องค์กรดาร์ก สมาคมสำหรับผู้บ้าอำนาจ ถูกแต่งตั้งด้วยรุ่นเก๋าอย่างพ่อของเรกาโด แม้จะถอนทัพไปนานแล้ว ทว่าเบื้องหลังทั้งหมดยังมีเขาอยู่ เรกาโดตื่นเช้าเพื่อเข้าประชุมตามคำบัญชาที่ส่งมาทางสมาร์ทโฟนไร้สาย หน้าขรึมบัดนี้ขรึมยิ่งกว่า เพราะต่อให้หงุดหงิดแค่ไหนกับความยุ่งเหยิงก็ต้องเก็บกักมันไว้ ก่อนศีรษะโค้งคำนับลงหลังถึง
" นั่งสิ "
ร่างบึกบึนที่ไม่ยอมแก่แม้หนวดเคราจะแฝงสีขาวผายมือเชื้อเชิญ แน่นอนลูกชายถอดแบบจากเขาไม่มีผิด เขาไม่นั่ง
" ผมมา เพื่อจะฟังเรื่องสำคัญของท่านเท่านั้น คิดว่าคงไม่นาน "
ใครเล่าจะนั่งสนทนากับคนที่ขึ้นชื่อทำให้แม่เขาตายลง เรกาโด วิส เม้มปากแน่น คำรามฮึมฮัมในลำคอ เดินฟึดฟัดไปหยุดข้างหน้าต่าง เขาหันหลังให้ ส่วนลูกชายยืนยืดอกนิ่ง สูทที่สวมใส่ของทั้งคู่ คงความเป็นผู้ดีบ่งบอกถึงการไว้หน้า ไม่ทำตัวกร่างต่อหน้าลูกน้องได้ดีเลยทีเดียว
" แกพาเด็กคนนั้นเข้ามาอยู่ในบ้าน ได้สืบหัวนอนปลายเท้าหล่อนรึยัง "
แน่นอนครูซัสพ่นลมหายใจพรืด เดาไม่เคยผิดว่าต้องเป็นเรื่องนี้
" เธอเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่เกิด โตมาจากที่นั่น จะต้องสืบอะไรอีก "
" ก็ไม่ได้หมายความว่าพ่อแม่หล่อนตายแล้วนี่ "
" แค่ผู้หญิงคนเดียวเท่านั้นฮะพ่อ อย่าได้กังวล"
" ผู้หญิงคนเดียว แกคิดว่ามันไม่โตขึ้นมารึไง! หากรู้เรื่องในองค์กร.."
" ผมไม่มีทางพาเธอเข้ามาในโลกของผมและองค์กรอันห่วยแตกของพ่อหรอกโอเค๊? "
คำเถียงประสานกันก่อนหยุด หลังทำลูกน้องคนพูดทั้งสองฝ่ายพากันสะดุ้งโหยง เกรงฝ่ายคนเป็นพ่อจะอารมณ์ร้อนชักปืนขึ้นมายิงเฉี่ยวกบาลลูกชายอย่างคราที่แล้วอีก จึงได้แต่คอยระแวดระวัง ทว่า เมื่อถึงยุติด้วยคำตะเพิดของครูซัส เสมือนเป็นคำประกาษิต พวกเขาก็สบายใจ
" ฮึ แม่แกคงตายตาหลับ ลูกชายที่ไม่เคยเอาไหนอย่างแก เกิดบ้าจี้มาทำตามฝันให้ขึ้นมา "
เรกาโด วิสประชดแดกดัน ยกมือไขว้หลัง หันมาทางเขา ครูซัสถอนหายใจอีกระลอก ประชดกลับคืนเช่นเดียวกัน ก่อนหมุนตัวกลับ โดยไม่ลืมคำนับ ซึ่งนั่นทำบิดาเขาเดือดดาลน่าดู
" แม่ตายตาไม่หลับ ตั้งแต่ที่มีพ่อเป็นสามีแล้วล่ะครับ จบธุระท่านนะครับ ผมขอตัว "
ปัง!!
