วัดแห่งหนึ่งในเมืองท่องเที่ยว
เช้าวันใหม่เมฆเลื่อนคล้อยกาลเวลา ใบไม้ปลิดปลิวไสวเอนโน้มกิ่งไปมาตามธรรมชาติ ลมอ่อนพัดโชย
ภาพถ่ายสีขาวดำชายผู้ชรา ป้ายบอกชื่อ วันชาตะและมรณะ ควันธูปลอยอบอวนตามลม ดอกไม้ ทั้งของกิน
ตามความเชื่อที่ว่านำมาไหว้แล้วจะส่งถึงผู้ตาย
"ตาจ๋า"เพียงแค่เอ่ยถึงร่มโพธิ์ร่มไทรที่เคยให้ร่มเงาบังแดดลมฝนในยามอ้างว้าง
ความกดทับแน่นจุกในอก หยาดน้ำตาร่วงเผาะราวกับเม็ดไข่มุกล้ำค่า
"หนูอาจจะต้องทำผิดคำสัญญาที่เคยให้ไว้"
"ตาบอกเสมอ ศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงเก็บไว้ให้สามีในวันแต่งงาน"
"เพื่อพระจันทร์ หนูจะต้องทำมันเพื่อแลกกับเธอ"
"ยายได้รับการผ่าตัดแล้วนะคะ"
"หนูบอกตาแล้ว ถ้าเกิดวันหนึ่งยายจับได้ว่าหนูไม่เชื่อฟังตาต้องช่วยจันทร์เสี้ยวด้วยนะจ๊ะตา "
"หนูคิดถึงตาเหลือเกิน"
ความขับค่องหมองใจพลุ่งคลื่นออกมาอีกระลอกหนึ่ง
สุสานเงียบงัน มีเพียงเสียงใบไม้ไหวกับกลิ่นควันธูปที่พัดผ่านหัวใจให้ปวดหนึบ นอกจากผู้ปฏิบัติธรรมที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวาย และคนเฒ่าแก่ชราถึงจะมานั่งณ สถานที่แห่งนี้ แต่ฉไหนเลยถึงได้มีเสียงใสของเด็กสาว
อีกมุมหนึ่ง
ทุกวันพระใหญ่หรือวันสำคัญต่าง ๆ คุณยายดวงแก้ว มักจะมาทำบุญให้สามีผู้ล่วงลับเสมอ ทุกครั้งหลังจากทำบุญเสร็จ ก็มักจะมานั่งสมาธิเป็นเพื่อนตา บ่อยครั้งที่ได้ยินเสียงเด็กสาวคุยกับผู้ล่วงลับ
บางครั้งเล่าเรื่องราวดี ๆ บางครั้งปรับทุกข์ แต่ครั้งนี้เธอพูดพลางร้องไห้กับทุกประโยคที่กล่าวออกมา
"โถ แม่หนูช่างน่าสารเสียจริง"
ความสลดสังเวชใจ ยายดวงแก้วไม่อาจครองใจอยู่ในสมาธิได้อีกต่อไป
การมองผู้อื่นมันเป็นเรื่องที่เสียมารยาทมาก ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณยายไม่เคยคิดจะทำ
แต่ครั้งนี้ไม่อาจทนดูเพื่อนมนุษย์ตกทุกข์ได้ยาก
หากเรื่องราวที่เด็กสาวพูดทั้งหมดเป็นเรื่องจริง เธอเป็นเด็กใช้ได้คนหนึ่ง คุณยายรู้สึกทั้งชื่นชมในความดี ทั้งระคนสงสารที่ชีวิตเด็กคนหนึ่งต้องแปดเปื้อน
เด็กสาวใบหน้าแลดูคุ้นเคย สายตาฝ้าฟางมองไม่ถนัดมือขยับแว่นมองอีกที
เด็กคนนั้น!
