "อะไรนะ กำลังจะตายอย่างนั้นหรือ? ไม่ได้นะ ไม่ได้! ท่านแม่ เมียน้องรองจะตายไม่ได้!"

สีหน้ากังวลของนางดูไม่เหมือนเสแสร้ง ทุกคนรอบตัวมองดูซูเฟิ่งอี๋ด้วยความประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าฟูเฟิ่งอี๋ที่ดูใจคอเหี้ยมโหด ยังคงมีใจเป็นห่วงนางหยู

แต่ซูเฟิ่งอี๋พูดต่อ "ท่านแม่ ถ้านางตาย ต่อไปใครจะซักเสื้อผ้าทำอาหารให้เรากิน แล้วใครจะไปทำงานในไร่นากันล่ะ!"

จบประโยคนี้ ซูจื่อหังสีหน้ามืดมนทันที

ถูซินเยว่ที่แอบอยู่ด้านข้างกระตุกมุมปาก

ปะหลาด ปะหลาดจริง ๆ จะดีหรือร้ายก็อยู่ด้วยกันมากว่าสิบปี บ้านตระกูลซูทั้งบ้านกลับเห็นนางหยูเป็นเหมือนกับสัตว์เอาไว้ใช้แรงงาน เหตุการณ์คับขันถึงขั้นนี้ ยังคิดแต่จะให้นางเป็นวัวเป็นควายอยู่รับใช้ต่อไปแค่นั้นเองหรือ

หมอหลี่ก็สีหน้าไม่สู้ดีนัก เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า "นางหยูชีวิตพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่มือของนาง...ต่อให้มีชีวิตรอด แต่มือของนางคงใช้การไม่ได้อีก"

ซูจื่อหังหน้าถอดสี

แม่เฒ่าตระกูลซูและซูเฟิ่งอี๋ที่อยู่ข้าง ๆ ก็มีอาการตกใจเล็กน้อยเช่นกัน

หมอหลี่กล่าวต่อ "แม้ว่าจะช่วยชีวิตนางหยูไว้ได้ แต่สมองและมือของนางได้รับบาดเจ็บสาหัส ในอีกครึ่งปีคงต้องกินยาไปตลอด"

หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวเศรษฐีผู้ร่ำรวย ชีวิตประจำวันก็แค่ต้องดื่มยาเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่เมื่อเกิดขึ้นกับชาวนาผู้ยากจน กลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

แม่เฒ่าตระกูลซูหน้านิ่วทันที "ครอบครัวของเราไม่มีเงินมากพอมารักษานางหรอกนะ"

“นั่นสิ นั่นสิ พวกข้าไม่ต้องการรักษานาง พิการก็พิการไปสิ ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกข้า!" ซูเฟิ่งอี๋รีบกล่าวต่อ“เงินทองของตระกูลซูของเราใช้ไปกับการแต่งงานของจื่อหังหมดแล้ว ไม่มีพอมาใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายหรอก"

"ไม่ต้องรักษง รักษามันแล้ว มือเดียวก็ใช่ว่าจะทำงานทำการไม่ได้!"

ในบ้านเล็ก ๆ โทรม ๆ ซูเฟิ่งอี๋และแม่เฒ่าตระกูลซูส่ายหน้าไม่หยุดพร้อมพูดด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ โดยปกติแล้วเรามักจะพูดถึงการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในครอบครัว แต่พอถึงช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ต่างฝ่ายกลับต่างหาวิธีหนีเอาตัวรอด

ใบหน้าของซูจื่อหังเขียวซีด มองไปที่ใบหน้าที่เย็นชาของย่าและป้าตัวเองเขากำหมัดแน่นและพูดอย่างเด็ดเดี่ยว "แม่ข้าต้องได้รับการรักษา และต้องได้รับยา"

จู่ ๆ ซูเฟิ่งอี๋ก็เหมือนกับหนูที่ถูกเหยียบหาง เธอเกือบจะกระโดดขึ้นพลางพูดอย่างเย้ยหยัน"จื่อหัง เจ้าจะเกินไปแล้วนะ บ้านเราต้องมาเสียเงินไปเปล่า ๆ เพื่อส่งเสียเจ้าเรียนหนังสือก็ลำบากเกินพออยู่แล้ว ซ้ำยังต้องมารักษาแม่ที่พิกลพิการของเจ้าอีก...." ราวกับว่านางนึกอะไรได้ จึงกวาดดวงตาเล็ก ๆ เจ้าเล่ห์มองไปรอบ ๆ บ้านหลังเล็กโทรม ทันใดนั้นก็จับจ้องไปที่ถูซินเยว่ หัวเราะเสียงแหลม "ใช่ ๆ ๆ แล้วตอนนี้ยังมีเมียสติไม่ดีของเจ้าอีกที่ต้องให้ตระกูลซูของเราเลี้ยงดู ไม่ว่ายังไงเราก็ไม่มีเงินมาจ่ายค่ายาให้แม่เจ้า หรือว่าจะต้องให้อดตายกันทั้งบ้านเพื่อเอาเงินมารักษานางหยูงั้นหรือ?"

