ฤทธิกดรหัสหกตัวตรงแป้นบริเวณลูกบิดก่อนจะเปิดประตูห้องเดินนำเข้าไป
“ห้องน้ำอยู่ทางนั้น” เขาชี้ไปทางห้องน้ำในห้องนอนใหญ่ “เข้าไปอาบน้ำสระผมก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะไปหาชุดมาให้ ส่วนชุดที่เปียก...เดี๋ยวเอาเข้าเครื่องซักแล้วก็ปั่นแห้ง สักสองชั่วโมงก็น่าจะเสร็จ”
ฤทธิพาเดินไปที่ห้องนอนแล้วเปิดประตูห้องน้ำให้เด็กสาว ก่อนที่ตัวเขาจะเดินกลับไปที่ตู้เสื้อผ้า เปิดลิ้นชักหาเสื้อผ้าที่จะให้เด็กสาวใส่ชั่วคราว ได้ชุดนอนผ้าฝ้ายสีขาวลายทางฟ้ามาหนึ่งชุด เป็นเสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาว
ชายหนุ่มเดินไปที่ห้องน้ำ เคาะประตูบอกคนข้างใน แล้วยืนรอครู่หนึ่ง
ทว่าข้างในกลับเงียบ...ไม่ขานและไม่มาเปิดประตู อารามเป็นห่วงฤทธิจึงบิดลูกบิด พบว่าไม่ได้ล็อก เขาจึงเปิดเข้าไป
แต่แล้วก็ต้องชะงักยืนตัวแข็งอยู่กับที่เมื่อมองเข้าไปเห็นร่างที่ยืนอยู่หน้าอ่างล้างหน้า ทว่าหันหลังให้กับประตูห้องน้ำ
ร่างอ้อนแอ้นนั้นกำลังเปลื้องเสื้อผ้าเปียกโชกออกจากตัว เสื้อนักศึกษาถอดวางข้างอ่างล้างหน้าแล้ว เจ้าตัวกำลังรูดซิปกระโปรงแล้วปล่อยให้เลื่อนหลุดจากร่างลงไปกองอยู่บนพื้น
เรือนร่างเกือบเปลือยนั้นขาวผ่องเป็นยองใยทั้งยังมีสัดส่วนงดงามจนฤทธิหายใจไม่ทั่วท้อง เอวคอดกิ่วเล็กจนคนมองนึกสงสัยว่าสองมือของเขาน่าจะโอบรอบได้พอดี
ต่ำลงมาคือสะโพกที่ผายออกและบั้นท้ายกลมกลึงน่ามอง แม้จะไม่เห็นทรวงอกชัดเจน แต่ยามเจ้าตัวเคลื่อนไหวเขาก็เห็นความอวบอิ่มกระเพื่อมตามการขยับเขยื้อน
รูปร่างราวนาฬิกาทรายเป็นเช่นนี้เอง ไม่น่าเชื่อว่าความอรชรอ้อนแอ้นที่เห็นภายนอกนั้นช่างซ่อนรูปเสียจริง
เลือดในกายชายหนุ่มสูบฉีดแล่นพล่านจนต้องผ่อนลมหายใจออกมา เส้นเลือดในกายทุกสายดูเหมือนจะพร้อมใจกันส่งไปยังสิ่งที่นอนสงบอยู่ในเป้ากางเกงของเขา
ฤทธิไม่แน่ใจว่านานเท่าไรแล้วที่เจ้าสิ่งนั้นไม่ได้สัมผัสเนื้อนุ่มนิ่มของเพศตรงข้าม
เขาไม่เคยนับ ไม่คิดจะนับ เพราะถ้าหากทำ เขานั่นแหละที่จะทนไม่ได้!