คุณยายจำเธอได้
ในวันที่ทุกคนแสนยุ่งคุณยายเดินทางมาทำบุญไร้เงาคนดูแล เธอเด็กสาวผู้น่ารักทั้งที่ไม่รู้จักกันแต่อาสาช่วยขนของเบาแรงคนแก่
วันแรกนาขวัญ
เป็นวันสำคัญคุณยายมาวัดเช่นเคย วันมหามงคลใหญ่ คุณยายนำของมาทำบุญเยอะเสียจนขนเองไม่ไหว ทั้งใส่บาตรและแจกในโรงทาน
"หนูช่วยค่ะคุณยาย"
เสียงใสใบหน้าเบิกบานช่วยขนต้นเทียน สังฆทาน ผลไม้ ขนมไทย นม อาหารคาว
"อันนี้คืออะไรเหรอลูก"
"เป็นชุดธูปเทียนพร้อมแผ่นทองค่ะ"
"หนูทำมาถวายวัด"
"น่ารักจังลูก เดี๋ยวนี้เลยคนหนุ่มสาวสมัยใหม่ไม่ชอบทำบุญ"
"แต่หนูกลับทำสิ่งนี้มาทำบุญ ทั้งสามสิ่งล้วนมีความหมาย"
จันทร์เสี้ยวยิ้มหวานตาหยี เธอก็หวังว่าการบริจาคต้นเทียนจะชีวิตสว่างไสวไร้ความมืดมน
บริจาคธูป ความดีของเธอและเธอจะเป็นผู้มีกลิ่นตัวหอมฟุ้งขจรไปทั่วทุกสารทิศ
บริจาคแผ่นทอง เพื่อแสดงถึงความเคารพบูชา
จันทร์เสี้ยว
ใบหน้าเปียกปอน จากการร้องไห้ เมื่อได้ระบายความในใจจนหมดสิ้น จันทร์เสี้ยวรู้สึกโล่งราวกับปัญหาคลี่คลาย
เธอเตรียมจะหันหลังกลับ
ทันใดนั้นเสียงเรียกดังขึ้นด้านหลัง
"หนู"
เสียงใครคนหนึ่งกำลังเรียก ร่างบางเบิกตาโพลง บ่อยครั้งที่มานั่งไม่เคยกลัวผีเพราะคิดว่าไม่มีจริง
หรือจะเป็นผีจริง ๆ เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอรู้สึกหนาวเสียวสันหลัง ความหนาวเหน็บเย็นเยียบแล่นจากปลายเท้าไต่มาถึงกลางหลัง เธอรู้สึกถึงลมหายใจที่ไม่มีต้นตอ ลมหวิวเย็นวาบที่แทรกผ่านหลังคอ…เหมือนใครบางคนกำลังจ้องมองอยู่ในเงาไม้
ฝีเท้าที่กำลังจะก้าวเดินหนีไม่รู้มันคือสิ่งใดกันแน่
มีบางอย่างคว้าเข้าที่หัวไหล่ จันทร์เสี้ยว เธอสะดุ้งเฮือกหน้าซีดเผือด เหงื่อผุดราวกับอาบน้ำทั้งใจเต้นโครมครามแทบทะลุอกมาเต้นนอกกาย
"อย่าหลอกหนูเลยนะคะ หนูกลัวแล้ว"
มือทั้งสองพนมไหว้เสียยกใหญ่
"หนูจ๊ะ"
"ว้าย พ่อแก้ว แม่แก้วช่วยหนูด้วย"
ขาพยายามวิ่งออกกลับยังยืนอยู่ที่เดิมเพราะมีสิ่งยึดเธอไม่ให้วิ่ง จากหนึ่งเป็นสอง ในเมื่อหนีไม่ได้ หลับตาอุดหูแล้วกัน
"ยายเอง คนจ้ะ"
ร่างสูงโปร่งมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้เขายืนพิงต้นไม้กอดอกมองจันทรเสี้ยวที่กำลังกลัวผีกลางวันแสก ๆ
"คนเหรอคะ"
"จับมือยายดูถ้ายังไม่เชื่อ"
จันทร์เสี้ยว แตะมือที่บ่าไหล่ด้วยอาการกล้า ๆ กลัว ๆ เพียงนิ้วเรียวสัมผัสโดนเนื้อนิ่มอุ่น เธอใจชื่นในทันที
"คนจริงด้วยค่ะ"
จันทร์เสี้ยวกำลังจะหันไปหาคุณยาย สายตาคมเข้มที่ยืนมองพลางเดินเข้ามาใกล้ อยากแกล้งให้เธอตกใจอีกครั้ง
แฮ่
ว้าย.....