ถูซินเยว่ที่ถูกขานชื่อกระพริบตาปริบ ๆ อย่างไร้เดียงสา พอได้ยินซูเฟิ่งอี๋พูดว่าไม่มีเงินก็อยากหัวเราะนัก เมื่อครู่ตอนเดินเข้าประตูมาเห็นอยู่ชัด ๆ ว่าหอบเงินมาในอ้อมแขน แต่ถูซินเยว่เงียบไว้ไม่พูดออกมา เพราะเธออยากจะดูว่า สามีโดยบังเอิญที่ได้มาเหมือนจับฉลากรางวัลคนนี้เป็นคนอย่างไรกันแน่ ตอนนี้ต้องเผชิญหน้ากับผีดูดเลือดผู้เนรคุณสองตัว เจ้าจะยอมแพ้หรือไม่

อย่างไรเสียทั้งสองบ้านก็ได้แลกเปลี่ยนเกิงเทียกันแล้ว ตอนนี้เธอก็กลายเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลซูไปแล้ว ถูซินเยว่ไม่อยากให้สามีในอนาคตของเธอเป็นคนขี้ขลาด ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางดำเนินชีวิตต่อไปได้แน่
이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • หญิงอ้วนทำนา กับสามีบนเขาจอมขี้แกล้ง   บทที่ 381 ช่างคล้ายคลึงนัก

    ทั้งคู่เดินถึงหน้าประตู ปะเหมาะเวลานี้ จวนแม่ทัพหลิ่วก็มีคนเดินออกมาเช่นกัน"คนนี้ก็คือใต้เท้าซูที่เจ้าชอบอย่างงั้นหรือ" ฮูหยินหลิ่วเหลียวมองบุตรีซึ่งอยู่ข้างกาย สื่อเป็นนัยให้อีกฝ่ายอย่าได้วู่วามทุกวันนี้คราใดที่หลิ่วโหรวโหรวเห็นถูซินเยว่กับซูจื่อหังเดินมาด้วยกัน ด้วยท่าทีรักใคร่ปรองดอง นางจะรู้สึกเดือดดาลในใจ ราวกับภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิดกระนั้นนางทำเสียงฮึดฮัด "ถูซินเยว่มีวันนี้ได้ ก็เพราะอาศัยบารมีซูจื่อหัง แต่คอยดูไปเถิด หญิงบ้านนอกเช่นนาง ใหม่ ๆ ยังพอทำให้ซูจื่อหังพอใจได้บ้าง แต่พอนานวันเข้า ได้เห็นสาวงามในเมืองหลวงมากมาย ความรักของพวกเขายังมั่นคงเหมือนแต่ก่อนได้อีก ก็แสดงว่าผิดมนุษย์แล้ว"ฮูหยินหลิ่วแสดงท่าทีนิ่งเฉยแต่บุตรีพูดก็มีเหตุผล ผู้ชายในโลกนี้น้อยนักที่จะไม่คิดได้ใหม่ลืมเก่า ยกตัวอย่างเช่นสามีของนาง ในอดีตก็เคยให้คำมั่นสัญญา ว่าแม้เป็นหรือตายก็จะขอรักอดีตคนรักเพียงผู้เดียว แต่พอบ้านเขาประสบภาวะเดือดร้อน สุดท้ายก็มาเลือกแต่งงานกับตน จนบัดนี้ลืมหน้านังคนแพศยานั่นไปถึงไหนต่อไหนแล้วแสดงว่าความจริงใจของผู้ชายคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ปกติเสแสร้งทำเป็นรักมั่นจริงใจ แต่พอเอ

