แชร์

บทที่ 18 จับตาดูและคอยช่วยเหลือ

ผู้เขียน: BigM00N
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-22 22:30:33

หลังจากออกจากจวนสกุลซ่งแล้วองค์ชายรองก็เสด็จกลับตำหนักส่วนพระองค์ โดยมีองครักษ์คอยติดตามอารักขาอย่างใกล้ชิด เมื่อได้อยู่ตามลำพังแล้วซ่งเหวินจิ้งก็ถอดหน้ากากเหล็กออกแล้วเอ่ยกับองค์ชายรองด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ

“เหตุใดกระหม่อมจึงไม่เคยเลยรู้ว่าตนเองได้รับบาดเจ็บจนทำให้ไม่อาจจะมีทายาทได้อีกแล้ว” คำถามขององครักษ์ที่สวมใส่หน้ากากเหล็กอยู่ทำให้องค์ชายรองทรงพระสรวลออกมาในทันที

“หากไม่เอ่ยเช่นนั้น ลูกๆ ของเจ้าก็คงจะไม่ปลอดภัย อันที่จริงการที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ในจวนของเจ้ามาได้จนถึงยามนี้หากไม่เพราะฮูหยินผู้เฒ่าสกุลซ่งยังหลงเหลือความปรานีอยู่บ้างพวกเขาก็อาจจะไม่ได้ถือกำเนิดออกมา หรือไม่ก็ต้องชื่นชมฮูหยินของเจ้า แม้ว่าอาจจะไม่คุ้นชินต่อการต่อสู้ของบรรดาสตรีในเรือนหลังแต่ก็ยังสามารถปกป้องลูกๆ ได้เป็นอย่างดีเช่นนี้ถือว่าโม่ชิงเยว่เองก็มีความสามารถที่ไม่ธรรมดา” คำพูดขององค์ชายรองทำให้ซ่งเหวินจิ้งพลันส่ายหน้า

“กระหม่อมรู้ว่าองค์ชายทรงมีพระประสงค์ที่จะช่วยเหลือลูกและภรรยาของกระหม่อม เพียงแต่เรื่องในเรือนหลังของกระหม่อมมันไม่ได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น ยามนี้ท่านแม่คงจะกำลังเข้าใจผิดคิดว่ากระหม่อมอาจจะจะมีลูกอีกไม่ได้ ดังนั้นยามนี้ความสนใจของท่านแม่คงจะพุ่งเป้าไปที่เรือนเหมันต์แล้ว ก่อนหน้านี้ท่านแม่อาจจะแค่เพียงบีบให้โม่ชิงเยว่ยอมจำนนทางอ้อม แต่ยามนี้เมื่อมีจุดประสงค์ที่อยากจะได้ลูกชายของนาง ท่านแม่ของกระหม่อมจะต้องพุ่งเป้าโจมตีไปที่โม่ชิงเยว่อย่างเต็มที่เป็นแน่” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้องค์ชายรองทรงสับสนในพระทัยในทันที

“หมายความว่าคราวนี้ข้าไม่ได้ช่วยฮูหยินของเจ้าแต่กลับเป็นการเติมเชื้อไฟให้มารดาของเจ้าพุ่งเป้าโจมตีไปที่นางเข้าแล้วหรือ” องค์ชายรองทรงตรัสถามออกมาด้วยความกังวล เดิมทีทรงคิดว่าพระองค์กำลังส่งถ่านกลางหิมะไปให้ฮูหยินของซ่งเหวินจิ้งคิดไม่ถึงว่ายามนี้ถ่านของพระองค์ได้กลายเป็นเชื้อไฟที่พร้อมจะแผดเผานางและลูกๆ ของนางเข้าเสียแล้ว

“ไม่ได้การ ข้าจะส่งคนไปรับพวกนางแม่ลูกออกมาจากจวนของเจ้าก็แล้วกัน” เมื่อองค์ชายรองทรงตรัสเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็รีบส่ายหน้า