จันทร์เสี้ยวตาค้างในอากาศ ผวาสุดขีด ใจหล่นวูบไปถึงตาตุ่ม ครั้งนี้เธอถึงกลับเป็นลม
ร่างบางทิ้งตัวลง ทิวสนเห็นเข้าพอดีใจหายวาบรีบโผเข้าประคองรับเธอไว้
"คุณครับ คุณ"
"เธอเป็นลมไปเสียแล้วหลานเล่นอะไรไม่รู้เรื่อง"
ทิวสนพยุงร่างของหญิงสาวขึ้นรถด้วยความระมัดระวัง เสียงใจเขายังเต้นแรงไม่หาย จากที่แกล้งกลายเป็นต้องดูแลอย่างจริงจัง
บ้านสวน
บ้านสวนเรือนบุหงาในยามเย็นคลาคล่ำด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้และไอดินชุ่มฝน พายุฝนเพิ่งหยุด ทิวสนอุ้มร่างจันทร์เสี้ยววางบนเตียงในห้องรับรองอย่างเบามือ
ดวงหน้าคมขาวเนียน ปากอิ่ม ขนคิ้ววาดโค้งสวย ขนตาเป็นแพงอนยาว เรือนหน้าครบเครื่อง ดึงดูดให้ เขาลอยมองเธออย่างลืมตัว
"สาวบ้านป่า สวยเหมือนกันนะเนี้ย"
เขาถูกกำชับให้นั่งเฝ้าเธอจนกว่าจะตื่น
จันทร์เสี้ยวรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมของไข่เจียวลอยมาแตะปลายจมูก
"ที่นี่ คือที่ไหน "เธอกรอกตามองเพดานก่อนจะขยับตัวช้า ๆ
เธอนึกย้อนเหตุการเมื่อตอนเช้า
ทิวสนนั่งบนเก้าอี้ปลายเตียง สายตาคมมองเธอด้วยแววตาอ่านไม่ออก
เสียงของใครคนหนึ่งเห็นเสี้ยวจันทร์ตื่นแล้วจึงถามอาการ
"ตื่นแล้วเหรอ"
เขาคือใคร
คุณคนนั้น เธอเจอที่หน้าห้องน้ำ
"คุณ"เสี้ยวจันทร์เรียกเขาน้ำเสียงตกใจเล็กน้อย
"คุณทิวสนคะ อาหารพร้อมแล้ว คุณท่านให้มาเชิญทั้งคู่ไปทานข้าวค่ะ" คุณป้าวัยกลางคน ท่าทางนอบน้อม หยุดบทสนทนาระหว่างเธอและเขา
ร่างสูงหล่อเหล่าลุกยืนเต็มความสูง กำลังจะกล่าวขาออกไปทานข้าว
เขามองเธอผ่านหางตา แต่ทว่าร่างบางยังคงนั่งเฉยไม่ยอมลูกตาม
"ลุกไปทานข้าว"น้ำเสียงเรียบ
"ค่ะ"จันทร์เสี้ยวตอบพลางลุกตาม
รอยยิ้มบาง ๆ ของเขา ไม่ใช่แค่แกล้ง…แต่มันเหมือนกำลังเปิดประตูบางอย่างในใจ
จันทร์เสี้ยวยังงุนงง ตะกุกตะกักถามอะไรไม่ออก เสียงฝนที่ยังเกาะใบไม้ข้างนอกทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกพาไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง
โต๊ะอาหารกลางเรือนไม้ ระลานตาหลากหลายเมนู อาหารทุกอย่างวิจิตรทั้งงดงามส่งกลิ่นหอมชวนท้องร้อง
"แม่บ้านตักข้าว"เสียงคุณยายดวงแก้วสั่งป้าแม่บ้าน
เธอยืนมองเก้กัง ไม่กล้านั่งร่วมโต๊ะอาหาร
"นั่งเร็วลูก"