  • หญิงอ้วนทำนา กับสามีบนเขาจอมขี้แกล้ง   บทที่ 380 ลูกสาวจอมโง่เขลา

    หากซูจื่อหังไม่รังเกียจถูซินเยว่แล้วล่ะก็ งั้นต่อให้หลิ่วโหรวโหรววทุ่มเทแรงกายแรงใจมากแค่ไหนก็ตาม เกรงว่าก็คงไม่สามารถเข้าไปในจวนสกุลซูได้ดั่งใจปรารถนาหรอกแต่น่าขําที่ลูกสาวคนนี้ของนางกลับไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้เลย รู้แต่ไปเหยียดหยามถูซินเยว่อย่างโง่เขลาเท่านั้นนี่ถ้าทําให้ถูซินเยว่อับอายต่อหน้าทุกคนก็ว่าไปอย่าง แต่นี่กลับยังโดนถูซินเย่วตอบโต้กลับมาจนขายหน้า นี่ไม่ใช่เป็นการตบหน้าตัวเองหรือไง?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮูหยินหลิ่วก็ไม่อยากเห็นหน้าลูกสาวคนนี้แม้แต่นิดนางขมวดคิ้ว จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ใช่แล้ว เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้บอกพ่อเจ้า ถ้าพ่อเจ้ารู้ ดูสิว่าเขาจะสั่งสอนเจ้ายังไง เจ้าระวังตัวหน่อย"ภายใต้การเกลี้ยกล่อมและคําเตือนของฮูหยินหลิ่ว ในที่สุดหลิ่วโหรวโหรวก็หลับตาลง นางนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเองอย่างเซ็ง ๆ ทั้งหน้ามีแค่อารมณ์เดียวนั่นก็คือ นางไม่มีความสุขฮูหยินหลิ่วถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วเงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม ตําแหน่งของนาง มีเพิงดอกไม้อยู่ตรงกลางบดบังร่างของถูซินเยว่พอดี ดังนั้นนางจึงเห็นเพียงโครงร่างผ่านเถาวัลย์อย่างคลุมเครือเท่

  • หญิงอ้วนทำนา กับสามีบนเขาจอมขี้แกล้ง   บทที่ 379 จางเยียนหรัน

    วันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงเชิญตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ก่อนมาซูจื่อหังเคยพูดกับนางว่า เขากับตระกูลจางเข้ากันได้ดีในราชสํานัก ดังนั้นวันนี้ ถูซินเยว่ก็ไม่อยากสร้างปัญหาอะไรให้กับตระกูลจาง เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีมารยาทเห็นเหล่าฮูหยินกับหลิ่วโหรวโหรวเพิ่งเยาะเย้ยเธอเมื่อครู่ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถูซินเยว่ก็สบายใจไม่น้อย ก้มหน้าก้มตากินอาหารด้วยตัวเองไม่สนใจใครทั้งนั้นในขณะที่เธอกําลังกินอย่างมีความสุข จู่ ๆ ก็มีคนผลักแขนของเธอเบา ๆถูซินเยว่นิ่งงันไปพักหนึ่ง หันหน้ากลับไปอย่างสงสัยใคร่รู้ เห็นหญิงสาวในชุดสีเหลืองคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กําลังใช้ดวงตากลมโตจ้องมองเธออย่างอยากรู้อยากเห็นดวงตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและไร้เดียงสา แต่กลับไม่มีเจตนาร้ายเลยแม้แต่น้อยถูซินเยว่เคยเห็นคนมามากมาย เรื่องเหล่านี้เธอยังพอสามารถมองออกได้ตั้งแต่แรกเห็นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย ท่าทีของเธอก็อ่อนโยนลงมาก"ไม่ทราบว่าแม่นางมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?"ถ้าเธอจําไม่ผิด คนที่นั่งข้างเธอเมื่อกี้น่าจะเป็นผู้หญิงที่เยาะเย้ยเธ

  • หญิงอ้วนทำนา กับสามีบนเขาจอมขี้แกล้ง   บทที่ 378 หน้าแตก

    ถูซินเยว่ชะงัก และรู้สึกตลก เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็รู้สึกประหลาดใจ ตอนที่ออกจากมาตอนเช้า เธอได้สวมใส่เครื่องประดับมาหลายชิ้นจริงๆแต่ระหว่างทาง ถูซินเยว่รู้สึกว่าต่างหูระเกะระกะเกินไป จึงแอบถอดมันออกและวางไว้บนรถม้าคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าในงานเลี้ยงจะมีคนไม่กินไม่ดื่ม แต่หันมาจับจ้องที่เครื่องหัวของตนเองแทนถูซินเยว่ยื่นมือไปจับที่ผมของตนเองอัตโนมัติ จากนั้นก็พูดเสียงราบเรียบว่า "ในเมื่อวันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพ แขกสำคัญจึงเป็นตระกูลจาง แล้วเหตุใดข้าจักต้องแต่งตัวให้ดูดีขนาดนั้น""จนก็ยอมรับว่าจนเถอะ จะหาเหตุผลอะไรมาอ้างมากมายไปทำไม ในที่นี้ใครไม่รู้บ้างว่าพวกเจ้ามาจากบ้านนอก ข้าเองก็แค่รู้สึกเสียดายแทนใตเท้าซูเท่านั้น ทั้งที่มีมีอนาคตอันดี หากแต่งงานกับบุตรสาวขุนนางสักคน ก็คงยิ่งช่วยส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้า แต่กลับเลือกจะเฝ้าอยู่แค่หญิงชาวบ้านเฉกเช่นเจ้า..."ประโยคหลังแม้ว่าจะไม่ได้พูดต่อจนจบ แต่ก็สามารถเข้าใจได้ถึงแม้บนใบหน้าของถูซินเยว่จะแสดงสีหน้าใดๆ แต่สาวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ สีหน้าย่ำแย่มากแล้วนางอาศัยอยู่ที่ตระกูลซูมานาน ก็พอจะรู้ว่าถูซินเยว่ไม่ได้ไม่มีเงิน และเงินส่วนใ