" ไอ้บิ๊กครูซ แก ไอ้ลูกเวร! "
เขาตบโต๊ะสะเทือนห้อง ตะโกนไล่หลังเขาไปติดๆ
เอมิเลียหอบของพะรุงพะรังเข้ามาในคฤหาสน์ หลังกลับจากมหาวิทยาลัยโดยมีลูแคนไปรับ วันนี้เธอไม่ได้ขอให้เขาพาไปนอกลู่นอกทางที่ไหน เนื่องจากมีจุดมุ่งหมายเพียงอย่างเดียว..คือนวนิยาย และเตียงนอน ทว่าสิ่งที่คิดกับสิ่งที่เป็นไม่ได้สมพงษ์กลมกลืนกันสักเท่าไหร่ เมื่อบุคคลที่เธอไม่อยากจะเจอที่สุดมายืนรออยู่เบื้องหน้า ตรงกลางทางที่เธอจะเดินผ่านไป เอมิเลียชะงักสีหน้าเริ่มซีด ใจแผ้วหล่นลงตาตุ่ม
“ คุณเคลที่...”
รายนั้นไม่ยิ้มไม่พอ ยังยืนกอดอกแน่นเสียด้วย หล่อนใช้ฝาผนังเป็นที่ค้ำยันแผ่นหลังตัวเอง นั่นบ่งบอกให้รู้หล่อนตั้งใจมายืนรอ และนานพอสมควรแล้ว
“ เมื่อวานแกไปกินข้าวกับพี่ชายฉันมาหรือ...”
เสียงที่เคยแผดแหลมกดลงต่ำ เคลที่ผงะมายืนขวางเอมิเลียใกล้กว่าเก่า ส่วนเธอเอาแต่ก้มหน้างุน
“.......”
จะว่ามันคือนิสัยเฉพาะตัวของเธอก็ว่าได้ ยามใดที่รู้สึกตัวเองไม่ปลอดภัย หญิงสาวจะบอกตัวเองเสมอ พยายามเงียบไว้ ต้องปิดปากให้สนิทที่สุด และถ้าไม่จำเป็น อย่าได้สบตาศัตรูเชียว ซึ่งที่ผ่านมา มันสามารถช่วยเหลือเธอให้หลุดพ้นได้ ทว่าไม่ใช่วันนี้
“ ฉันถามก็ตอบสิ!! "
เพี๊ยะ
เมื่อเคลที่ตีแขนเธอสุดแรง ความแรงของมันทำหนังสือในวงแขนหล่นตุบเกลื่อนพื้น ท่ามกลางความสนใจของหมู่คณะแม่บ้าน และเช่นเคยสายตาเห็นใจเหล่านั้นไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมาเลย นอกจากจะเพิ่มความรำคาญให้กับเคลที่
“ มองอะไร! มีอะไรก็ไปทำซะสิ "
เพียงหล่อนขึงตาใส่ ตรงจุดนั้นก็จะเหลือแต่ความว่างเปล่า
“ ว่าไง ฉันถาม จะบอกฉันได้หรือยัง "
ก่อนจะหันมาเล่นงานเอมิเลียต่อ ในขณะดวงตากำลังสั่นระริก เธอพยายามตะปบมือไม่ให้สั่นตาม ภาวนาให้ใครสักคนผ่านเข้ามา และคนๆนั้นต้องช่วยเหลือเธอได้ ทว่า วันนี้คงจะเป็นวันซวยของเธอจริงๆ เธอตัดสินใจตอบ โดยการรวบรวมความกล้าทั้งหมด แต่ไม่คิดว่าจะโดนหนักกว่านี้ เคลที่บีบปากเธอ
“ นายท่านพาไปเอง ฉันไม่ได้ขอ...อื้อ”
พร้อมกัดฟันกรอด สภาพสีหน้ากับท่าทางที่หล่อนกำลังเป็น ในสายตาของเอมิเลียตอนนี้มันไม่ต่างจากผู้ป่วยโรคจิต
“ เฮอะ รู้อะไรไหมเอมี่ คำตอบของเธอน่ะ มันช่างเป็นคำตอบที่กวนประสาทฉันที่สุด"
“ .....”
“ เธอคิดว่าเธอพูดแบบนี้ แล้วจะรอดงั้นหรือ .....อย่าเอาพี่ชายฉันมาอ้าง!"
“ อ๊ะ! ....”