คุณยายยกลูกตาลลอยแก้วมาวางตรงด้านหน้าเธอ มืออุ่นดันหลังให้เธอนั่งลงข้างเขา
ชายหนุ่มที่เธอเคยเจอเขาหน้าห้องน้ำ
เธอนั่งลงอย่างว่าง่าย ผู้ใหญ่เชิญขนาดนี้แล้ว เกรงว่าจะเสียมารยาทถ้าหากยังยืนอยู่เช่นเดิม
"แกงส้มดอกชบาจ้ะ หนู"
คนสมัยก่อนทำอาหารใช้สัมผัสทั้งห้า รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส
"ดอกไม้นี้ยายค่อย ๆ แกะสลักจากฟักจนเป็นดอก "
คุณยายดวงแก้วตักแกงส้มดอกชบาใส่กุ้งลงบนถ้วยเล็ก ยื่นให้จันทร์เสี้ยวก่อนยื่นให้ชายหนุ่มนั่งที่นั่งข้างเธอ
"อร่อยจังเลยค่ะ"
"หนูไม่เคยทานที่ไหนอร่อยเท่าฝีมือคุณยายเลยค่ะ" คำแรกเข้าปากกลมกล่อมเหมือนเหาะได้ ความอร่อยของอาหารเธอเอ่ยชมไม่ขาดปาก
"อร่อยก็ทานเยอะ ๆ นะลูก"
"ของกินเข้าปากแล้วเป็นคนละคนเชียวนะ พูดคล่องเป็นน้ำไหลไฟดับเชียว"คนที่นั่งข้างเธอพูดโพล่งออกมา
แค่คำพูดไม่กี่ประโยคไม่สะท้านใจเธอเลยที่ผ่านมาผู้คนภายนอกดูถูกไม่ใช่น้อย ไม่ใช่ว่าเข้มแข็ง แต่มันผ่านความเจ็บปวดจนชินชาจนกลายเป็นเฉย ๆ
"พี่เขาแหย่เล่น นะลูกอย่าถือคนบ้า"
"ไม่เป็นไรเลยนะคะ คุณยายหนูเข้าใจและชินแล้วล่ะค่ะ" เธอพูดพลางยิ้ม
"เห็นไหม ขอโทษน้องเดี๋ยวนี้"
"ยังอีก อยากให้ยายโกรธตายหรืออย่างไร"
เพราะคำว่ารักและกตัญญู ทิวสนกลัวว่าไม่ทำตามใจผู้เป็นยาย อาจทำให้ท่านโมโหจนเข้าโรงพยาบาลจึงรีบขอโทษเด็กสาวอย่างขอไปที
"ขอโทษ"
"ไม่เป็นไรค่ะ"
"กินให้อิ่ม ๆ ซะ เพราะที่บ้านเธอคงไม่ได้ทานดีขนาดนี้หรอก"
"หลานคนนี้ ผีเจาะปากหลานมาหรือไง"
"พูดกับน้องดี ๆ หลานต้องไปส่งเธอกลับบ้านด้วย"
"....."
ทิวสนได้แต่นิ่งไม่กล้าขัด จันทร์เสี้ยวยิ้มหวานที่เขาโดนดุเรื่องเธออีกครั้ง
"หนูชื่ออะไรลูก"
"จันทร์เสี้ยวค่ะคุณยาย"
"คนนี้พี่ทิวสนนะ ส่วนยายชื่อดวงแก้ว "
"ยายจำได้วันนั้นหนูช่วยยายขนของ"
"อ้อจำได้แล้วค่ะ"
เสียงหัวเราะของยายและจันทร์เสี้ยวที่เล่าเรื่องในวัดวันพระครั้งก่อนดังกลบอีกคนที่ทานข้าวอย่างเงียบ ๆ หลังจากโดนดุ
ที่จริงเขาแค่แกล้งเล่นเท่านั้นเอง
ประหลาดเสียจริงการได้พบเจอเธอ
พูดคุยหยอกเย้า หัวใจของเขาที่เคยมีความโกลาหลวุ่นวายยุ่งเหยิงบัดนี้ทว่ากลับอบอวลไปด้วยความสุข
ราวกับยืนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ
สวนดอกไม้
บุหงาอาส่าหรี ยลโฉมฤดีงามหวาน พร่างพราวแต่งแต้ม พิมใจมิรู้ลืมพี่เอย
