เรื่องราวความวุ่นวายของเรือนหลังในจวนนิ่งอันโหวถูกเอ่ยถึงอย่างแพร่หลาย โม่ชิงเยว่ไม่คิดจะปกปิดข่าวลือใดๆ แถมยังให้ชุ่ยเหมยนำเงินบางส่วนไปมอบให้แก่ชาวบ้านที่พูดถึงเรื่องนี้อย่างลับๆ และกำชับไปว่าเรื่องที่พวกเขากำลังเอ่ยถึงเหล่านี้ฮูหยินของจวนนิ่งอันโหวเช่นนางล้วนเป็นผู้ถูกกระทำ เรื่องราวที่นางถูกส่งไปอยู่เรือนเหมันต์และถูกรังแกสารพัดถูกเอ่ยถึงอย่างแพร่หลายอีกทั้งยังแพร่กระจายออกไปในหมู่ชาวบ้าน แน่นอนว่าความยากลำบากที่ชาวบ้านเหล่านั้นเอ่ยถึงล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น ซึ่งนางเชื่อว่าข่าวลือเหล่านี้ย่อมจะทำให้คนผู้หนึ่งนั่งไม่ติดแน่และจะต้องมาหานางในเร็ววันนี้เป็นแน่
หลังจากที่นางย้ายออกจากเรือนเหมันต์เข้ามาอยู่ในเรือนหลักก็มีเรื่องราวมากมายให้ต้องจัดการ ทั้งการกำจัดข้ารับใช้ที่ไว้ใจไม่ได้ทั้งพยายามรวบรวมอำนาจการดูแลจวนทั้งหมดมาไว้ในมือ แน่นอนว่าเรื่องการดูแลจวนไม่ใช่เรื่องที่นางถนัด ดังนั้นนางจึงต้องส่งชุ่ยเหมยไปขอยืมคนที่สามารถไว้ใจได้มาจากสกุลเจียงให้คอยช่วยเหลือนาง แต่ถึงกระนั้นนางก็พยายามที่จะศึกษาและเรียนรู้พลางคิดถึงความฝันที่ยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำทำโม่ชิงเยว่ไม่คิดจะถอดใจ นางเองก็อยากจะเป็นดังเช่นบรรดาสตรีที่อยู่ในความฝัน ใช้ชีวิตอย่างอิสระไม่ต้องยึดติดประเพณีที่ว่าบุรุษเป็นใหญ่ หากเลี้ยงตนเองได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงสายตาของผู้อื่น ทุกยามค่ำคืนนางจึงมักจะนั่งสะสางบัญชีเพียงคนเดียวเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับจวนโหวแห่งนี้ นางยังคงถือคติที่ว่า ‘รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง’ แม้ว่าเรื่องราวในเรือนหลังจะไม่ใช่สมรภูมิรบ แต่หลังจากเข้ามาอยู่ในจวนโหวแห่งนี้นางได้เรียนรู้มาแล้วว่าเล่ห์กลของอิสตรีในเรือนหลังนั้นซับซ้อนเสียยิ่งกลศึกของบุรุษเสียอีก
“ในเมื่อมาถึงแล้วเหตุใดจึงไม่เข้ามาเล่า” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งที่ยังคงสวมหน้ากากอยู่เดินเข้ามาในห้องทางบานประตูของระเบียงที่ยังคงเปิดรับลมอยู่
“ยามนี้เจ้าก็ได้อำนาจการดูแลจวนมาอยู่ในมือแล้ว อีกทั้งยังย้ายออกจากเรือนเหมันต์มาอยู่ที่เรือนหลักแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่ปล่อยวางยังว่าจ้างให้คนนำเรื่องราวภายในจวนโหวไปพูดข้างนอกอย่างเกินจริงเช่นนั้นอีก” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่จ้องมองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
“เรื่องไหนหรือที่ว่าเกินจริง ข้าถูกพวกนางเล่นงานจนเกือบป่วยตายท่านไม่รู้เลยหรือ ข้าต้องไปคลอดลูกในเรือนร้างอันห่างไกล เงินทองในมือก็ไม่มีเอาไว้จับจ่าย จะขอความช่วยเหลือจากผู้ใดก็ล้วนทำไม่ได้เลย แม้กระทั่งท่านที่เป็นสามีก็เงียบหายไปราวกับไม่มีตัวตน จวบจนข้าเกือบจะตายไปแล้วข้าจึงพึ่งจะคิดได้ว่าจะยินยอมให้พวกนางกลั่นแกล้งอยู่อีกทำไม สู้จัดการพวกนางเสียให้สิ้นไม่ดีกว่าหรือ” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งขมวดคิ้ว