ความเจ็บปวดตอนถูกหล่อนบีบปากยังไม่เจ็บเท่ากับตอนที่หล่อนสะบัดหน้าเธอ ทั้งง่ามนิ้วทั้งเล็บจิกข่วนพวงแก้มแสบชาไปเป็นแถบ สร้างความโกรธให้เอมิเลียไม่น้อย ทว่าเธอยังคงเก็บกักมันไหว จึงทำได้แค่ทรุดตัวลงไปเก็บหนังสือขึ้นมา ในขณะเธอพยายามถนุถนอม เพราะให้ค่าว่าคือเพื่อนแท้มาตลอด แต่เคลที่หล่อนไม่ กลับถลาเข้ามาแย่งชิง
“ ชอบเหรอ...”
เอาไปเปิดดูทีละหน้า พร้อมเอ่ยถามเสียงเย้ยยัน เอมิเลียถึงกับใจแผ้ว เสมือนเธอรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า นั่นยิ่งปลุกความโกรธที่มีอยู่ให้ลุกโชนขึ้นมาอีกทวีคูณ
แควก!!!
“ ไม่นะ! นั่นมันของของฉัน!"
" ฮ่าๆๆ "
" เอาคืนมานะ! "
เพราะหนังสือเล่มโปรดของเธอถูกฉีกขาด จึงเผลอกำหมัด ที่แค่หวังไว้ใช้ข่มอารมณ์ในทีแรกเท่านั้น ไม่คิดจะเหวี่ยงออกไป
แต่แล้ว....
ผั๊วะ!!
เอมิเลียใช้มันฟาดหน้าเคลที่เเต็มๆ ท่ามกลางคนดูนับสิบ และ...เรกาโด ที่เพิ่งจะเดินเข้ามาหมาดๆ พร้อมแบกความเหนื่อยมหาศาลจากข้างนอกมาด้วย กลับต้องมาห้ามทัพพี่น้องต่างสายเลือดสู้กันอีก!
" หยุด!! เป็นบ้าอะไรกัน "
เรกาโดเดินไวมาดันอกเคลที่ออก จังหวะหล่อนกำลังจะง้างมือใส่เอมิเลีย เขาไม่ได้เข้าข้างใคร เพียงแต่เขารู้นิสัยน้องสาวตัวเองดี แค่เห็นผลงานอันพรีเมี่ยม ที่ลอยละล่องเกลื่อนพื้น กับหนังสือเล่มขนาดพกพามีรอยขยุ้มทึ้งสุดแรง แค่นี้แทบจะไม่ต้องสืบคดีแล้ว
" นี่ปล่อยฉันนะ มันชกหน้าฉัน! "
" อย่าเคลที่! "
ในขณะเรกาโดกำลังฉุดร่างน้องสาวออกห่าง พบว่า เอมิเลียถอยกรูดไปไกลแล้ว พลางสะดุ้งโหยง เมื่อศีรษะทุยเกิดชนเข้ากับอกลูแคน ที่ยืนดูอยู่ห่างๆ
" ขะ ขอโทษค่ะ "
" ไม่เป็นไรครับ "
เขายิ้ม เพราะรู้เธอกำลังประหม่าปนเสียขวัญ
" ปล่อยฉัน ฉันจะถลกหนังหัวมัน ไม่เคยมีใครกล้าทำฉัน พี่ได้ยินไหม! "
" พอเคลที่ พี่บอกให้พอ เอมี่! ไปให้ไกล ไป๊! "
ก่อนเสียงตะเพิดนี้จะทำให้เธอสะดุ้งอีกรอบ และอึ้งกับสรรพนามที่เรกาโดเผลอเรียกชื่อ ในขณะเท้าเหมือนจะเข้าใจ เพราะมันพาหญิงสาววิ่งตั้งแต่สิ้นสุดคำนั้น
" จะไปไหนน่ะ! แกยังไปไหนไม่ได้นังบ้า! อร๊ายยย นี่! พี่ปล่อยฉันนะ"
" เคลที่! พี่บอกให้หยุด หยุด! นี่คือคำสั่ง!!! "
" ไม่!!! "
" เคลที่! "
เพี้ยะ!!!
และเสียงทุกอย่างถูกดับไป หลังเธอปิดประตูลง เอมิเลียยืนค้าง ในท่าหันหลัง ไหล่เธอห่อคอเธอตก ไม่อยากจะเชื่อ..เรกาโดตบหน้าน้องสาวของตัวเอง
" ฮึก... นี่มันเรื่องบ้าอะไร "
ด้วยความหมดแรง ผวาไม่หาย ร่างบางจึงทรุดนั่งปลายเตียง เธอยกเข่าขึ้นมาชัน เพื่อจะกอดตัวเอง
" นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! ฮือๆๆ"
ใช่ เธอไม่คิดว่าเคลที่จะสติแตกขนาดนั้น ถึงขั้นจะฆ่าเธอให้ได้ นั่นมันคืออาการของคนโรคจิตชัดๆ
คำตอบที่มีในใจเอมิเลียตอนนี้ อยู่ไปนานๆอีกหลายวัน เธอจะตายไหม?