ชายหนุ่มถอยออกมาจากประตูก่อนจะปิดมันลงอย่างเบามือ แล้วเดินไปที่ปลายเตียงวางชุดในมือไว้ตรงนั้น คนที่ออกมาจากห้องน้ำคงเห็นได้ไม่ยาก ส่วนตัวเขาก็เดินออกจากห้องนอนทันที
ฤทธิตรงไปที่ตู้เย็น นาทีนี้เขาอยากดื่มน้ำเย็นจัดๆ เผื่อว่าความเย็นจะดับความร้อนของแรงปรารถนาที่กำลังก่อตัวลงได้บ้าง
‘บ้าจริง!’
เขาสบถในใจเมื่อน้ำเย็นจัดล่วงเข้าคอแล้ว ทว่าพอหลับตาลงภาพเรือนร่างขาวขาวผ่องนั้นกลับวาบขึ้นมาในความคิด!
ไม่นานนักเด็กสาวก็เดินออกมา สวมชุดที่เขาวางทิ้งไว้ให้ ชุดหลวมโคร่งนั้นพรางรูปร่างได้เป็นอย่างดีก็จริง ทว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิดเมื่อสมองของเขาจดจำภาพที่เห็นเอาไว้หมดสิ้น แค่เห็นเจ้าหล่อนเดินออกมาลมหายใจก็พาลสะดุด ภาพที่อยากจะลืมกลับแจ่มชัดขึ้นมาอีกหน
‘หยุดคิดบ้าๆ เสียทีเถอะวะ’
บอกตัวเองเช่นนั้น ทว่าที่หลุดจากปากกลับเป็นคำถามเมื่อสาวน้อยที่เดินมาหยุดยืนไม่ไกล
“ดื่มอะไรอุ่นๆ ไหม...ชา กาแฟ โกโก้”
“เอ่อ...น้ำเปล่าก็ได้ค่ะ” หล่อนตอบเมื่อเหลือบเห็นในมือเขาแก้วน้ำเปล่า
ฤทธิก้มมองตามสายตาอีกฝ่าย ก่อนจะชูแก้วน้ำเย็นในมือขึ้นมา
“มันอุ่นที่ไหน ตากฝนมาเปียกๆ ดื่มน้ำเย็นเดี๋ยวก็ป่วยกันพอดี โกโก้ไหม...มาฉันชงให้”
พูดจบเขาก็จัดการเปิดตู้แล้วหยิบถ้วยออกมาวาง หยิบซองโกโก้แบบทรีอินวันมาหนึ่งซอง ฉีกเทแล้วก็กดน้ำร้อนจากกระติกที่ต้มเอาไว้ เสียงช้อนกระทบแก้วดังกรุ๊งกริ๊ง
ครู่ต่อมาเขาก็ยื่นถ้วยโกโก้ที่มีควันสีขาวลอยกรุ่นให้เด็กสาว เจ้าหล่อนสูดลมหายใจดอมดมกลิ่นช็อกโกแล็ตเข้มข้นของโกโก้ชงใหม่ๆ
ก่อนจะเอื้อมมารับสาวน้อยกระพุ่มมือไหว้พลางเอ่ยด้วยเสียงเบาๆ
“ขอบคุณค่ะ”
วินาทีนั้นภาพเด็กหญิงตัวผอมบางที่คุ้นตาคล้ายทาบทับกับภาพเด็กสาววัยนักศึกษาตรงหน้า เพราะภาพนั้นเอง ฤทธิจึงดึงสติที่คิดอะไรเลยเถิดกลับคืนมา
หล่อนยังเด็ก...เด็กมาก อายุห่างจากเขากี่ปีกันนะ...สิบ...ไม่สิ!
“เรียนปีไหนแล้วล่ะ” คำถามเหมือนที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งพึงถามถึงความเป็นไปของเด็กที่ไม่ได้พบเจอกันหลายปี
คนถามเดินไปทรุดนั่งตรงโซฟา ขณะคนถูกถามยังคงยืนที่เดิม ในมือถือถ้วยโกโก้เอาไว้แต่ยังไม่ได้ยกขึ้นดื่ม
“ปีสองค่ะ”
“ปีสอง? อายุ...” เขาหยุดไปนิด คล้ายกำลังคิดเลขในใจ “สิบเก้า?”