ดอกไม้หลากหลายสายพรรณ บานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมชวนให้หลงไหล ลมพัดโชยโน้มกลิ่งบุหงาเข้าหาเรือน
มือบางเอื้อมดึงชมดมดอมละมุนเย็นปากอิ่มยิ้มหวานแก่ดอกไม้ ร่ายกลอนแผ่วเบา
"เธอหอมจัง เจ้าบุหงา"
บ้านหลังนี้ราวกับน้ำมนต์เก้าวัด ที่เพียงอาบความเศร้าอ้างว้างเดียวดายพลันหายเป็นปลิดทิ้ง
เสียอย่างเดียวหลานชายคุณยายเหมือนไม่ชอบเธอ
แต่ช่างเขาเถอะ ตอนเด็กคงขาดความอบอุ่น
"กวีเอกจากไหนมาเกิดกลางเรือนดวงแก้ว"
ว้าย
"ตกใจหมดเลย" เธอยกมือทาบอกอย่างเสียขวัญ
"ทำไม มัวแต่ใจลอยคิดว่าจะขโมยอะไรดีใช่ไหม"
"นักต้มตุ๋นใช่ไหม ใช่แน่ ๆ "
"เธอเห็นยายฉันแก่แล้ว จะมาหลอกเงิน"
"'นี่คุณ หัดมองโลกในแง่ดีบ้างนะคะ คุณอาจจะเจอเรื่อง ร้าย ๆ มา"
"แต่ไม่ควรเหมารวมฉัน" เสียงหวานโต้แย้ง ไม่ยอมโดนว่าฝ่ายเดียว
แต่แล้วเสียงของยายดวงแก้วเรียกหาจันทร์เสี้ยว ทั้งคู่จึงหยุดปะทะกัน
"อันนี้ลูกชุบและถุงทองเอาไปฝากจันทร์เสี้ยว นะลูกวันไหนว่าง ๆ มาเที่ยวหายาย "
"คิดเสียว่าที่นี้คือบ้านญาติผู้ใหญ่"
"ค่ะ สวัสดีค่ะ"
เสียงเหยียบคันเร่งเครื่องเตือน จากคนภายในรถ จันทร์เสี้ยวยกมือไหว้ลาคุณยายดวงแก้ว พลางกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปยังรถ
เสียงประตูรถเปิดปิดลง
เขายังไม่ยอมออกรถในทันที
"มานั่งข้างหน้า ฉันไม่ใช่คนขับรถเธอ"
"ค่ะ ที่นั่งหลังเพราะกลัวคุณรังเกียจฉันค่ะ"
"คาดเข็มขัดด้วย"
"ค่ะ"
มือบางที่กำลังคว้าเข็มขัดมาคาด คันเร่งถูกเหยียบพุ่งออกไป แล้วเหยียบเบรกทันที
"โอ๊ย"
หัวเธอโขกกับแผงคอนโซลรถเข้าอย่างจัง
"นี่คุณ "
"หึ เหมาะสมแล้ว พวกผู้หญิงชอบวางแผน หลอกลวง"
"คุณพูดถึงอะไรคะ"
"ฉันไม่เข้าใจ"
ไร้เสียงตอบ มีเพียงเสียงรถที่แล่นฉิวบนท้องถนน
เช้าวันนี้ทิวสนเดินทางไปทำงานทั้งที่เมื่อคืนป่วยหนัก ใจเขาไม่อยากทิ้งภรรยาคนงามไว้ที่บ้านเพียงลำพัง แต่ด้วย โครงการเร่งด่วน บีบบังคับให้เขาพากายที่ไร้หัวใจเข้าประชุมพนักงานทุกฝ่ายเข้าประชุมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อได้เผลอทำในสิ่งที่เจ้านายไม่ได้สั่งและปิดบังจนเรื่องบานปลาย หัวหน้าโครงการนั่งตัวเกร็งเหงื่อตกเปิดหาเอกสารด้วยอาการร้อนรน"นี่ครับ คุณทิวสนเอกสารที่คุณต้องการ"มือที่ยื่นแฟ้มเอกสารให้ผู้เป็นนายด้วยอาการสั่นเทาเล็กน้อย