ผิวเนื้อเนียนละเอียดบนใบหน้า ปลุกให้รูขุมขนลุกชูชันด้วยความเย็นยะเยือก จิตใต้สำนึกเธอบอกลืมปิดหน้าต่างจึงหนาวเหน็บแบบนี้ เปลือกตาหนักอึ้งพยายามเบิกโพลง แต่ดูเหมือนจะยากเหลือเกิน ความง่วงไม่เคยปราณีเธอสักครั้ง ยิ่งครั้งที่ต้องเจอกับความเหนื่อยระหว่างวันแบบนี้
ใช่ ก่อนหน้านี้เธอร้องไห้ถึงขั้นเผลอหลับไป แลหารู้ไม่ ไอ้ความเย็นที่กำลังเจอะเจอ คุกคามไปทั่วใบหน้าลามลงมาถึงลำคอนั้นมันคือฝ่ามือของครูซัส
ชายหนุ่มที่แกร่งทั้งนอกและใน ไม่รู้จักคำว่าอ่อนโยน เพราะไม่เคยได้เจอมันมาก่อน ทว่า สัมผัสนี้มันกินใจคนหลับสนิทอย่างเอมิเลียเหลือเกิน ในขณะเธอกำลังคิดถึงมือซิสเตอร์ แต่อีกคนกลับนึกถึงมารดาซึ่งล่วงลับไปแล้ว ทำไมในจิตใจยามมองเธอจึงเป็นแบบนี้ เรกาโดงงกับตัวเอง ก่อนจะรีบชักมือกลับ เมื่อร่างบางขยับ กลับไปยืนเต็มความสูงห่างจากเตียง
อันที่จริงเขาไม่ได้ตั้งใจจะโน้มตัวลงไปใกล้หรือมีเจตนาจะคิดอกุศลกับเธอขนาดนั้น ทว่า.. ท่านอนคดคู้ กอดตัวเองเมื่อครู่นี้ มันทำให้เขาเผลอไผลคิดเลยเถิดไป
" แฮ่ม! "
" O.O"
และแน่นอน เอมิเลียสะดุ้งเฮือก ตกใจหนักตามที่เขาคิดไว้ เธอร่อนตัวไปชนขอบเตียงตาเบิกโพลง
" ใจเย็นๆก่อน ฉันเอง"
อาจจะเป็นเพราะความงัวเงียด้วย เลยทำเธอเสียขวัญ
" คะ คุณ .."
" โทษทีที่เข้ามาโดยพลการ ฉันเคาะประตูแล้ว เธอไม่เปิด คิดว่าคงหลับ แต่กลัวจะเป็นอะไรไปมากกว่า "
เขาอธิบาย ยกมือขึ้นลูบหน้า สลัดความคิดบ้าๆนั่นไปด้วย ยอมรับ เรกาโดเองก็ประหม่าไม่น้อยไปกว่าเธอหรอก
" มีอะไรรึเปล่าคะ "
เอมิเลียช้อนตาถาม ขาที่ชันขึ้นเริ่มคลายลง ส่วนเขาพ่นลมหายใจออกมา ช่างใจกับสิ่งที่ตัวเองกำลังตัดสินใจทำ
" ฟู่ว! เก็บของ พรุ่งนี้ ..."
"....."
" เธอต้องไปอยู่หอพัก "
สี่ล้อกระเป๋าถูกลากผ่านการ์ดนับสิบ โดยอุ้งมือของลูแคน ซึ่งถูกเจ้านายวานทำภารกิจแทนพาขึ้นรถไป เอมิเลียหันมองคฤหาสนเป็นครั้งสุดท้าย เธอไม่ได้ยิ้มดีใจใดๆทั้งสิ้น เพียงแค่ความรู้สึกในยามนี้มันกำลังถามเธอ
...แน่ใจหรือว่านอกรั้วนี้ ชีวิตของเธอจะปลอดภัยกว่า" คุณหนูขา "
ซีอาร์เรียกเสียงเบา พร้อมหน้าหงอย ทำเอมิเลียชะงักในจังหวะกำลังจะขึ้นรถ
" ดูแลตัวเองนะคะ นี่ค่ะ อันนี้พี่คืน "
สาวใช้ก้าวเข้ามาจับมือเธอ พลางยัดของให้ มันคือยาดมขวดโปรด ที่เอมิเลียเคยให้เธอครั้งก่อน
" มันรักษาพี่หายแล้ว ก็ให้มันกลับไปอยู่กับเจ้าของมันนะคะ "
" พี่ซีอาร์..."