“ค่ะ”
สิบหกปี!...ห่างกันสิบหกปีเชียวหรือ...
ฤทธิถอนใจเบาๆ พลางยกแก้วในมือขึ้นดื่มรวดเดียวก่อนวางแก้วเปล่าไว้บนโต๊ะกลางหน้าโซฟา
“ให้หนูรินเพิ่มไหมคะ?” เด็กสาวถามทำท่าจะหันไปเปิดตู้เย็น แต่ฤทธิโบกมือห้ามเสียก่อน
“ไม่ต้องๆ ไม่เป็นไร แล้วเสื้อผ้าเธอล่ะอยู่ไหน เอามาสิ เดี๋ยวฉันจะสอนวิธีใช้เครื่องซักผ้ากับเครื่องอบผ้าให้ แล้วก็รีบดื่มโกโก้นั่นให้หมดเสียที ก่อนมันจะเย็น”
“ผึ่งไว้ในห้องน้ำค่ะ เดี๋ยวหนูไปหยิบมาก่อนนะคะ”
เด็กสาวตอบพลางยกแก้วโกโก้ในมือขึ้นจรดริมฝีปาก ลืมไปสนิทว่ามันยังร้อนจึงลวกปากเข้าเต็มๆ
“โอ๊ย!” หล่อนร้อง...ปากลิ้นพองไปหมดแล้วแน่ๆ อารามตกใจโกโก้ในถ้วยจึงกระฉอกเลอะอกเสื้อที่ใส่จนเป็นรอยด่างดวง
ฤทธิผุดลุกขึ้นแล้วก้าวพรวดเดียวถึงตัวเด็กสาว เปิดลิ้นชักตรงเคาน์เตอร์ด้วยความว่องไว คว้าผ้าเช็ดปากสีขาวที่พับวางไว้อย่างเป็นระเบียบขึ้นมาผืนหนึ่ง ซับคราบโกโก้ที่เลอะให้เด็กสาวอย่างลืมตัว
“เป็นอะไรไหม? เจ็บตรงไหน?”
“เอ่อ...ม ไม่เป็นไรค่ะ” น้ำเสียงกระอักกระอ่วนพร้อมกับเจ้าตัวพยายามยกมือขึ้นมาปัดป้องเรียกสติอีกฝ่าย
ฤทธิผงะถอยหลัง ยืนนิ่งงันไปครู่ก่อนจะเอ่ยคำขอโทษ
“ฉัน...ฉันขอโทษ ลืมไป...” เสียงเขาขาดหาย ก่อนจะเอ่ยประโยคถัดไปด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า “เธอไม่ใช่เด็กแล้ว”
“...” รอยยิ้มจืดเจื่อนทำให้ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกผิดที่ทำตัวรุ่มร่ามใส่เจ้าหล่อน
“ไปหยิบเสื้อผ้าที่จะซักมาสิ” เขาเอ่ยเสียงเคร่งขรึม
มันยากเหลือเกินที่จะยอมรับในสิ่งที่เพิ่งตระหนักแน่แก่ใจตนเอง นี่เขา...หึงหล่อน!เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงหึงหวงเด็กคนนั้นกับเพื่อนชายจนหน้ามืดตามัว แต่บทรักเมื่อเช้านั่น...ให้ตายเถอะ!ยิ่งกว่าสุดยอด!และนั่นก็ทำให้เขาเอ่ยปากบอกหล่อนขณะที่ต่างก็นอนหอบหายใจอยู่บนเตียงหลังบทรักเร่าร้อนผ่านไป‘เย็นนี้จะพาไปเที่ยว ทำรายงานเสร็จรีบกลับมานะ’พรุ่งนี้เขาต้องเดินทางไปภูเก็ตเพื่อเช็กความคืบหน้าของงานที่นั่น เลยคิดจะพาเด็กสาวไปด้วย แต่ไม่ได้บอกเจ้าหล่อนหรอกว่าจะพาไปต่างจังหวัด