ก่อนจะปาดเหงื่อบนใบหน้า สายตาคมเข้มรอบมองลูกน้องอย่างเงียบ ๆ ก่อนเอ่ยประโยคที่ทำให้พนักงานในห้องประชุมถึงกับงงกันเป็นแถว "ในเมื่อผิดพลาดไปแล้ว ก็ต้องรีบแก้ไข วันนี้ทุกคนคงต้องอยู่ทำงานจนดึก เดี๋ยวให้ฝ่ายบุคคลสั่งอาหารเย็นให้ วันนี้พอแค่นี้ไปทำงานเถอะ"ทิวสนในสายตาลูกน้องคือคนเคร่งคัดเป็นระเบียบ ดุ จริงจังกับการทำงานห้ามผิดพลาดและบทลงโทษสำหรับคนผิดพลาดนั้น ทุกคนต่างพากันหวาดกลัวเป็นที่สุด กร ถอนหายใจทันทีที่หลังพ้นประตูห้องประชุม สำหรับเขาแล้วมันคือขุมนรกที่มัจจุราชกำลังพิพากษาตัดสินโทษแก่ดวงวิญญาณผู้ได้พลั้งมือฆ่าคน "นึกว่าจะโดนไล่ออกซะแล้ว""นั่นสิ สาธุ ศั
ใบหน้าหล่อคมเต็มด้วยรอยช้ำ เสี่ยงเพ้อหลุดจากปากปลุกให้ร่างอวบอิ่มตกใจตื่นขึ้นมา"คุณทิวสน คุณทิวสนคะ"เธอเอ่ยเรียกด้วยอาการกึ่งหลับกึ่งตื่น ทว่าคนที่เธอเอ่ยปากเรียกกลับไร้เสียงตอบรับ แถมยังเพ้อไม่หยุด จันทร์เสี้ยวสลัดความง่วงที่เกาะกุมให้หลุดก่อนใช้มือไปสัมผัสตัวเขาพลางเขย่าเบา ๆ นอนอะไรขนาดนั้น เรียกก็แล้ว เขย่าก็แล้ว เธอนึกโมโหในใจ มือเรียวจึงคว้าเปิดๆหัวเตียงก่อนขยับลุกขึ้นนั่ง ตั้งท่าจะไปบ่นให้เขาเสียเต็มที่ ทว่าใบหน้าหล่อเหลาบัดนี้ซีดเซียวราวกับไก่ต้ม เธอใช้มืออังวัดไข้ เพียงสัมผัสบางเบาก็รับรู้ได้ถึงความร้อนระอุเธอจึงรีบลุกจากเตียงเดินตรงไปยังห้องแต่งตัว เปิดหาผ้าขนหนูผืนเล็กสำหรับเช็ดตัว ไม่นานเธอกลับออกมาในมือถือถังใส่น้ำอุ่นและกระเป๋ายาเดินตรงมายังเตียง เปิดกล่องยาใช้เครื่องวัดไข้ วัดที่หน้าผากเขาหน้าจอแสดงผลอุณหภูมิสูงถึงสามสิบเก้าองศา ไข้สูงเชียว ทำไมฉันต้องมาดูแลคนที่ทิ้งฉันไปด้วย แต่ช่างเถอะพรุ่งนี้ยังไงฉันก็จะไปจากที่นี่แล้ว แค่ตอนนี้ช่วยเหลือถือซะว่าเอาบุญ ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้น ท่องไว้ จันทร์เสี้ยวเมื่อนึกได้ดังนั้นเธอจึงเริ่มลงมือเช็ดตัวให้เขาจนไข้ลดลง ความเ
"คุณเห็นจันทร์เป็นอะไร" มือบางที่กำแน่น...มันแน่นจนตัวเธอเองก็รับรู้ได้ถึงรอยเล็บที่ฝังลงบนเนื้อตัวเอง ทุบไปยังไหล่เขา ที่บัดนี้ไม่ยอมปล่อยให้เธอเป็นอิสระความเจ็บคอยย้ำเตือนตนเองภายในใจ...เจ็บตอนนี้ดีกว่ากลับมาอยู่ในสถานะเขารักก็ดีด้วย พอไม่รักเขาก็ไม่เห็นค่า..."