ทำน้ำตาเอมิเลียไหลอาบแก้ม เธอรับมันมากำไว้ ก่อนโน้มตัวลงไปกอดหล่อน
" อีกสี่ปีหนูจะกลับมา เพราะอย่างไรเสีย ชีวิตของหนูคงหลุดพ้นจากนายท่านยาก จะคิดถึงพี่นะคะ " พร้อมกระซิบ
นั่นคือคำลาสุดท้ายที่ซีอาร์ได้ยินจากปากเธอ ต่อจากนั้นอีกสี่ปี ถึงจะได้เจอกันอีก
เอมิเลียยิ้มอ่อนให้ลูแคน หลังเขามาส่งเธอถึงที่หมาย ใจดวงบางเริ่มแผ้ว มีความเฉาเป็นนิจ เมื่อนึกต่อแต่นี้จะไม่มีคนพาเที่ยวอย่างเขาอีกแล้ว
" ดูแลตัวเองด้วยนะครับคุณหนู "
ลูแคนคำนับเตรียมตัวจะออกไป ถ้าไม่ติดว่าแว้บแรกที่เห็นคือเอมิเลียยืนก้มหน้าหงอย
" หนูกลัวจังเลยค่ะคุณลูแคน "
แน่นอน เขาเข้าใจความรู้สึกเธอดี แค่ไม่คิดว่าหญิงสาวจะใจกล้าพอ ถึงขั้นมาซบหลังเขา
" คุณหนู.. "
" ฮึก..ฮึก.."
เพราะนอกจากจะกอดเขาหลวมๆแล้ว เธอยังสะอื้นไห้อีกด้วย หรือเหตุการณ์เมื่อคืนทำเธอตกใจไม่หาย
ใช่ซี.. เอมิเลียอยู่แต่ในโรงเรียนกับเพื่อนกำพร้า ไม่ต่างจากกบในกะลา จะเอาอะไรมาเป็นภูมิคุ้มกัน
" อีกสี่ปี กับที่นี่ คุณหนูจะปลอดภัยกว่า "
ลูแคนบอกเสียงเรียบ จับมือเธอมากุมไว้ ยิ้มบางให้กำลังใจ นับตั้งแต่เธอออกมาจากกะลา เผชิญกับโลกภายนอก ก็มีแต่เขา ที่ดีกับเธอ
ใช่ เอมิเลียคงใจหายวาบ
" ฮือๆๆ "
" เข้มแข็งนะครับ เมื่อใดที่เรียนจบคุณหนูจะโตกว่านี้ ผมให้สัญญา ผมจะมีชีวิตอยู่ จนถึงวันนั้น "
และไม่คิดว่าบอดี้การ์ดเถื่อน เอาแต่ทำหน้าขรึมอย่างลูแคนจะมีคำพูดดีๆเหล่านี้ได้ เขาบีบหัวไหล่เธอให้หันหลังให้เขา ก่อนจะดันให้เดิน ร่างบางหันกลับมาใหม่ เมื่อเดินไปไกลห่าง เสมือนอำลาเป็นครั้งสุดท้าย โดยที่ลูแคนชูมือขึ้น บ่งบอกถึงการให้กำลังใจ คำถามในใจเธอ แล้วผู้ปกครองเธอเล่า อยู่ที่ไหน?? ทำไมถึงไม่มาส่งเธอเหมือนคนอื่นๆ
เขตนอกชานเมือง กึ่งป่าดงดิบกึ่งป่าทึบ หากแหงนหน้าขึ้นไปข้างบน ตรงจุดนี้จะเป็นเนินเขาคล้ายเหวลึก เสียงสัตว์ป่าสงวนผสานเสียงกันจ้าละหวั่น หากใครสักคนต้องติดอยู่บริเวณนี้จนมืดค่ำ คงจะอ้างว้างน่าดู เวเดโน่ยืนน่าซีดเผือดหลังมาถึง และฟังคำบอกเล่าของคนแปลกหน้าที่ติดต่อมาด้วยความนิ่งสงบ ต่างกับใจที่ละเหี่ยเต็มที แม้จะบั่นทอนจิตใจ แต่ด้วยความจำเป็นที่จะต้องรู้ เขาจึงต้องฟัง จากพลเมืองดีตรงหน้า ที่คิดว่าชาตินี้จะไม่ได้เจออีกแล้ว