“จะทรงรับออกมาในฐานะอะไรพ่ะย่ะค่ะ การที่ทรงประทานของกำนัลไปให้ยังพอจะอธิบายได้ว่าทรงคำถึงความสัมพันธ์กับกระหม่อม พอได้ทราบว่ากระหม่อมมีลูกก็เลยประทานข้าวของให้ลูกๆ ของกระหม่อมย่อมถือว่าเป็นความหวังดีระหว่างสหายทั่วไป แต่หากองค์ชายรองทรงส่งคนไปรับฮูหยินและลูกๆ ของกระหม่อมออกมาจากจวน ผู้คนจะต้องติฉินนินทากันไปจนทั่วแน่ว่าองค์ชายรองทรงหมายปองฮูหยินของกระหม่อม ถือโอกาสช่วงที่กระหม่อมไม่อยู่แย่งชิงสตรีของกระหม่อมมาเป็นของพระองค์”

“เพ้ย! ผู้ใดจะชั่วช้าจนถึงขั้นหมายปองภรรยาของสหายได้กันเล่า ...อืม แต่หากเป็นชื่อเสียงที่ผ่านมาของข้าหากจะผู้ใดใส่ความข้าเช่นนี้ผู้คนย่อมจะต้องเชื่อถือเรื่องนี้อย่างแน่นอน” เมื่อองค์ชายทรงตรัสเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า

องค์ชายรองผู้นี้ถือกำเนิดจากองค์ฮองเฮาก็จริงแต่ฐานสกุลเดิมของฮองเฮาไม่ได้มีอำนาจเทียบเท่าองค์ใหญ่ที่ถือกำเนิดจากหยางเต๋อเฟยที่มาจากสกุลหยางอันเรืองอำนาจ สกุลหยางของหยางเต๋อเฟยในยามนี้มีผู้นำสกุลเป็นถึงอัครเสนาบดีของแคว้นมีอำนาจควบคุมกรมทั้งหกผู้ที่มีอำนาจเหนือเขาได้มีแค่เพียงหลี่เฟยหลงฮ่องเต้เท่านั้น ส่วนสกุลสุ่ยของสุ่ยฮองเฮานั้นเป็นแค่เพียงสกุลบัณฑิตอันเก่าแก่ผู้นำสกุลสุ่ยในยามนี้ดำรงตำแหน่งแค่เพียงเจ้ากรมพิธีการเพียงเท่านั้น ดังนั้นต่อให้ฝ่าบาททรงยังไม่ได้แต่งตั้งองค์รัชทายาท แต่ความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือองค์ชายใหญ่หลี่สวินเพียงเท่านั้น

แต่ถึงกระนั้นการแข่งขันอย่างลับๆ ระหว่างองค์ชายก็ยังคงมีตราบใดที่ฝ่าบาททรงยังไม่ได้แต่งตั้งองค์รัชทายาท ดังนั้นเหล่าองค์ชายจึงมักจะโจมตีกันทั้งในที่ลับและที่แจ้ง แน่นอนว่าพระโอรสที่ถือกำเนิดจากองค์ฮองเฮาย่อมจะต้องได้รับการจับตามองมากเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าสกุลเดิมขององค์ฮองเฮาจะไม่มีฐานอำนาจแต่หลายปีมานี้องค์ชายรองได้รับความไว้พระทัยจากหลี่เฟยหลงฮ่องเต้มากที่สุด อีกทั้งองค์ชายรองยังได้รับการยอมรับจากบรรดาแม่ทัพนายกองดังนั้นสิ่งที่พอจะใช้โจมตีองค์ชายรองได้ก็คือเรื่องความประพฤติอันนอกกรอบขององค์ชายผู้นี้เพียงเท่านั้น

