พนิตนันท์วางถ้วยโกโก้แล้วหันหลังเดินกลับเข้าห้องนอน ท่าทางตื่นๆ ของหญิงสาวทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเจ้าหล่อนเองก็ประหม่าไม่น้อยกับเรื่องที่เกิดขึ้น
เมื่อเจ้าหล่อนเดินกลับมาพร้อมเสื้อผ้าที่จะซัก ฤทธิเดินนำไปที่ห้องซักรีดซึ่งเป็นห้องเล็กๆ ด้านหลังครัว ในห้องมีเครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าและเครื่องอบผ้าอยู่พร้อมสรรพ ทั้งยังมีระเบียงขนาดไม่ใหญ่มากไว้สำหรับตากผ้า
เขาหยุดหน้าเครื่องซักผ้า รอจนหญิงสาวเดินมายืนใกล้ๆ จึงสอนวิธีใช้งานทั้งเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้า
“จำได้ไหม?” เขาถามหลังจากสอนเสร็จ
“ค่ะ คิดว่า...จำได้ค่ะ” น้ำเสียงคนตอบมีแววลังเล
“แสดงว่าจำไม่ได้” เขาแปลความหมายคำพูดอีกฝ่าย ตามความเข้าใจของตนเอง สาวน้อยยิ้มแหยพลางพยักหน้าน้อยๆ
“ก็...งงนิดหน่อยค่ะ”
“ไม่เป็นไร ไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามแล้วกัน”
ตอนแรกฤทธิคิดว่าจะทิ้งสาวน้อยไว้ที่นี่เพียงลำพัง ส่วนเขาก็จะขอตัวไปทำงาน เพราะประตูระบบอัตโนมัตินั้นจะล็อกทันทีที่ประตูปิด เขาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องกุญแจ ทั้งคอนโดมิเนียมก็อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยของเจ้าหล่อน
แต่เห็นทีเขาคงต้องอยู่ต่ออีกหน่อย อย่างน้อยก็รอจนซักผ้าเสร็จและเอาเข้าเครื่องอบนั่นแหละ
ฤทธิยื่นมือไปจะหยิบเสื้อผ้าจากมือสาวน้อย ทว่าเจ้าหล่อนกลับหดมือหนี
“หนูใส่เองดีกว่าค่ะ เดี๋ยวคุณช่วยดูทีนะคะว่าถูกไหม?”
“เอาสิ”
พนิตนันท์เปิดฝาเครื่องซักผ้าตามที่อีกฝ่ายสอน เอาชุดนักศึกษาใส่ จากนั้นก็ทำตามขั้นตอนที่จำได้ คนสอนยืนมองเงียบๆ ก่อนจะชมเมื่อสาวน้อยทำสำเร็จ
“เก่งนะเรา ไหนบอกจำไม่ได้”
สาวน้อยหันมายิ้มเมื่อได้รับคำชม ดวงหน้านวลผ่องแจ่มกระจ่างราวพระจันทร์ในคืนเพ็ญ รอยยิ้มของหล่อนทำให้คนมองยิ้มตามไม่รู้ตัว
แล้วจู่ๆ สาวน้อยก็ยกมือไหว้เขาด้วยท่าทางนอบน้อมน่ารัก เจ้าหล่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเต็มตื้น ฤทธิเห็นรอยไหวในดวงตาคู่งามคู่นั้น...หล่อนร้องไห้อีกแล้ว
“ขอบคุณค่ะ เวลาที่หนูลำบากทีไร...คุณเข้ามาช่วยไว้ทุกที”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก ฉันช่วยได้ก็จะช่วย แล้ว...” ฤทธิเว้นจังหวะคล้ายลังเลที่จะเอ่ยประโยคถัดไป แต่สุดท้ายก็โพล่งออกมา “เมื่อกี้ตอนเดินตากฝน เธอร้องไห้ทำไม มีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้บ้างไหม?”