แค่บอกว่าจะพาไปเที่ยวเท่านั้นเมื่อไปถึงออฟฟิศเขาจึงเรียกหาเลขานุการส่วนตัวเพื่อให้จัดการเรื่องตั๋วเครื่องบิน แม้จะฉุกละหุกไปนิดแต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถ ไม่ถึงสิบนาทีถัดมาเลขาฯ ก็พรินต์ตั๋วเครื่องบินอิเล็กทรอนิกส์ออกมาให้เขาสองใบ เป็นเที่ยวบินสุดท้ายของวันนี้ฤทธิมองตั๋วในมือแล้วยิ้มอย่างพอใจ เขาอยากพาเด็กสาวไปเปิดหูเปิดตา ส่วนเรื่องเปลี่ยนบรรยากาศนั้นถือว่าเป็นผลพลอยได้แล้วกันหลังจากนั้นชายหนุ่มก็ทำงานเคลียร์เอกสารที่เลขาฯ ใส่แฟ้มวางไว้บนโต๊ะทำงาน จนกระทั่
พอวางสาย เงยหน้าจากโทรศัพท์ สายตาพนิตนันท์ก็ปะทะกับสายตาคมดุที่จดจ้องมองนิ่ง“ยังติดต่อกับหมอนั่นอยู่เหรอ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยก็จริง แต่ทำไมคนฟังจึงใจเต้นโครมครามก็ไม่รู้“เอ่อ...ก็ ยังเรียนด้วยกันบางวิชา เลยต้องติดต่อกันอยู่ค่ะ แต่ก็เฉพาะเรื่องเรียน” ตอบไปแล้วก็นึกไปถึงวันที่อาชว์ตามไปห้องสมุดด้วย วันนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องเรียนเหมือนกันใช่ไหม...“ยังจำที่บอกได้ใช่ไหม?”คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถาม ...อะไรล่ะ เขาบอกตั้งเยอะตั้งแยะนี่นา ใครจะไปจำได้ว่าหมายถึงเรื่องไหน...สีหน้าครุ่นคิดวุ่นวายเพราะนึกไม่ออกนั่นทำให้ฤทธิหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ตั้งใจว่าจะออกไปทำงานแล้วแท้ๆ แต่หล่อนก็ทำให้เขาต้องเปลี่ยนใจชายหนุ่มย่างสามขุมกลับมาหาสาวน้อยที่ก้าวถอยหลังเมื่อรู้สึกถึงการคุกคามจากอีกฝ่าย“ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม...หนึ่ง...”“เอ่อ...เรื่องที่คุณคุยวันนี้ ว่าจะให้หนูท้อง...ใช่ไหมคะ?”เขาส่ายหน้า แต่คำตอบของหล่อนกำลังทำให้เขาเกิดความ ‘ต้องการ’ ขึ้นมาเนี่ยสิ“ไม่ใช่! แต่ในเมื่อเธอพ
เช้ารุ่งขึ้นหลังจากล่ำลาคนป่วยและบอกกล่าวเรื่องที่เขาจะต้องเดินทางไปต่างจังหวัดช่วงเสาร์อาทิตย์ ฤทธิก็ออกไปทำงาน ทว่าออฟฟิศไม่ใช่ที่แรกที่เขาไปเขาโทรศัพท์บอกพนิตนันท์ตั้งแต่เมื่อคืนว่าจะแวะมาหาหล่อนตอนเช้า และมีเรื่องจะคุยด้วย ที่จริงก็เป็นการบอกเจ้าหล่อนกลายๆ นั่นแหละว่าเขาจะไม่เข้าไปค้างที่นั่นหล่อนจะได้ไม่รอชายหนุ่มก็ไม่ได้คาดหวังว่าเด็กสาวจะรอหรอก...