“ถ้าเช่นนั้นท่านจะทำอย่างไร จะเข้าไปไกล่เกลี่ยความบาดหมางภายในจวนตอนนี้ก็ไม่ได้” เมื่อองค์ชายทรงตรัสถามเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็ขมวดคิ้วแน่น

“กระหม่อมส่งคนของกระหม่อมเข้าจวนไปสอดแนมแล้วพ่ะย่ะค่ะ หากท่านแม่ของกระหม่อมคิดจะทำร้ายฮูหยินและลูกๆ ของกระหม่อมพวกเขาย่อมจะยื่นมือออกช่วย” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้องค์ชายรองก็พยักหน้า

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีพัฒนาการขึ้นบ้างแล้ว” ถ้อยคำนี้ขององค์ชายรองทำให้ซ่งเหวินจิ้งแค่เพียงยิ้มออกมาอย่างจืดเจื่อนและได้แต่คาดหวังว่าคนที่เขาส่งไปจะยังพอมีไหวพริบอยู่บ้าง

ในขณะที่ทางซ่งเหวินจิ้งกำลังเป็นห่วงโม่ชิงเยว่และลูกชายลูกสาวของเขา จ้าวหรงกับจ้าวรุ่ยก็กำลังทะเลาะทุ่มเถียงกันว่าควรจะไปแจ้งเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นลมหมดสติเพราะปะทะคารมกับโม่ชิงเยว่ให้ซ่งเหวินจิ้งทราบดีหรือไม่

“ถึงอย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าก็เป็นมารดาของนายท่าน พวกเราจะไม่ส่งข่าวไปให้นายท่านทราบสักหน่อยหรือ” คำถามของจ้าวรุ่ยทำให้จ้าวหรงส่ายหน้า

“หน้าที่ของพวกเราก็คือคอยดูแลฮูหยินและคุณชายน้อยทั้งสองไม่ได้ถูกส่งมาให้คอยดูแลฮูหยินผู้เฒ่าเสียหน่อย ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรายงานเรื่องนี้ให้นายท่านทราบหรอก” คำพูดของจ้าวหรงทำให้จ้าวรุ่ยพยักหน้า

“ข้าเข้าใจแล้ว เพียงแต่ข้ายังรู้สึกสงสัย ในเมื่อฮูหยินก็ไม่ใช่คนที่ดูแลตนเองไม่ได้แล้วนายท่านจะให้พวกเรามาคอยดูแลนางไปทำไม” คำถามของจ้าวรุ่ยทำให้จ้าวหรงยิ้มออกมา

“เจ้าไม่เห็นหรือฮูหยินของนายท่านองอาจและงดงามถึงขั้นนี้ ท่านแม่ทัพที่จะต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจไปกับการทำงานเพื่อบ้านเมืองย่อมจะต้องรู้สึกไม่วางใจดังนั้นจึงได้ส่งพวกเรามาคอยเฝ้าดูแลอย่างไรเล่า”

“แล้วหากฮูหยินรังแกผู้อื่น พวกเราไม่ต้องรายงานให้นายท่านทราบหรือ”

“ไม่ต้องหรอก นายท่านแค่ให้พวกเรามาจับตาดูและคอยช่วยเหลือยามที่มีผู้อื่นมารังแกฮูหยินและลูกๆ ของนายท่านเพียงเท่านั้น” ถ้อยคำนี้ของจ้าวหรงทำให้จ้าวรุ่ยพยักหน้าและท่องจำหน้าที่ของตนเองเอาไว้ ดังนั้นแม้ว่าต่อไปฮูหยินจะรังแกมารดาและน้องสาวของนายท่านเขาจึงไม่ได้รายงานเรื่องนี้ให้นายท่านของเขารู้...

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 66 ความเบิกบานของท่านโหว

    ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 65 ปรนนิบัติ

    หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 64 สงบศึก

    ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 63 ความทะเยอทะยานของเหยียนเซียว

    ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 62 ความสุขของท่านโหว

    ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 61 ความเป็นส่วนตัว

    เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status