“ข้าหรือที่เงียบหาย ข้าส่งคนมาคอยสอบถามถึงเจ้าตั้งหลายครั้ง แล้วอีกอย่างเจ้าก็สามารถให้คนส่งจดหมายไปหาข้าที่กองทัพก็ได้นี่ เจ้าเป็นถึงบุตรสาวของอดีตแม่ทัพจะไม่รู้วิธีติดต่อหาข้าเลยหรือ ยังไม่นับว่าเจ้าเองก็มีวรยุทธ์ติดกายจะต่อสู้กับคนของท่านแม่ของข้าไม่ได้เชียวหรือ” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่ร้องเฮอะ! ออกมา
“ที่แท้ท่านก็รู้ว่าข้ามีวรยุทธ์ติดกาย หากข้าลงมือทำร้ายท่านแม่และอนุของท่านจริงท่านคิดว่าข้าจะยังอยู่ในจวนโหวได้อีกหรือ อนุสุดที่รักของท่านเป็นคนสกุลใดท่านไม่รู้เลยหรือ ท่านแม่ของท่านหากข้าลงมือทำร้ายนางจริงท่านคิดว่าท่านยังจะปล่อยข้าเอาไว้หรือ อย่าว่าแต่สกุลสุ่ยและท่านเลย หากข้าลงมือจริงพวกนางก็คงส่งคนไปฟ้องร้องข้าที่กรมอาญาแจ้งให้ทางการส่งคนมาจับตัวข้าไปลงโทษแล้ว แค่เป็นสตรีที่อาศัยอยู่ท้ายจวนโหวอย่างอัตคัดสภาพของข้าก็ย่ำแย่มากจนเกินพอแล้ว หากไปเร่ร่อนอยู่ข้างนอกเพื่อหนีการตามจับของคนของทางการทั้งๆ ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ข้าก็ไม่แน่ใจว่าตนเองจะสามารถมีชีวิตรอดมาจนถึงยามนี้หรือไม่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า
“ข้าได้ยินว่าเจ้าได้รับความช่วยเหลือจากสกุลเจียง” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่ส่ายหน้า
“ก่อนหน้านี้ข้ากับสกุลเจียงไม่เคยติดต่อกัน อีกทั้งท่านแม่ของข้าก็ถูกสกุลเจียงตัดขาดนานแล้ว หากไม่เพราะข้าละทิ้งศักดิ์ศรีที่ยึดติดใช้วิชาปักผ้าที่ท่านแม่ถ่ายทอดให้ก็ไม่แน่ว่าคนสกุลเจียงจะยินยอมให้ความช่วยเหลือข้า การที่ข้าไปขอความช่วยเหลือจากสกุลเจียงท่านไม่คิดบ้างหรือว่าในยามนั้นชีวิตของข้าอับจนหนทางจนถึงที่สุดแล้ว ส่วนท่านที่ข้าหวังพึ่งพามากที่สุดกลับเงียบหายไร้ข่าวคราว จดหมายแต่ละฉบับที่ข้าส่งไปหาท่านล้วนใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก หากท่านมีความใส่ใจสักนิดก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ได้รับเลยสักฉบับ” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า
“ไม่มีนะ! ข้าไม่เคยได้รับจดหมายจากเจ้าจริงๆ” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ส่ายหน้า
“จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าถึงขั้นให้ชุ่ยเหมยบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากบรรดาแม่ทัพนายกองที่เคยอยู่กับท่านพ่อของข้าให้พวกช่วยนำจดหมายขอความช่วยเหลือของข้าไปส่งมอบให้ท่านเชียวนะ ท่านคงไม่รู้กระมังว่าการที่ข้าทำเช่นนั้นต้องใช้ทั้งความพยายามและกำลังเงินมากสักเพียงไหน” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางส่ายหน้า นางจ้องมองซ่งเหวินจิ้งที่ในยามนี้ยังคงสวมหน้ากากเพื่อปิดบังตัวตนอย่าแล้วก็ทอดถอนใจออกมา