ดวงตาสีดำสนิททั้งสี่คู่มองไปยังจุดนั้นเป็นจุดเดียว ในขณะหูนั้นฟังพร้อมนึกภาพตาม กับสีหน้าที่สลดสูงสุด เรกาโดต้องทรมานแค่ไหนจึงจะผ่านมาเหวนี้มาได้ เพราะความห่างระหว่างตึกองค์กรกับหน้าผามันไม่ใช่หนทางที่ง่ายเลย" ตอนนี้เขาอยู่ไหน "“ ยังไม่ได้สติครับ ““ พาพวกเราไปหน่อย “เวเดโน่ละสายตาเป็นคนแรก ก่อนแจ้งเจตจำนง แม้ท่าทางที่แสดงออกมาต่อหน้าคนอื่นจะดูเรียบเฉย ราวกับเรื่องตรงหน้า ไม่สำคัญให้ต้องตื่นเต้น เพราะเหตุการณ์แบบนี้ช่ำชองกับเขามานักต่อนัก การสูญเสียใครสักคนไปจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับมาเฟียอย่างพวกเขา เว้นแต่กรณีของเรกาโด ต่อให้กลบเกลื่อนความรู้สึกด้วยความขรึมยังไ
ร่างบางทิ้งเข่ายวบพื้นไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก หมดพลังและปัญญาจะอ้าปากพูด แม้แต่มือยังปล่อยปะละเลยไว้บนตัก เธอทำได้แค่สะอื้นในใจเท่านั้น นั่นไม่ใช่เพราะเสียใจน้อย แต่มันช็อคจนไม่รู้จะร้องไห้ยังไง มันทั้งเจ็บทั้งปวด ทรมานเกินจะบรรยาย" คะ คุณครูซ..."ต่อจากนั้นคงมีแต่ศีรษะที่เอาแต่ส่ายหน้า ซ้ำไปซ้ำมา ราวกับสลัดความมึนงง เธอต้องฝันไปแน่ๆ...ใช่ มันคือความฝัน ทว่า ทำไมน้ำตานับแสนเม็ด กับหัวใจของเธอที่แตกสลาย ไม่มีชิ้นดีนี้ แทนคำตอบของเธอได้ดีทีเดียว สัญชาตญาณกำลังบอกเธอ..มันคือเรื่องจริง!" ไม่จริ๊ง!!! "" เอมิเลีย! "ก่อนร่างทั้งร่างจะล้มตึงฟุบพื้นไม่เป็นท่า หากไม่ได้แขนพ่อของเธอเข้าช่วย มีหวังหน้าผากที่มนสวยคงแตกเกิดรอยตำหนิหนึ่งชั่วโมงผ่านไปโลกทั้งใบเป็นสีทึบ ทะเลทรายที่เคยขาวสะอาด มีแสงระยิบระยับราวกับกากเพชรยามถูกแดดส่องแปรเปลี่ยน ทุกอย่างดูอึมครึมไปทันที นับตั้งแต่เปลือกตาหวานละมุนปิดสนิท ออร์แกนพบข่าวด่วน ด่วนชนิดที่ทำเขารับมันไม่ทัน จะว่าเป็นข่าวดีก็มีส่วน หากแต่มาในช่วงเวลานี้ คงจะยินดีไม่ไหว" ท้องงั้นหรือ..."เสียงครางไม่อยากจะเชื่อเอ่ยขึ้น หลังหมอประจำตระกูลถูกเรียกตัวมาตรวจ