รอยยิ้มกระจ่างหุบฉับทันที เจ้าตัวนิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงเบา
“หนูทะเลาะกับแม่มาค่ะ”
ฤทธิเดินนำกลับไปที่ห้องรับแขก เขาทรุดลงนั่งบนโซฟาเช่นเดิม
“นั่งสิ” เขาบอก “ถ้าอยากเล่า...ฉันก็พร้อมรับฟังนะ”
“ขอบคุณค่ะ” เด็กสาวลงนั่งพับเพียบบนพื้น
“นั่งข้างบนนี่แหละ” เขาดึงแขนสาวน้อยให้ลุกขึ้น ทว่าอีกฝ่ายกลับสะดุ้งตกใจจนฤทธิต้องปล่อยมือจากแขนอีกฝ่าย
“ฉันขอโทษ ฉันแค่จะดึงให้ขึ้นมานั่งบนเก้าอี้นี่ ไม่ได้จะทำให้ตกใจ”
“ขอโทษค่ะ...หนูไม่ได้ตั้งใจ” เจ้าหล่อนเอ่ยเสียงเบาพลางหลุบสายตามองมือตนเองนิ่ง
นั่นจึงเปิดโอกาสให้ฤทธิพินิจสาวน้อยตรงหน้าอย่างเต็มตา จากเด็กน้อยตัวเล็กผอมบาง เติบโตเป็นสาวสะพรั่งถึงจะไม่ใช่คนสวยจัดชนิดที่เห็นแล้วสะดุดตา แต่เจ้าหล่อนก็มีหน้าตาน่ารักชวนมอง ลักษณะท่าทางเรียบร้อยผิดกับเด็กสาวสมัยนี้ที่เคยพบเจอ
“แล้วว่ายังไง...เธอร้องไห้มีอะไรหรือเปล่า ใครรังแกอีกงั้นหรือ?” หล่อนเงยหน้าขึ้นสบตา ส่ายหน้าดิก
“เปล่าค่ะ ไม่มีใครแกล้ง หนูแค่ทะเลาะกับแม่”
“ทะเลาะกับแม่?” ฤทธินึกไม่ออกว่าแม่กับลูกสาวจะทะเลาะกันเรื่องอะไรได้บ้าง แล้วเรื่องอะไรที่จะทำให้ลูกถึงกับเดินตากฝนร้องไห้
“ค่ะ” สาวน้อยกล้ำกลืนก้อนสะอื้นลงคออย่างยากลำบาก “แม่จะให้หนูลาออกจากมหาลัย”
“ลาออก?”
“ค่ะ” เจ้าหล่อนพยักหน้า น้ำตาไหลอาบแก้มจนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นปาดป้ายมันทิ้ง “แม่จะให้หนูออกมาทำงานใช้หนี้ที่บ้าน”
“เขาไม่มีเงินส่งเสียหรือว่าไง ถึงจะให้ออกมาทำงาน”
“แม่ไม่ต้องจ่ายค่าเทอมให้หนูหรอกค่ะ เพราะหนูได้ทุนของมหาลัย หนูขอแม่แค่เงินค่าขนมรายวันเท่านั้นเอง แต่แม่ก็ยังจะให้หนูลาออก แม่บอกจะเก็บเงินไว้ส่งน้องชายหนูเรียน”
“แล้วเธอคิดยังไง?” ฤทธิลองหยั่งเชิงสาวน้อย เขาอยากรู้ว่าทิศทางของหล่อนเป็นอย่างไร
“หนูจะหางานพิเศษทำเอาไว้เป็นเงินค่าขนมและค่าใช้จ่ายส่วนตัวค่ะ หนูอยากเรียนให้จบปริญญา จะได้มีโอกาสหางานดีๆ ทำ”
ชายหนุ่มยิ้มอย่างพึงพอใจ เขาพยักหน้าเมื่อเอ่ยชม
“ดี ฉันดีใจที่ได้ยินแบบนั้น เรื่องงานพิเศษเดี๋ยวฉันจะช่วยหาให้แล้วกัน เอานี่ไป” ฤทธิยื่นนามบัตรไปให้หญิงสาว “สักพรุ่งนี้เย็น โทรมาหาฉัน”
ภรรยาของเขาเปรยว่าอยากจะหาผู้ช่วยสักคนมาอยู่เป็นเพื่อน และช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ บางที...เขาจะลองเสนอให้พิจารณาเด็กสาวคนนี้ดูสักหน่อย
พนิตนันท์นับนามบัตรไปถือไว้ น้ำตาคลอคลองอีกครั้งเมื่อตื้นตันใจที่อีกฝ่ายสนใจและรับปากจะช่วยเหลือ
“ขอบคุณมากๆ นะคะ คุณใจดีกับหนูจริงๆ”
ไม่เพียงพูด สาวน้อยขยับลงมานั่งกับพื้น กระพุ่มมือกลางหน้าอกและก้มลงจะกราบ
ฤทธิตกใจไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะทำเช่นนั้น เขายื่นมือออกไปจึงกลายเป็นว่าสองมือของสาวน้อยกราบลงกลางฝ่ามือใหญ่ของเขาที่รวบมือหล่อนไว้ได้พอดี
ดวงตาของสาวน้อยเบิกโพลงด้วยความตกใจ พยายามจะชักมือกลับทว่าอุ้งมือแข็งแรงกลับกุมมือหล่อนไว้แน่น ฤทธิรู้ว่าเขาไม่ควรทำเช่นนั้น เขาพยายามจะสั่งตนเองให้ปล่อยมือคู่นั้นไปเสีย
ทว่าเมื่อสบตากลมโตที่มีแววตกใจคู่นั้นแล้ว เขากลับกระชับมือแน่นขึ้นไปอีก
“มือเธอเย็น” เขาได้ยินเสียงตัวเองพูดออกไป “เดี๋ยวฉันจะไปหาเสื้ออุ่นๆ มาให้”
มันยากเหลือเกินที่จะยอมรับในสิ่งที่เพิ่งตระหนักแน่แก่ใจตนเอง นี่เขา...หึงหล่อน!เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงหึงหวงเด็กคนนั้นกับเพื่อนชายจนหน้ามืดตามัว แต่บทรักเมื่อเช้านั่น...ให้ตายเถอะ!ยิ่งกว่าสุดยอด!และนั่นก็ทำให้เขาเอ่ยปากบอกหล่อนขณะที่ต่างก็นอนหอบหายใจอยู่บนเตียงหลังบทรักเร่าร้อนผ่านไป‘เย็นนี้จะพาไปเที่ยว ทำรายงานเสร็จรีบกลับมานะ’พรุ่งนี้เขาต้องเดินทางไปภูเก็ตเพื่อเช็กความคืบหน้าของงานที่นั่น เลยคิดจะพาเด็กสาวไปด้วย แต่ไม่ได้บอกเจ้าหล่อนหรอกว่าจะพาไปต่างจังหวัด แค่บอกว่าจะพาไปเที่ยวเท่านั้นเมื่อไปถึงออฟฟิศเขาจึงเรียกหาเลขานุการส่วนตัวเพื่อให้จัดการเรื่องตั๋วเครื่องบิน แม้จะฉุกละหุกไปนิดแต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถ ไม่ถึงสิบนาทีถัดมาเลขาฯ ก็พรินต์ตั๋วเครื่องบินอิเล็กทรอนิกส์ออกมาให้เขาสองใบ เป็นเที่ยวบินสุดท้ายของวันนี้ฤทธิมองตั๋วในมือแล้วยิ้มอย่างพอใจ เขาอยากพาเด็กสาวไปเปิดหูเปิดตา ส่วนเรื่องเปลี่ยนบรรยากาศนั้นถือว่าเป็นผลพลอยได้แล้วกันหลังจากนั้นชายหนุ่มก็ทำงานเคลียร์เอกสารที่เลขาฯ ใส่แฟ้มวางไว้บนโต๊ะทำงาน จนกระทั่
พอวางสาย เงยหน้าจากโทรศัพท์ สายตาพนิตนันท์ก็ปะทะกับสายตาคมดุที่จดจ้องมองนิ่ง“ยังติดต่อกับหมอนั่นอยู่เหรอ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยก็จริง แต่ทำไมคนฟังจึงใจเต้นโครมครามก็ไม่รู้“เอ่อ...ก็ ยังเรียนด้วยกันบางวิชา เลยต้องติดต่อกันอยู่ค่ะ แต่ก็เฉพาะเรื่องเรียน” ตอบไปแล้วก็นึกไปถึงวันที่อาชว์ตามไปห้องสมุดด้วย วันนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องเรียนเหมือนกันใช่ไหม...“ยังจำที่บอกได้ใช่ไหม?”คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถาม ...อะไรล่ะ เขาบอกตั้งเยอะตั้งแยะนี่นา ใครจะไปจำได้ว่าหมายถึงเรื่องไหน...