ช่างเถิด! แม้แต่ตัวท่านเองท่านก็ยังเป็นเช่นนี้แล้วจะมาช่วยเหลือข้าได้อย่างไร” คำพูดของนางทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า
“ข้าที่เป็นเช่นนี้มันเป็นเช่นไร” เขาเอ่ยพลางจ้องมองนางแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจออกมาเมื่อพอจะคาดเดาความคิดของนางได้
“โม่ชิงเยว่เจ้าอย่าได้คิดเองเออเองได้หรือไม่ สาเหตุที่ข้ากลับมาแล้วแต่เปิดเผยตัวตนไม่ได้ก็เพราะภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาจากเบื้องบน ไม่ได้หนีทัพหลบหนีเข้าเมืองมาอย่างที่เจ้าคาดเดา” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่ไม่พอใจในทันที
“ข้าคิดเองเอเองเพียงฝ่ายเดียวเสียที่ไหน แม้แต่ท่านแม่ผู้ฉลาดเฉลียวของท่านก็ยังเข้าใจว่าท่านหนีทัพเข้าเมืองมาตามอำเภอใจเลย อย่างว่าแต่ข้าและฮูหยินผู้เฒ่าเลยที่เข้าใจเช่นนี้แม้แต่ผู้อื่นก็ล้วนเข้าใจกันเช่นนี้ทั้งนั้น” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่างเหวินจิ้งทอดถอนใจออกมา
“เอาเป็นว่าคนผิดคือข้าเอง เป็นข้าไม่ดีที่ดูแลเจ้าและลูกไม่ได้ ส่วนเรื่องท่านแม่กับเหวินหนิงพวกนางทำผิดต่อเจ้าก็จริงแต่ยามนี้พวกนางล้วนได้รับโทษที่ควรจะได้รับแล้ว ดังนั้นหลังจากนี้เจ้าปล่อยพวกนางไปได้หรือไม่ หากเจ้าอยากให้ท่านแม่ไปอยู่เรือนคิมหันต์ข้ายอมตามใจเจ้า เพียงแต่ข้าขอส่งคนไปดูแลนางให้มากสักหน่อยจะได้ไหมถึงอย่างไรนางก็คือมารดาของข้า ส่วนเหวินหนิงทางกรมอาญาตัดสินโทษโบยและโทษคุมขัง ข้าตั้งใจเอาไว้ว่าพอนางพ้นโทษออกมาข้าจะส่งนางไปสำนึกตนที่สำนักนางชีได้หรือไม่” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พยักหน้า
“ขอเพียงท่านรับปากข้าว่าจะดูแลพวกนางให้ดีไม่ให้พวกนางมารังแกข้าและลูกๆ ข้าย่อมยินยอมที่จะปล่อยพวกนางไป” เมื่อโม่ชิงเยว่เอยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า
“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว” เมื่อเขาเอ่ยจบก็ทำท่าว่าจะหันหลังกลับโม่ชิงเยว่จึงได้เอ่ยถึงความต้องการของตนเอง
“หากเป็นไปได้รบกวนท่านช่วยเขียนหนังสือหย่าให้ข้าด้วย แม้ว่าจะเป็นราชโองการพระราชทานสมรส แต่ข้าเชื่อว่าท่านน่าจะหาเหตุผลไปกราบทูลฝ่าบาทได้” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็หันกลับมามองนาง
“เหตุใดจึงอยากหย่านัก เจ้าคิดตำหนิข้าเรื่องที่ข้าปล่อยให้เจ้าเผชิญ
“โม่ชิงเยว่เจ้าอย่าได้คิดเองเออเองได้หรือไม่ สาเหตุที่ข้ากลับมาแล้วแต่เปิดเผยตัวตนไม่ได้ก็เพราะภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาจากเบื้องบน ไม่ได้หนีทัพหลบหนีเข้าเมืองมาอย่างที่เจ้าคาดเดา” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่ส่ายหน้า