คนพิการทางร่างกายหากแต่ใช่สมองนิ่วหน้า คงเจ็บระบมน่าดู เพราะฝ่าเท้าที่เหยียบอยู่ของมาเฟียรุ่นลูกนั้น น้ำหนักไม่ใช่น้อยๆ ความเจ็บปวดทางใจบอกผ่านนัยย์ตา เรกาโดจ้องมองเขาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ จะร้องก็ไม่ร้องจะแสร้งเมินเฉยก็คงเกินความสามารถ วินาทีนี้หัวใจเขามันเหน็บชาไปหมด“บอกกูมา ว่าอยากจะตายอยู่ที่นี่หรือว่าจะรอดไปด้วยกัน”คนข้างล่างต่อลอง เขาแค่นหัวเราะก่อนจะยกยิ้มมองเปลือกตาไม่กระพริบ พลางทรุดตัวลงนั่ง“รู้อะไรไหมครับ ในชีวิตของผมเจอคนพิการแบบท่านมาก็เยอะ บางคนสงสารจับใจจนต้องยื่นมือเข้าช่วย จะทำเป็นไม่เห็นคงไม่ได้ แต่กับท่านเนี่ย....” โน้มหน้าไปกระซิบใกล้ๆ “ยิ่งตายอย่างทรมาน ผมโคตรยิ่งสะใจ”พลั่ก!จับหัวโขกพื้นไปทีนึง แล้วลุกขึ้นยืน ปล่อยให้โคโรธีนอนงอเข่า จุกเสียดอยู่ตรงนั้น ส่วนเขายืนเต็มความสูงอย่างหมดแรง แต่ก็ยังใช้เรี่ยวแรงที่เหลือนั้นค้นหาสมาร์ทโฟน หาเบอร์โทรเกือบจะล่าสุดกดโทรออก ไม่นานปลายสายก็รับ(ครับนาย นายเป็นอย่างไรบ้าง)“เอาโทรศัพท์ไปให้ เอมิเลีย”(อะไรนะครับ?)“ใช่หน้าที่ มึงต้องมาสงสัยหรือ เร็วๆ”(ครับๆ ได้ครับ)เขายืนรอสายอย่างใจเย็น ที่ช้าสำหรับเขาอยู่ตอนนี้ คาดว่าลูแค
ใช้เวลานานพอสมควร กับการสาดกระสุนใส่กันระหว่างสองพวก เรียกได้ว่านี้เป็นมหากาพย์ที่ดีที่สุดหากเปรียบเทียบเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ก็ว่าได้ทว่า..ไม่ใช่ สำหรับผู้ประสบพบเจออย่างทีมอัลฟ่า และคนชั่วอย่าง โคโรธี ทอน มันเป็นเรื่องที่บัดซบที่สุด นับตั้งแต่เกิดมาได้ครึ่งคน นี่คือผลงานชิ้นใหญ่ที่ทำเจ้าของถิ่นหัวเสียได้มากสุด อัลฟ่ามาเพื่อทำลายและล้างผลาญทรัพย์สมบัติเขาจริงๆ อย่างที่คิดไว้ ความเสียหายประดุจคำบอกเล่า ในเมื่อต้องการครอบครอง แบบไม่ผันก้มลงมองตัวเอง รังแต่ใช้อำนาจตัดสินอนาคตคนอื่น พรากออกจากโลกด้วยความตาย...ฉะนั้นคนกระทำก็สมควรตายตามไปด้วยเช่นกัน ถึงเวลาแล้ว และคนอย่างพวกเขาต้องทำให้สำเร็จ แม้นยามนี้จะกระทบใจใครอยู่ก็ตามที!“เลิกบ้าได้แล้ว ไอ้ครูซ”เสียงคำรามข่มต่ำทุ้มดังมาจากข้างหลัง เรกาโดชะงักสิ่งที่กำลังจะทำกลางคัน เขาจำเสียงนี้ได้แม่น แค่ไม่หันกลับไป นอกเสียจากแค่นหัวเราะในลำคอแทน“หึ...”“อย่าดันทุรัง”“พ่อต่างหาก ที่ดันทุรังอยู่ ปกป้องมันทำไม เพื่ออะไร...”ประโยคทิ้งท้ายแหบแห้ง มาเฟียแก่ผมขาว คงไม่รู้ หรือรู้แต่ไม่แสดงออกว่ายามนี้สิ่งที่ลูกชายเขามีมันคือความเจ็บปวดที่บีบหัวใจเข