สีหน้าครุ่นคิดวุ่นวายเพราะนึกไม่ออกนั่นทำให้ฤทธิหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ตั้งใจว่าจะออกไปทำงานแล้วแท้ๆ แต่หล่อนก็ทำให้เขาต้องเปลี่ยนใจชายหนุ่มย่างสามขุมกลับมาหาสาวน้อยที่ก้าวถอยหลังเมื่อรู้สึกถึงการคุกคามจากอีกฝ่าย“ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม...หนึ่ง...”“เอ่อ...เรื่องที่คุณคุยวันนี้ ว่าจะให้หนูท้อง...ใช่ไหมคะ?”เขาส่ายหน้า แต่คำตอบของหล่อนกำลังทำให้เขาเกิดความ ‘ต้องการ’ ขึ้นมาเนี่ยสิ“ไม่ใช่! แต่ในเมื่อเธอพ
เช้ารุ่งขึ้นหลังจากล่ำลาคนป่วยและบอกกล่าวเรื่องที่เขาจะต้องเดินทางไปต่างจังหวัดช่วงเสาร์อาทิตย์ ฤทธิก็ออกไปทำงาน ทว่าออฟฟิศไม่ใช่ที่แรกที่เขาไปเขาโทรศัพท์บอกพนิตนันท์ตั้งแต่เมื่อคืนว่าจะแวะมาหาหล่อนตอนเช้า และมีเรื่องจะคุยด้วย ที่จริงก็เป็นการบอกเจ้าหล่อนกลายๆ นั่นแหละว่าเขาจะไม่เข้าไปค้างที่นั่นหล่อนจะได้ไม่รอชายหนุ่มก็ไม่ได้คาดหวังว่าเด็กสาวจะรอหรอก...หล่อนอาจจะดีใจก็ได้ที่เขาไม่ไปหาหลังจากเมื่อคืนเขาก็รู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลินินดูเหมือนจะมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากทุกข์โศกโรคภัยโหมกระหน่ำเข้ามาอย่างไม่ยั้ง นี่คงเป็นแสงสว่างจากปลายอุโมงค์ที่ทำให้หล่อนมีหวังเรื่องลูกขึ้นมาอีกครั้งนั่นทำให้ฤทธิตัดสินใจเด็ดขาด...เขาจะไม่ยื้อเวลาระหว่างตัวเองกับเด็กสาวออกไปอีกแล้ว เขาต้องทำให้หล่อนท้องโดยเร็วที่สุด เพื่อจะได้ยุติความสัมพันธ์นี้ตามสัญญาที่ตกลงกันไว้เขาก้าวมาหยุดหน้าประตูพอดี มือที่เอื้อมแตะแป้นเพื่อจะกดรหัสเข้าประตูชะงักค้างก่อนจะดึงมือตัวเองกลับแล้วซุกลงกระเป๋ากางเกง แล้วมองประตูตรงหน้านิ่งนานด้วยสายตาครุ่นคิดไตร่ตรอง
ค่ำวันนั้นฤทธิแวะไปเยี่ยมภรรยาที่โรงพยาบาล แม่ยายของเขากลับไปแล้ว สองสามีภรรยาจึงมีเวลาอยู่กันตามลำพังท่าทางของลินินบ่งบอกว่าร้อนใจ เจ้าหล่อนคงเจอแรงกดดันจากผู้เป็นแม่ไม่น้อย เพราะคุณแพรพรรณนั้นขึ้นชื่อเรื่องความละเอียดรอบคอบและเจ้ากี้เจ้าการ“ลินินไม่น่าเลย...ไม่น่าพลั้งปากออกไปเลยค่ะฤทธิ” หล่อนบ่นออกมาเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ผู้เป็นสามีได้แต่ปลุกปลอบด้วยการตบไหล่บอบบางของภรรยาเบาๆ“ช่างมันเถอะ มาคิดหาทางแก้กันดีกว่า นี่แม่คุณโทรบอกแม่ผมเรียบร้อย ตอนนี้แม่เลยรู้เรื่องไปด้วย แต่กับแม่น่าจะไม่มีปัญหาอะไร เพราะแม่เคยเห็นและก็พอจะรู้จักนันท์”“ลินินขอโทษนะคะฤทธิ พลอยทำให้คุณต้องลำบากไปด้วย แล้วคุณแม่ว่าอย่างไรบ้างคะ?”“ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก...บ่นๆ ทำนองน้อยใจนั่นแหละ ว่าไม่เห็นหัวแม่ ทั้งที่อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ แต่แม่กลับไม่รู้เรื่องเลย” ฤทธิเล่า...แต่เว้นเรื่องที่มารดารู้ว่าเขากับพนิตนันท์นอนด้วยกันไว้เสีย“แล้วนันท์รู้เรื่องหรือยังคะ?”“ยัง ผมยังไม่ได้บอกอะไรเด็กนั่น”“ยังไม่ต้องบอกหรอกค่ะ เดี๋ยวเรื่องคุณแม่ลินินจะหาทางจัด