หล่อนอาจจะดีใจก็ได้ที่เขาไม่ไปหาหลังจากเมื่อคืนเขาก็รู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลินินดูเหมือนจะมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากทุกข์โศกโรคภัยโหมกระหน่ำเข้ามาอย่างไม่ยั้ง นี่คงเป็นแสงสว่างจากปลายอุโมงค์ที่ทำให้หล่อนมีหวังเรื่องลูกขึ้นมาอีกครั้งนั่นทำให้ฤทธิตัดสินใจเด็ดขาด...เขาจะไม่ยื้อเวลาระหว่างตัวเองกับเด็กสาวออกไปอีกแล้ว เขาต้องทำให้หล่อนท้องโดยเร็วที่สุด เพื่อจะได้ยุติความสัมพันธ์นี้ตามสัญญาที่ตกลงกันไว้เขาก้าวมาหยุดหน้าประตูพอดี มือที่เอื้อมแตะแป้นเพื่อจะกดรหัสเข้าประตูชะงักค้างก่อนจะดึงมือตัวเองกลับแล้วซุกลงกระเป๋ากางเกง แล้วมองประตูตรงหน้านิ่งนานด้วยสายตาครุ่นคิดไตร่ตรอง
ค่ำวันนั้นฤทธิแวะไปเยี่ยมภรรยาที่โรงพยาบาล แม่ยายของเขากลับไปแล้ว สองสามีภรรยาจึงมีเวลาอยู่กันตามลำพังท่าทางของลินินบ่งบอกว่าร้อนใจ เจ้าหล่อนคงเจอแรงกดดันจากผู้เป็นแม่ไม่น้อย เพราะคุณแพรพรรณนั้นขึ้นชื่อเรื่องความละเอียดรอบคอบและเจ้ากี้เจ้าการ“ลินินไม่น่าเลย...ไม่น่าพลั้งปากออกไปเลยค่ะฤทธิ” หล่อนบ่นออกมาเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ผู้เป็นสามีได้แต่ปลุกปลอบด้วยการตบไหล่บอบบางของภรรยาเบาๆ“ช่างมันเถอะ มาคิดหาทางแก้กันดีกว่า นี่แม่คุณโทรบอกแม่ผมเรียบร้อย ตอนนี้แม่เลยรู้เรื่องไปด้วย แต่กับแม่น่าจะไม่มีปัญหาอะไร เพราะแม่เคยเห็นและก็พอจะรู้จักนันท์”“ลินินขอโทษนะคะฤทธิ พลอยทำให้คุณต้องลำบากไปด้วย แล้วคุณแม่ว่าอย่างไรบ้างคะ?”“ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก...บ่นๆ ทำนองน้อยใจนั่นแหละ ว่าไม่เห็นหัวแม่ ทั้งที่อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ แต่แม่กลับไม่รู้เรื่องเลย” ฤทธิเล่า...แต่เว้นเรื่องที่มารดารู้ว่าเขากับพนิตนันท์นอนด้วยกันไว้เสีย“แล้วนันท์รู้เรื่องหรือยังคะ?”“ยัง ผมยังไม่ได้บอกอะไรเด็กนั่น”“ยังไม่ต้องบอกหรอกค่ะ เดี๋ยวเรื่องคุณแม่ลินินจะหาทางจัด