รถกันกระสุนคันเดิมจอดห่างไกลตัวตึก เพื่อให้ชายหนุ่มนั่งข้างคนขับกระโดดลงไปอย่าทันให้ใครเห็น เวเดโน่ถอยรถกลับอย่างรวดเร็ว เกือบชนต้นไม้ในโพรงป่าทึบข้างกำแพงหลังพุ่งกันชนท้ายเข้าไป ก่อนจะตามเรกาโดไปติดๆ คราวนี้ทั้งคู่คงต้องรับบทเป็นนินจาเสียแล้ว' ประตูดีๆ ไม่มีให้พวกมึงเข้าไปหรือไงวะ 'เสียงซันดรูแทรกออกมา ท่ามกลางความเงียบรอบบริเวณที่พวกเขาอยู่" มึงคิดว่ามันยังต้อนรับพวกเราดีอยู่ว่างั้นเถ้อะ! "เวเดโน่ประชด ส่วนเรกาโดแค่นหัวเราะพร้อมหาช่องแคบทางลับจากจุดนี้ไปโผล่อีกทีหลังกำแพงอย่างช่ำชอง จุดนี้เป็นจุดสุดท้ายที่ไม่มีใครรู้ว่าเขานั้นรู้ เพราะตอนเป็นเด็กเขาเคยมาแล้วครั้งนึง เหตุผลทำไมไม่ไปในจุดที่รู้น่ะหรือ... เพราะคิดว่า โคโรธี ทอน เจ้าของคฤหาสน์หลังนี้ คงสั่งลูกน้องดักรอเชือดคอเขาเรียบร้อยแล้ว!" เฮ้ย ไอ้ครูซ เดี๋ยวรอกูด้วย... บ้าเอ๊ยยย ไม่ฟังกูเลย "เวเดโน่ชะงักกึกเปลี่ยนจากการกระซิบกับซันดรูเป็นกระซิบไล่หลังแทน พร้อมกิ่งไม้แห้งใกล้มือเขวี้ยงใส่ไปด้วย' อะไรกันวะ ' ส่วนฝั่งตรงข้ามถามกลับมา ทว่า..." หน้าที่ของมึงตอนนี้ หาเส้นทางรอดให้พวกกูก็พอ ไอ้ครูซมันเข้าไปแล้ว "กลับถูกเวเดโน่เอ
ชายหนุ่มสะดุ้งตกใจ หลังได้ยินเสียงข้อความผ่านสามาร์ทโฟนปลุกให้ตื่นจากฝันร้าย ร่างหนาถึกพยุงตัวเองขึ้นนั่ง พลางหันไปมองด้านขวา กลับไร้คนข้างๆมีเพียงพื้นที่ว่างเปล่า คิ้วหนาขมวดเข้ากันเป็นปม...เช้าขนาดนี้หล่อนไปไหน ก่อนจะบึ่งลงจากเตียงเดินอาดๆ ไปยังห้องน้ำในครัว นานทีจะมีนายหญิงลงมาทำอาหารเช้าเอง ความครึ้กครื้นปนวุ่นวายย่อมบังเกิด สาวใช้นับสิบยืนเรียงหน้ากระดานพากันมองร่างบางเท้าสะเอวคนน้ำพาสต้าแล้วยกขึ้นมาชิม สลับกับการเติมเครื่องปรุงไปด้วย เธอขะมักขะเม้นในการทำเป็นอย่างมาก ยกอะไรใส่ก็ล้วนแต่มั่นใจไปเสียหมด ไม่รวมถึงการหั่นเนื้อ หั่นผักที่ดูคล่องแคล่วถนัดนัก เล่นเอาสาวใช้ที่ยืนมองตั้งแต่เริ่ม ละอายตามกันเลยทีเดียว วันนี้เป็นวันพิเศษอะไรหนอ นายหญิงตัวน้อยของพวกหล่อนถึงเข้าครัวได้" โอเค เสร็จแล้ว ยกเสิร์ฟได้เลยจ้ะ"เอมิเลียบอกเสียงใส ตบมือเข้าหากันสองสามที ก่อนจะกอดอก ราวกับภาคภูมิในฝีมือตัวเองเต็มประดา แล้วหันมาพยักหน้าให้พวกหล่อน" เดี๋ยวยกไปให้หน่อยนะคะ ส่วนในหม้อที่เหลือนี้ พวกพี่ทานได้ ฉันทำเผื่อด้วย "และครั้งนี้ดูเหมือนว่าสาวใช้จะพากันเทใจให้กับหล่อนไปเต็มๆ หลังรับรู้ถึงความมี