คิ้วเข้มเหนือดวงตาคมขมวดเข้าหากันทันทีหลังฟังปลายสายบอกเล่าความประสงค์ของผู้เป็นแม่ยายให้ฟัง แม้ลินินจะไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรเท่าไร แต่เขาก็รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่า ภรรยาซุกซ่อนความกังวลใจบางอย่างเอาไว้ฤทธิพอจะรู้จักผู้เป็นแม่ยายอยู่บ้างว่ารายนั้นรักและห่วงลูกสาวอย่างมาก เพราะเป็นลูกคนเดียวความห่วงใยนี่แหละที่ทำให้บางครั้งก็เจ้ากี้เจ้าการโดยไม่รู้ตัว ส่วนภรรยาของเขาก็คงอยากปฏิเสธ แต่ก็น้ำท่วมปาก ไม่รู้จะปฏิเสธแม่อย่างไร...ก็ประสาลูกสาวหัวอ่อนที่ไม่เคยมีปากมีเสียงกับแม่นั่นแหละแต่ประเด็นอยู่ที่...ฤทธิคิดว่าพนิตนันท์ก็ไม่พร้อมที่จะพบเจอผู้ใหญ่ทางฝ่ายลินิน กับมารดาของเขานั้นเจ้าหล่อนคุ้นเคยเพราะเคยเจอมาตั้งแต่เด็กๆ และแม่เขาก็ยังไม่รู้เรื่องอุ้มบุญอะไรนี่ด้วยแต่คุณแพรพรรณซึ่งรู้เรื่องจากปากลูกสาวแล้ว ย่อมต้องมองพนิตนันท์ด้วยสายตาอีกแบบที่ฤทธิมั่นใจว่า เด็กสาวคงเกิดความรู้สึกประหม่าทีเดียวเหมือนตอนที่เขาจีบลินินใหม่ๆ และต้องไปพบเจอพ่อแม่ของหล่อนครั้งแรกนั่นแหละครั้งนั้นคุณแพรพรรณก็มองเขาด้วยสายตาพิเคราะห์และจับผิดจนเขาแทบไม่เป็นตัวขอ
ร่างผ่ายผอมบนเตียงคนไข้นั้น นับวันก็ยิ่งผอมลงจนหนังแทบจะหุ้มกระดูก โรคร้ายที่รุมเร้าพรากความสดใสและสวยงามไปจากหญิงสาวไปจนแทบจะไม่เหลือคุณแพรพรรณผู้เป็นมารดาซึ่งแวะมาเฝ้าลูกสาวเป็นประจำทุกวันถึงกับถอนใจออกมาเบาๆ“ยายหนู...กินอะไรสักหน่อยไหมลูก เดี๋ยวแม่ไปชงอาหารเสริมมาให้ไหม ถ้ากินข้าวไม่ลง” นางเสนอ...เมื่อสำรับอาหารที่พยาบาลนำมาเสิร์ฟ ยังมิได้รับการแตะต้อง“ค่ะ แม่”ได้ยินดังนั้นคุณแพรพรรณจึงกุลีกุจอไปชงอาหารเสริมมาให้คนที่นอนบนเตียง ความรักของแม่ที่มีต่อลูกทำให้นางสะท้อนใจไม่น้อยเมื่อต้องมาเห็นลูกเจ็บป่วยแบบนี้ นับแต่รู้ว่าลูกสาวป่วย นางแทบไม่เคยนอนหลับอย่างเป็นสุขด้วยหวงห่วงสารพัด“พอออกจากโรงพยาบาล แม่ว่าหนูกลับไปอยู่บ้านเราก็ดีเหมือนกันนะ อยู่ใกล้ๆ แม่ก็หายห่วง จะได้ดูแลกันได้ถนัดถนี่”ริมฝีปากแห้งผากของคนป่วยคลี่ออกเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินผู้เป็นแม่เปรย“ไหนตอนแรกแม่ไม่เห็นด้วย หาว่าหนูทิ้งฤทธิไว้คนเดียว”“ก็ตอนแรกแม่ก็ห่วงนายฤทธิเขา ผัวเมียกันน่ะลูก อยู่ห่างกันมากก็ไม่ดี แต่พอเห็นหนูเป็นแบบนี้แล้ว ถ้านายฤทธิเขายังมีแ