คิ้วเข้มเหนือดวงตาคมขมวดเข้าหากันทันทีหลังฟังปลายสายบอกเล่าความประสงค์ของผู้เป็นแม่ยายให้ฟัง แม้ลินินจะไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรเท่าไร แต่เขาก็รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่า ภรรยาซุกซ่อนความกังวลใจบางอย่างเอาไว้ฤทธิพอจะรู้จักผู้เป็นแม่ยายอยู่บ้างว่ารายนั้นรักและห่วงลูกสาวอย่างมาก เพราะเป็นลูกคนเดียวความห่วงใยนี่แหละที่ทำให้บางครั้งก็เจ้ากี้เจ้าการโดยไม่รู้ตัว ส่วนภรรยาของเขาก็คงอยากปฏิเสธ แต่ก็น้ำท่วมปาก ไม่รู้จะปฏิเสธแม่อย่างไร...ก็ประสาลูกสาวหัวอ่อนที่ไม่เคยมีปากมีเสียงกับแม่นั่นแหละแต่ประเด็นอยู่ที่...ฤทธิคิดว่าพนิตนันท์ก็ไม่พร้อมที่จะพบเจอผู้ใหญ่ทางฝ่ายลินิน กับมารดาของเขานั้นเจ้าหล่อนคุ้นเคยเพราะเคยเจอมาตั้งแต่เด็กๆ และแม่เขาก็ยังไม่รู้เรื่องอุ้มบุญอะไรนี่ด้วยแต่คุณแพรพรรณซึ่งรู้เรื่องจากปากลูกสาวแล้ว ย่อมต้องมองพนิตนันท์ด้วยสายตาอีกแบบที่ฤทธิมั่นใจว่า เด็กสาวคงเกิดความรู้สึกประหม่าทีเดียวเหมือนตอนที่เขาจีบลินินใหม่ๆ และต้องไปพบเจอพ่อแม่ของหล่อนครั้งแรกนั่นแหละครั้งนั้นคุณแพรพรรณก็มองเขาด้วยสายตาพิเคราะห์และจับผิดจนเขาแทบไม่เป็นตัวขอ
ร่างผ่ายผอมบนเตียงคนไข้นั้น นับวันก็ยิ่งผอมลงจนหนังแทบจะหุ้มกระดูก โรคร้ายที่รุมเร้าพรากความสดใสและสวยงามไปจากหญิงสาวไปจนแทบจะไม่เหลือคุณแพรพรรณผู้เป็นมารดาซึ่งแวะมาเฝ้าลูกสาวเป็นประจำทุกวันถึงกับถอนใจออกมาเบาๆ“ยายหนู...กินอะไรสักหน่อยไหมลูก เดี๋ยวแม่ไปชงอาหารเสริมมาให้ไหม ถ้ากินข้าวไม่ลง” นางเสนอ...เมื่อสำรับอาหารที่พยาบาลนำมาเสิร์ฟ ยังมิได้รับการแตะต้อง“ค่ะ แม่”ได้ยินดังนั้นคุณแพรพรรณจึงกุลีกุจอไปชงอาหารเสริมมาให้คนที่นอนบนเตียง ความรักของแม่ที่มีต่อลูกทำให้นางสะท้อนใจไม่น้อยเมื่อต้องมาเห็นลูกเจ็บป่วยแบบนี้ นับแต่รู้ว่าลูกสาวป่วย นางแทบไม่เคยนอนหลับอย่างเป็นสุขด้วยหวงห่วงสารพัด“พอออกจากโรงพยาบาล แม่ว่าหนูกลับไปอยู่บ้านเราก็ดีเหมือนกันนะ อยู่ใกล้ๆ แม่ก็หายห่วง จะได้ดูแลกันได้ถนัดถนี่”ริมฝีปากแห้งผากของคนป่วยคลี่ออกเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินผู้เป็นแม่เปรย“ไหนตอนแรกแม่ไม่เห็นด้วย หาว่าหนูทิ้งฤทธิไว้คนเดียว”“ก็ตอนแรกแม่ก็ห่วงนายฤทธิเขา ผัวเมียกันน่ะลูก อยู่ห่างกันมากก็ไม่ดี แต่พอเห็นหนูเป็นแบบนี้แล้ว ถ้านายฤทธิเขายังมีแ