โอ๊ย"ใบหน้าคมถึงกับนิวหน้า ราวกับว่าโดนของมีคมแทงทะลุเนื้อไหล่เขา เลือดค่อย ๆ ซึมทะลุชุดนอน"คุณเป็นอะไรคะ ทำไมถึงมีเลือด" เธอรีบปลดกระดุมเสื้อเพื่อดูที่มาของเลือดเขาไม่ตอบกับเพียงยิ้มที่เห็นคนบางคนเมื่อกี้ยังต่อว่าเขาอยู่ พอเห็นว่าเขาไม่สบายกลับแสดงอาการเป็นห่วงทันทีที่ปลดเปลื้องเสื้อออกเผยให้เห็นท่อนบนที่เปลือยเปล่ากล้ามเนื้อเป็นลอนที่เธอคุ้นเคย เลือดแดงฉานซึมทะลุผ้าปิดแผลเพราะเธอเป็นคนทำ"แผลน่าจะปริ ไปหาหมอเถอะค่ะ"เธอที่ทำเตรียมจะลุกพาเขาไปหาแต่มือหนายังคงรั้งเอวบางไว้ในอ้อมแขน"ไม่ต้องไปหรอก...แค่หนูห่วงใยพี่แผลนี้ก็หายแล้ว"คำที่เขาเอ่ยออกมามันทำให้ใจของเธอราวกับดอกไม้แห้งเฉาได้รับน้ำจากคนสวน สดชื่นแต่ต้องรอคอย ซึ่งเธอไม่อยากเฝ้ารอการดูแลจากใครอีก เธออยากเป็นดอกไม้ที่เติบโตข้างริมน้ำ"แค่วันนี้เท่านั้นค่ะ พรุ่งนี้จั
บรรยากาศภายในรถปกคลุมไปด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่ดัง สายตาคู่งามมองทอดออกไปนอกบานกระจกรถ ใจอยากให้ถึงบ้านเสียเร็ว ๆ ไม่ต้องทนอยู่กับซาตานน้ำแข็งเช่นเขา ถึงแม้ว่าช่วงนี้ท่าทีของเขาแปลกไป อ่อนโยนขึ้น เธอก็ไม่อาจคาดเดาความคิดเขาได้ว่าจะระเบิดความเคียดแค้นใส่เธออีกตอนไหน ทว่าวันนี้เขาขับช้ากว่าปกติ ยิ่งกินอิ่มท้องผนวกกับความเย็นของเครื่องปรับอากาศเธอรู้สึกสบายตัวจนไม่อาจต้านทานความง่วง ผล็อยหลับไปในที่สุด สายตาคมลอบมองเธอลมหายใจที่ดังสม่ำเสมอจากร่างบางที่บัดนี้อวบขึ้นเล็กน้อยกำลังนอนหลับตาพริ้มแก้มเนียนอมชมพู ในขณะเดียวกัน มือหนารีบประคองใบหน้างามที่กำลังเอนตกจากการหลับลึกให้อยู่ในท่าที่นอนสบาย อย่างเบามือ อย่างเกรงกลัวว่าเจ้าของความงามนี่จะตื่น เปรียบดั่งรักษาน้ำหยุดสุดท้ายที่มีในมือไม่ให้ร่วงหายไป ทว่ามือบางกลับไม่ยอมปล่อยแขนของเขาให้เป็นอิสระเธอดึงรั้งเอาไว้ก่อนขยับตัวเข้าหากอดแขนของเขาแน่นยิ่งกว่าเชือกที่ผูกตาย...ไม่สามารถหาทางแก้ได้ "คนใจร้าย..."เสียงหวานพร่ำเพ้อพูดในขณะที่ยังหลับ แม้ยามหลับฝันเธอยังต่อว่าเขาขนาดนี้ นับประสาอะไรกับตอนตื่นเธอต้องไม่ให้อภ
บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความเงียบชั่วขณะ ทุกคนทานข้าวอย่างเงียบ ๆ อย่างรอคอยคำตอบ ของจันทร์เสี้ยว "แต่ยายว่ามันคือข่าวดีสำหรับบ้านของเรานะลูก ไม่ผิดแน่นอน อาการของทิวสนเหมือนคุณตาตอนที่ยายตั้งครรภ์แม่เข็ม และเหมือนพ่อไผ่ตอนที่แม่มะลิตั้งครรภ์ทิวสน บ้านเรามันเป็นกรรมพันธุ์สามีแพ้ท้องแทนภรรยา" "ตอนนี้ทิวสนเหมือนตาสมัยหนุ่ม ๆ ง่วงนอนท้้งวัน แถมทานต้มกล้วยอีกอาการชัดขนาดนี่" "วันนี้ข่าวดีจริง ๆ อยู่ที่นี่กับตาและยายนะจันทร์เสี้ยว ไม่ต้องไปไหน ส่วนใครมันไม่ยอมรับอะไร ก็ปล่อยมันไป ตาเลี้ยงเองเหลนคนนี้" "ค่ะ ขอบคุณสำหรับความรักที่คุณตาและคุณยายมอบให้จันทร์นะคะ แต่จนไม่อาจทนอยู่ในที่มองว่าจันทร์ทำผิดได้ ให้ฉันไปเริ่มต้นชีวิตใหม่เถอะนะคะ หนูขอร้อง" "เด็กต้องเกิดท่ามกลางสายตาคนเป็นพ่อที่ไม่ยอมรับแม่ของเขามันโหดร้ายเหลือเกิน....สำหรับผ้าขาวหนึ่งผืน" ไม่เป็นไรเลยนะลูกแม่สามารถเลี้ยงลูกได้ เธอสื่อสารกับลูกในท้อง การแต่งงานครั้งนี้ค่าสินสอดแต่งงาน ยายของเธอไม่เรียกร้องสักบาท ขอเพียงเขาดูแลเธอเท่านั้นเอง ทว่าในเมื่อมันไปต่อไม่ได้ ถอยออกมาย่อมดีกว่า เงินค่าสินสอดที่เธอได้พอทำให้เธอยกฐานะจากหาเช้
หลังจากหย่าทิวสนคิดว่าตนเก่ง เพราะเขาเคยได้รับวัคซีนทางใจมาแล้วจากภรรยาคนเดิม พอแต่งอีกครั้ง มันยังผิดหวังอีก เขาจึงมองว่ามันเป็นแค่จุดเปลี่ยนของชีวิตเวลาผ่านไปสองเดือน เขากลับหวนคิดถึงแววตานั้นอีกครั้ง นี่นายเป็นอะไร แค่เด็กขายตัวคนเดียว ที่เปลี่ยนมาเป็นเมียแต่งแค่ไม่กี่คืน จะคิดถึงทำไม นายนอนกับผู้หญิงมาตั้งเท่าไหร่ แต่ทว่าตั้งแต่เลิกกับเธอไป...เขาไม่เคย ซื้อใครอีกเลย เขาเลือกที่จะทำงานหนักในทุกวันเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นกลบความคิดถึงที่กำลังก่อตัวอย่างเงียบ ๆ ให้ดับวูบในทันที กิตตินำกาแฟมาเสริฟเขาตามเช่นเคยในทุกวัน"อเมริกาโน่ครับ"เอาออกไปเลย เหม็นจนเวียนหัวจะอ้วกเขาเอามืออุดจมูก พร้อมเดินเข้าไปยังห้องส่วนตัวที่คล้ายกลับยกบ้านมาไว้ที่ทำงาน "นายเลื่อนประชุมหน่อยนะ ฉันไม่สบาย"เขาพูดพลางล้มตัวลงนอนที่โซฟาหลับยาวตั้งแต่สิบเอ็ดโมงถึงสี่โมงเย็นเขาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเวียนหัวอยู่ดี ง่วงนอน อยากทานของดอง...เขานึกพลางคิดว่าจะไปทานที่ไหนได้"กลับโรงแรม หรือคอนโดครับ"กิตติเตรียมตัวเก็บของและขับรถไปส่งผู้เป็นนาย"กลับบ้านสวน"เขาเอ่ยพร้อมเดินผ่านห้องพักพนักงาน ได้กลิ่นบางอย่าง เขา