“อย่าว่าแต่ข้าที่เข้าใจเช่นนี้ แม้แต่มารดาผู้เฉลียวฉลาดของท่านก็ยังเข้าใจว่าท่านหนีทัพกลับเข้าเมืองหลวงมาโดยพลการเช่นกัน ดังนั้นอย่าได้ตำหนิข้าและหาว่าข้าคิดคาดเดาเอาเอง” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้าแต่เมื่อคิดได้ว่าหากอยากสงบสุขก็ห้ามโต้แย้งกับภรรยาเขาจึงได้เปลี่ยนไปเอ่ยถึงเรื่องอื่น
“ทางกรมอาญาตัดสินโทษเหวินหนิงแล้วการที่นางฆ่าคนเดิมทีโทษคือโบยให้ตายตามคนที่นางฆ่า แต่เพราะบุรุษผู้นั้นย่ำยีนางก่อนทำให้นางได้รับโทษโบยตีและถูกคุมขัง ข้าตั้งใจว่าพอเสร็จสิ้นภารกิจแล้วยามที่นำทัพกลับเข้าเมืองหลวงข้าจะใช้ความดีความชอบขอลดโทษให้นางแล้วส่งนางไปสำนึกตนที่สำนักนางชี ส่วนท่านแม่หากเจ้าอยากให้ไปอยู่เรือนคิมหันต์ก็ตามแต่ใจของเจ้า แต่ข้าขอส่งคนของข้าไปคอยดูแลที่เรือนคิมหันต์และขอรับรองว่าจะไม่ปล่อยให้ท่านแม่มารังแกเจ้ากับลูกๆ อีก” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่เลิกคิ้วขึ้น เขาจึงได้เอ่ยกับนางต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“สาเหตุที่เจ้าได้รับความยากลำบากล้วนเป็นเพราะข้า ดังนั้นข้าขอแบกรับความผิดทั้งหมดเอาไว้เอง เจ้าก็ปล่อยพวกนางไปเถอะ เพียงเท่านี้พวกนางก็ยากที่จะได้กลับมาใช้ชีวิตได้ดังเดิมแล้ว” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่พยักหน้าแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเจ็บแค้น
“ในเมื่อสาเหตุของความทุกข์ยากของข้าล้วนเป็นเพราะความผิดของท่าน ดังนั้นท่านก็ควรจะชดเชยให้ข้าอย่างดี”
“ได้! เจ้าต้องการสิ่งใดหรืออยากให้ข้าทำสิ่งใดเพื่อเป็นการชดใช้ให้เจ้าก็บอกข้ามาตามตรงได้เลย” เมื่อเขาเอ่ยถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็เอ่ยความต้องการของตนเองออกมาตามตรงในทันที
“ข้าต้องการให้ท่านเขียนหนังสืออย่าให้ข้า แม้ว่าการแต่งงานของพวกเราจะเกิดจากการสมรสพระราชทาน แต่ด้วยฐานะของท่านย่อมจะต้องมีคำตอบที่เหมาะสมถวายแก่ฝ่าบาทได้แน่” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พลันขมวดคิ้ว
“ความผิดของข้ามันทำให้เจ้าถึงขั้นอยากจะหย่าขาดเลยเชียวหรือ” คำถามของเขาทำให้โม่ชิงเยว่พยักหน้า
“เดิมทีท่านกับข้าก็ไม่ได้รักกัน เมื่อก่อนข้าเคยคิดว่าแม้จะไม่ได้รักใคร่ผูกพันแต่เมื่อแต่งกันแล้วก็ย่อมจะสามารถอยู่ร่วมกันได้ แต่ยามนี้ข้ารู้แล้วว่าข้าคิดผิด” คำพูดของนางทำให้ซ่งเหวินจิ้งนิ่งงันไปแล้วจึงได้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจนใจ
“เอาไว้ให้ข้าเสร็จสิ้นภารกิจก่อนก็แล้วกันแล้วพวกเราค่อยมาเอ่ยถึงเรื่องนี้กันอีกครั้ง” เมื่อเอ่ยจบเขาก็รีบเร่งจากไปทิ้งให้โม่ชิงเยว่มองตามเงาหลังของเขาด้วยความขัดเคืองใจ
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