  • หญิงอ้วนทำนา กับสามีบนเขาจอมขี้แกล้ง   บทที่ 377 ดูถูก

    ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านต้าเย่ เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเพราะผลประโยชน์อันน้อยนิด แม้เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ยังสามารถโกรธแค้นกันจนตัดญาติขาดมิตรไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด แค่ในตระกูลถู เพียงเพื่อสินสอดของตระกูลเหลียง ถูชิวหลานก็ดันทุรังจะสับเปลี่ยนตัวเธอกับลูกสาว ภายหลังยังไม่ยอมรับด้วย แถมยังผลักไสความผิดทุกอย่างไปที่เจ้าของร่างหากเธอไม่ได้ข้ามิติมาอยู่ในร่างของเจ้าของร่างซื่อบื้อคนนั้น นางจะใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลซูอย่างไร เกรงว่าคงเหลือแต่เสี้ยววิญญาณแล้วอย่างด้านซูเฟิ่งอี๋ในตระกูลซู ตอนนั้นพวกเขาเองก็หวงแหนเงินเล็กๆ น้อยๆ เห็นชีวิตนางหยูกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ยังไม่ยอมรักษาให้นางเรื่องราวของญาติสนิทมิตรสหายที่ทำร้ายคนใกล้ตัวเพียงเพื่อผลประโยชน์และเงินทองมีมากมายเกินกว่าจะพูด ขนาดบ้านเธอยังเป็นเช่นนี้ แล้วต้าฉีที่มีบ้านสกุลมากมายขนาดนี้ล่ะชาวบ้านธรรมดาทั่วไป อาจทำไปเพื่อเงินทอง แต่องค์ชายสามกับองค์ชายใหญ่ กลับทำเพื่อแก่งแย่งแผ่นดิน ขนาดที่เป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นความตาย และไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้"ชีวิตคนเรามีหลายเรื่องที่มักไม่เป็นดังที่หวัง ข

  • หญิงอ้วนทำนา กับสามีบนเขาจอมขี้แกล้ง   บทที่ 376 อิจฉา

    "วันนี้เป็นงานเลี้ยงของตระกูลจาง ข้าก็นึกว่าเจ้าจะพูดคุยเรื่องอะไรกับข้า คาดไม่ถึงว่าจะใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ข้าในที่ๆ ไม่มีคนเช่นนี้?"ชายผู้นั้นหัวคิ้วกระตุก รีบก้มศรีษะลงแล้วพูดว่า "กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมทราบว่าองค์ชายสามเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ไหนแต่ไรมา การที่บุตรสายตรงรับสืบราชบัลลลังก์ต่อก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แล้วไฉนองค์ชายสามจึงมิตั้งใจเป็นข้าราชบริพานบริสุทธิ์ คอยค้ำจุนเสด็จพี่ของพระองค์เล่าพ่ะย่ะค่ะ?"ฉีหวานหัวดราะเสียงดัง น้ำเสียงเย็นเยือกลงฉับพลัน เขาสะบัดแขนเสื้อ พร้อมสีหน้าเย็นชา "แม่ทัพหลิ่วพูดเช่นนี้ ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ตอนที่ข้าพบกับมือสังหารไล่เอาชีวิตตอนที่รีบเดินทางกลับมาจากเป่ยเจียงอันไกล แม้วันนี้ข้าไม่พูด เชื่อว่าท่านแม่ทัพเองก็คงทราบดีว่าเป็นฝีมือของใคร?"ถูซินเยว่ที่นั่งอยู่ในศาลาชะงักงัน ที่แท้คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับฉีหวานก็คือแม่ทัพหลิ่วนี่เอง หากนางจำไม่ผิดละก็ ก่อนหน้านี้ที่หน้าประตูตระกูลจาง ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวก็คือแม่ทัพหลิ่วผู้นี้สินะ?เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ถูซินเยว่ก็รู้สึกเซ็งขึ้นมา ถ้ารู้แต่แรกว่าพวกเขาจะคุยกันเรื่

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status